โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรมพรรค

“พล.อ.ประวิตร” เปิดงาน “พระนครคีรี เมืองเพชร” มอบโล่ห์คนดีศรีเมืองเพชร

,

“พล.อ.ประวิตร” เปิด “พระนครคีรี เมืองเพชร” มอบโล่ห์คนดีศรีเมืองเพชร “สุชาติ” ส.ส.เพชรบุรี รับรางวัลด้านนิติบัญญัติ ศิลปะ และวัฒนธรรม

“พล.อ.ประวิตร” ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิด “พระนครคีรี – เมืองเพชร” ครั้งที่ 35 มอบโล่ห์ “คนดีศรีเมืองเพชร” เชิดชูเกียรติผู้เสียสละทำความดีเพื่อส่วนรวม โดยมี “สุชาติ อุสาหะ” ส.ส.เพชรบุรี รับรางวัลด้านนิติบัญญัติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางเข้าร่วมพิธีเปิดงาน “พระนครคีรี – เมืองเพชร” ครั้งที่ 35 ประจำปี 2565 ในฐานะประธานในพิธีฯ โดยมี นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี เขต 3 และนายสาธิต อุ๋ยตระกูล ส.ส.เพชรบุรี เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระนครคีรี อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี

จากนั้น พล.อ.ประวิตร รับฟังคำกล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานฯ จากผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมกล่าวเปิดงานฯ อย่างเป็นทางการ และมอบโล่ห์ขอบคุณผู้สนับสนุนผู้จัดงาน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบุรี บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

ในโอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร ยังได้มอบโล่ห์เชิดชูเกียรติ ให้แก่ “คนดีศรีเมืองเพชร” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ภาคราชการ และภาคประชาสังคม ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ถึงความมุ่งมั่น เสียสละร่วมทำคุณประโยชน์ ทุ่มเทต่อการส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัดเพชรบุรี และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมในมิติต่างๆ โดยในปีนี้มีผู้ที่ได้รับรางวัล จำนวน 31 ท่าน ใน 16 สาขา ดังนี้

1. ด้านรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาทางศิลปะและวัฒนธรรมเมืองเพชร ช่างฝีมือ ได้แก่ นายทองร่วง เอมโอษฐ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-งานศิลปะปูนปั้น), ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญมา แฉ่งฉายา ศิลปินสาขาทัศนศิลป์, นายสัณฐาน ถิรมนัส ศิลปินสาขาทัศนศิลป์, นายธานินทร์ ชื่นใจ ครูช่างลายรดน้ำ, นางสาวสิริลักษณ์ ศรีทองคำ ช่างทำทองโบราณ และนายวิริยะ สุสุทธิ ครูแทงหยวก
2. ด้านส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมเมืองเพชร ได้แก่ นายแสวง เอี่ยมองค์ นายกพุทธสมาคมจังหวัดเพชรบุรี และนางถนอม คงยิ้มละมัย
3. ด้านอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารเมืองเพชร ได้แก่ นางสมาน กลิ่นนาคธนกร เจ้าของธุรกิจขนมหม้อแกงแม่สมาน
4. ด้านมนุษยศาสตร์รากฐานเมืองเพชร ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม และนายกฤษดากร อินกงลาศ
5. ด้านบริหารจังหวัดด้วยหลักธรรมาภิบาล ได้แก่ นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม
6. ด้านบริหารกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ พลตำรวจโทต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
7. ด้านบริหารรัฐกิจ ได้แก่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์, นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
8. ด้านนิติบัญญัติ ได้แก่ นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
9. ด้านการบริหารงานท้องถิ่น ได้แก่ นายนุกูล พรสมบูรณ์ศิริ นายกเทศมนตรีเมืองชะอำ, นางนฤมล กิจพ่วงสุวรรณ นายกเทศมนตรีตำบลท่ายาง และนายวรวิสูตร ฉิมพาลี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลนาพันสาม
10. ด้านบริหารส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เสนาะ กลิ่นงาม อธิการบดีมหาวัทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
11. ด้านสนับสนุนกิจการสาธารณสุข ได้แก่ นายพงศ์ศักดิ์ เกตุสวัสดิวงศ์ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
12. ด้านพัฒนาการเกษตรยั่งยืน ได้แก่ นายไพโรจน์ พ่วงทอง สมาชิกวุฒิสภา, นายสุริยะ ชูวงศ์ และดร.ทัดทอง พราหมณี
13. ด้านการสร้างเศรษฐกิจและนักธุรกิจรุ่นใหม่ ได้แก่ นายสุพจน์ เพชราภิรัชต์ เจ้าของธุรกิจบ้านขนมนันทวัน, นางชปาพันธ์ เงินมูล เจ้าของธุรกิจพันธ์สุข, นายประวิทย์ เครือทรัพย์ เจ้าของธุรกิจลุงอเนกขนมหวานเมืองเพชร์
14. ด้านสื่อมวลชนสร้างสรรค์เมืองเพชร ได้แก่ รองศาสตราจารย์สุนันท์ นีลพงษ์
15. ด้านศิลปะการแสดง ได้แก่ นายณัฐวุฒิ สกิดใจ
16. ด้านเยาวชนรู้รักษ์ศิลปะเมืองเพชร ได้แก่ กลุ่มลูกหว้า

ทั้งนี้ “คนดีศรีเมืองเพชร” เป็นรางวัลที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการทำความดีของคนในสังคม ตลอดจนเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณงามความดีเสียสละเพื่อส่วนรวม และสร้างขวัญกำลังใจให้กับต้นแบบของสังคม เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคน ได้ทำความดีเพื่อส่วนรวมเพื่อจังหวัดเพชรบุรีและประเทศชาติ โดยคณะกรรมการคัดเลือก “คนดีศรีเมืองเพชร” ได้พิจารณาทุกกลุ่มเป้าหมาย ผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ในด้านต่างๆ อาทิ ด้านศิลปกรรม นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ข้าราชการที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างชื่อเสียงให้จังหวัด รวมถึงกลุ่มเด็กเยาวชน

#พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ
#สุชาตอุสาหะ
#เพชรบุรี
#คนดีศรีเมืองเพชร
#พลังประชารัฐ
#พปชร
#https://pprp.or.th/
#https://twitter.com/pr_pprpthailand
#https://www.blockdit.com/pprp

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 19 กุมภาพันธ์ 2565

พปชร. หนุน “บิ๊กตู่” สานนโยบาย บริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤต

,

พปชร. หนุน “บิ๊กตู่” สานนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ขอปชช.เข้าใจรัฐบาล บริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤต ย้ำเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ชูบริหารจัดการน้ำ หัวใจสำคัญภาคการเกษตร ถือเป็นการรับมือภัยธรรมชาติระยะยาว

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต2 ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่าพรรคพลังประชารัฐ นั้นพร้อมผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เคยหาเสียงไว้ ทั้งที่ที่ประสบความสำเร็จ และกำลังดำเนินการ เช่นการต่อยอดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการผลักดันนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า(EV ) ซึ่งล่าสุด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้นำระบบ AI มาใช้เชื่อมโยงกับระบบจราจร และนำมาใช้ในส่วนอื่นเพื่อให้เกิดมิติความปลอดภัย ทั้งในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ทั้งนี้ขอย้ำว่า การดำเนินนโยบาย ต้องพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ประชาชน มีความเดือด ร้อน และต้องได้รับการสนับสนุนหลายเรื่อง นโยบายของพรรค จึงต้องผลักดันให้สอดคล้องกับปัญหาของประชาชน ให้เหมาะสม ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล เราจึงเข้าใจรัฐบาล ที่ต้องจัดสรรงบประมาณ นำมาใช้ในห้วงวิกฤตของโลกนี้ เพราะมีผลกระทบในวงกว้าง และพร้อมสนับสนุนการทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อประชาชน

ดังนั้น จึงขอย้ำว่าการขับเคลื่อนนโยบาย จะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในสภาวะ ที่เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่นการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นการเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ทั้ง อาชีพอิสระ ที่กระทรวงแรงงาน ได้เยียวยาไปแล้วนั้น รวมถึงนโยบายคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และอีกหลายนโยบาย รวมไปจนถึงการพัฒนาแหล่งน้ำทั่วประเทศ ที่ถือเป็นหัวใจของชีวิต และภาคการเกษตร ที่หัวหน้าพรรค ได้เน้นย้ำ และให้ความสำคัญสำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำ ในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว ให้กับประชาชน และลดผลกระทบ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งอุทุกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ต่างๆ จนเป็นผลสำเร็จในหลายพื้นที่ อาทิ จ. สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และนครสวรรค์ เป็นต้น

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 19 กุมภาพันธ์ 2565

พล.อ.ประวิตร ลงพื้นที่คลองระบายน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเพชรบุรี

,

“พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่คลองระบายน้ำ D9ปึกเตียน ติดตามความสำเร็จการแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเพชรบุรี

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ จ.เพชรบุรี ติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ D9 ณ ประตูระบายน้ำคลอง D9 ต.ปึกเตียน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โดยมี นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวต้อนรับ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานภาพรวมแผนพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำจังหวัดเพชรบุรี นายสันต์ จรเจริญ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ D9 พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานราชการ เอกชน และท้องถิ่น ให้การต้อนรับ และพบปะประชาชนในพื้นที่

การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และผลสัมฤทธิ์ของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำ D9 ที่เป็นความสำเร็จจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผันน้ำจากเขื่อนเพชรบุรีออกสู่ทะเลได้ในปริมาณ 100 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้ในปี 2563 และ 2564 จ.เพชรบุรี รอดพ้นจากวิกฤติภัยน้ำท่วม สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้หลายพันไร่

สำหรับความสำเร็จโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ จ.เพชรบุรี ผลการดำเนินงานในปี 61-64 รัฐบาลได้บูรณาการขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการรวม 728 แห่ง สามารถเพิ่มความจุน้ำได้ 6.84 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ 43,192 ไร่ประชาชนได้รับประโยชน์ 75,856 ครัวเรือน ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งยาว 11,742 เมตร อาทิ แผนงานที่อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน ได้แก่ การก่อสร้างประตูระบายน้ำกลางคลองระบายน้ำ D9 (ปตร.กะจิว) ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ การก่อสร้างประตูระบายน้ำกลางคลองระบายน้ำ D9 (ปตร.มาบปลาเค้า) ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ และการก่อสร้างระบบส่งน้ำพร้อมอาคารประกอบโครงการจัดหาน้ำเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ ต.แก่งกระจาน และ ต.วังจันทร์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมทั้งการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ ต.ดอนยาง อ.เมือง ของการประปาส่วนภูมิภาค และการปรับปรุงฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลเมืองชะอำ ขององค์การจัดการน้ำเสีย เป็นต้น

ความสามารถในการผันน้ำจากเขื่อนเพชรบุรีออกสู่ทะเลได้ในปริมาณ 100 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้ในปี 2563 และ 2564 จ.เพชรบุรี รอดพ้นจากวิกฤติภัยน้ำท่วม สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้หลายพันไร่ และได้กล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยและมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการ พัฒนา ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ที่จำเป็นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำ ที่ต้องบูรณาการทุกหน่วยงานและภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ และให้เกิดความมั่นคงด้านน้ำได้อย่างยั่งยืนโดยเร็วต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 18 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ เร่งเจ้าท่า เข้าระงับจุดพบน้ำมันรั่วเพิ่ม พร้อมเตรียมป้องกันตลอด 24 ช.ม.

,

“ อธิรัฐ เร่งเจ้าท่า เข้าระงับจุดพบน้ำมันรั่วเพิ่ม พร้อมเตรียมป้องกันตลอด 24 ช.ม.”

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลที่ จ.ระยอง ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จก.(มหาชน) SPRC มีหนังสือแจ้งมายังกรมเจ้าท่า พบจุดเสียหายบริเวณท่ออ่อนส่งน้ำมันในตำแหน่งที่สองเพิ่มเติมส่งผลให้น้ำมันที่ค้างท่ออาจรั่วไหลออกมาได้ บริษัทฯ จึงขอปฏิบัติงานพันท่อเพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันดังกล่าว

ตนจึงได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังคนและอุปกรณ์ เตรียมความพร้อมเข้าระงับเหตุ ได้จัดเรือรวมจำนวน 32 ลำ วางแนวบูมล้อมรอบบริเวณใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อป้องกันคราบน้ำมันดิบแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เตรียมใช้เรือดูด ตักคราบน้ำมันดิบที่ลอยอยู่ในทะเลแล้ว นอกจากนี้ได้สั่งกำชับมาตรการและแผนรองรับเหตุที่เกิดขึ้นให้มีความรัดกุม และป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ ดังนี้

1. การปฏิบัติการในทะเล ให้บริษัทฯ ดำเนินการแก้ไขให้รัดกุมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมและเตรียมแผนรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก
2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ วัสดุอุปกรณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง
3. การสื่อสาร ขอให้บริษัทฯ ชี้แจง ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้ทราบสถานการณ์และมาตรการในการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจในสถานการณ์ที่ถูกต้อง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 18 กุมภาพันธ์ 2565

พปชร. ดันนโยบายพรรคคลอดแพคเกจยานยนต์ EV หนุนปชช.เข้าถึงยานยนต์

,

“พปชร.“ดันนโยบายพรรคฯสำเร็จ รัฐคลอดแพคเกจยานยนต์ EV “ส.ส.ภาดาท์” หนุนปชช.เข้าถึงยานยนต์สะอาดดันไทยฐานผลิตฟื้นศก.

พปชร. ปลื้มผลักดันนโยบายพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV หลังครม.ไฟเขียว ส่งเสริมการผลิตและใช้ในประเทศ “ภาดาท์”ส.ส.กทม.พรรคพปชร. ชูผลงานคลอดแพคเกจEV สำเร็จ หนุนประชาชนเข้าถึงยานยนต์สะอาดตามเทรนด์ของโลกที่ช่วยทั้งลดฝุ่นPM2.5 และก๊าซฯคาร์บอนไดออกไซด์ช่วยลดโลกร้อน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดฐานการผลิตEV สู่การเป็นฮับในภูมิภาค มั่นใจการใช้จะเติบโตขึ้น

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรคพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ขอขอบคุณรัฐบาล ที่ได้นำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐในหลายเรื่องมาสู่การเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการอนุมัติให้มีการผลักดัน กระตุ้นการใช้ยานยนตำไฟฟ้าในประเทศไทย( EV) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร.ที่ให้ความสำคัญ กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดความยั่งยืนต่อการพัฒนาประเทศ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากมติของคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่เห็นชอบแพคเกจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะโดยครอบคลุมทั้งการให้เงินอุดหนุน และการปรับลดภาษีฯต่างๆ ในการเอื้อให้เกิดการใช้และการผลิตในประเทศ นับเป็นความสำเร็จของนโยบายพรรคพปชร.ที่ผลักดันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ไทยได้ก้าวสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สะอาดที่สอดรับกับกระแสของโลก เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน(PM2.5)และลดภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค(EV Hub)

“ ทั่วโลกกำลังมุ่งไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV เนื่องจากจะมีส่วนสำคัญในการลดภาวะโลกร้อนเพราะจะลดการใช้รถยนต์สัปดาปที่ใช้น้ำมัน โดยไทยเองจะต้องค่อยๆ เปลี่ยนผ่านเพื่อให้ก้าวทันกระแสโลกและต้องเตรียมความพร้อม รองรับซึ่งพรรคพปชร.มุ่งมั่นที่จะดูแลฐานการผลิตรถยนต์ของไทยไปสู่ EV เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สอดรับกับกระแสโลกพร้อมๆ ไปกับสนับสนุนให้ประชาชนได้ใช้ยานยนต์สะอาดเพื่อลดฝุ่นPM2.5”น.ส.ภาดาท์กล่าว

ทั้งนี้นโยบายพรรคพปชร.ที่ผ่านมาได้ตระหนักถึงปัญหาฝุ่นPM2.5 โดยเฉพาะใน กทม. ที่ค่าเฉลี่ย ฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชน เนื่องจากระบบขนส่งในกรุงเทพที่มีรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปเป็นจำนวนมาก ซึ่งนโยบายที่ออกมาล่าสุดทั้งในเรื่องของเงินอุดหนุนรถยนต์คันละ 70,000 – 150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน ,การลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0%

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 16 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ เร่งเปิดใช้ท่าเรือท่าช้างโฉมใหม่ รับอุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลาน

,

“อธิรัฐ เร่งเปิดใช้ท่าเรือท่าช้างโฉมใหม่ รับอุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลานและถนนมหาราช“

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 13.00 น. ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามความคืบหน้างานพัฒนาท่าเทียบเรือโดยสารแม่น้ำเจ้าพระยาท่าเรือท่าช้าง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่าและคณะร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งท่าเรือท่าช้างให้บริการทั้งท่าเรือโดยสาร ท่าเรือข้ามฟากและท่าเรือท่องเที่ยว มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 12,324 คน/วัน รองรับเที่ยวเรือ 394 เที่ยว/วัน ส่งผลให้ท่าเรือเดิมที่มีขนาดเล็กมีความแออัด ไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ กรมเจ้าท่าจึงได้ดำเนินการ

•ก่อสร้างอาคารพักคอย จำนวน 2 หลัง ด้วยสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับทัศนียภาพเขตเมืองกรุงเก่า
•เพิ่มขนาดพื้นที่ท่าเรือ 1,941 ตร.ม.
•ติดตั้งโป๊ะขนาด 6×12 ม.จำนวน 4 โป๊ะ และ 5×10 ม.จำนวน 2 โป๊ะ เพื่อให้ท่าเรือมีพื้นที่รองรับผู้โดยสารได้เพียงพอ ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงการตรวจสอบความเรียบร้อย

ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าเร่งรัดการเปิดให้บริการภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นี้ เพื่อรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดใช้อุโมงค์ทางเดินลอดถนนหน้าพระลานและถนนมหาราช เขตพระนคร ทางเชื่อมจากท่าเรือท่าช้างไปยังพระบรมมหาราชวังบริเวณหน้าประตูสุนทรทิศา เป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทางเรือเพื่อเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และปรับปรุงท่าเรือให้มีความสวยงาม เข้ากับสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณโดยรอบ พร้อมทั้งให้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยผู้เดินทางตลอดเวลา ดูน้อยลง

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 14 กุมภาพันธ์ 2565

“ส.ส.ดร.พัชรินทร์” ลงพื้นที่ชุมชนรับฟังปัญหาปชช. รณรงค์ดูแลสุขภาพ

,

“ส.ส.ดร.พัชรินทร์” ลงพื้นที่ชุมชนรับฟังปัญหาปชช.-รณรงค์ดูแลสุขภาพ

ส.ส.ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ (ส้ม) กทม.เขต2 ปทุมวัน บางรัก สาทร และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย ดร.อภิชาติ ซำศิริพงษ์ (เอ) และทีมงาน ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนชุมชน พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชน และรณรงค์ ในการป้องกัน ดูแลสุขภาพ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำงานดูแลพี่น้องประชาชนร่วมกัน รวมทั้งประธานชุมชน คณะกรรมการชุมชนที่ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง

ติดตามผลงาน ดร.ส้ม พัชรินทร์ ได้ที่:
Facebook => https://www.facebook.com/DrPacharin/
Twitter => @drpacharin
#เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
#FightCovid19
#ดรส้ม #สสส้ม #พัชรินทร์ #พูดจริงทำจริงจริงใจ #สภาเต็มที่พื้นที่เต็มร้อย #กทมเขต2 #ปทุมวัน #บางรัก #สาทร #พปชร

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 13 กุมภาพันธ์ 2565

“รมว.ชัยวุฒิ” ประสานความร่วมมือกัมพูชาทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

,

“รมว.ชัยวุฒิ” ประสานความร่วมมือกัมพูชาทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เร่งจับกุมเป็นผลสำเร็จขานรับนโยบายนายกฯ ป้องกันปชช.ตกเป็นเหยื่อ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมขานรับข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.ว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีนโยบายในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเร่งด่วน เพื่อลดความเดือดร้อนให้กับประชาขนจากการสูญเสียทรัพย์สินและตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะมีการประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามกวาดล้างขบวนการผู้กระทำผิดกฎหมาย และจับกุมมาดำเนินคดี รวมถึงเตรียมเพิ่มความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ในการแก้ไขและปราบปรามปัญหานี้ร่วมกัน

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการ ดีอีเอส ในการปฏิบัติภารกิจร่วมกับคณะของ สตช. ภายใต้การนำทีมของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร ) หรือ PCT เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อพบกับ พล.อ.เซา ซกคา รอง ผบ.สส. และ ผบ.สห. (Gendarmerrie) ผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา

สำหรับการปฏิบัติการ เมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 3 จุดพร้อมกันในกรุงพนมเปญ และเมืองพระสีหนุ ซึ่งถูกใช้เป็นฐานในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยมีคนจีนเป็นหัวหน้าและผู้ควบคุมการทำงาน จับกุมผู้ต้องหาได้รวม 21 ราย และสำหรับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เจ้าหน้าที่กัมพูชาจะเร่งรัดดำเนินการติดตามตัวเพื่อส่งตัวให้กลับประเทศไทยโดยเร็ว โดยพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ มีทั้งชักชวนหลอกลงทุนซื้อขายเหรียญสกุลดิจิทัลผ่านผ่านเว็บไซต์ Digital Alliance การโทรหลอกลวงผู้เสียหายที่ประเทศไทยโดยแอบอ้างเป็นดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงการหลอกลวงให้เล่นเกมส์แบบพิชิตเป็นภารกิจโดยส่งลิงก์ผ่านเว็บไซต์ 888168hs.com เพจ ct make money โดยอ้างตัวเป็นเครือของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และ ปตท. หรือกลุ่ม PTTEP มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายรวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้รัฐบาลมีความห่วงใยปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องนี้ และได้สั่งการให้เร่งระดมกวาดล้าง พร้อมกันนี้อยากฝากเตือนประชาชนว่า อย่าไปหลงเชื่อการโทรแอบอ้างใดๆ อย่าโอนเงินให้กับคนที่ไม่รู้จัก และขอประชาสัมพันธ์ไปยังคนไทยที่ไปทำงานในประเทศกัมพูชา และเข้าร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ ว่าจะมีความผิดและต้องถูกดำเนินคดี ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 11 กุมภาพันธ์ 2565

อธิรัฐ เผย นายกฯ ห่วงเหตุน้ำมันรั่วซ้ำที่มาบตาพุด สั่งระดมทุกหน่วยเร่งแก้ไข

,

“อธิรัฐ เผย นายกฯ ห่วงเหตุน้ำมันรั่วซ้ำที่มาบตาพุด สั่งระดมทุกหน่วยเร่งแก้ไข ลดผลกระทบประชาชน”

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงถึงเหตุน้ำมันรั่วไหลซ้ำเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ในระดับ Tier 1 (น้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน) โดยพบฟิล์มน้ำมันดิบ(สีเงิน) บริเวณทิศเหนือ ห่างจากทุ่นผูกเรือน้ำลึก แบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเลของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ประมาณ 3 ไมล์ ใกล้กับจังหวัดระยอง ซึ่งกรมเจ้าท่าได้เคยมีคำสั่งระงับการใช้งานทุ่นเทียบเรือดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2565 ส่วนสาเหตุการรั่วไหล เบื้องต้นทราบว่าเกิดจากการที่บริษัทฯ ได้ยกท่ออ่อนขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นลอยขนถ่ายน้ำมันกลางทะเล จุดที่พบการรั่วไหลก่อนหน้าขึ้นมาตรวจสอบ แต่พบว่ามีน้ำมันค้างท่ออยู่ จนทำให้เกิดรั่วไหลลงทะเลอีกครั้ง และภายหลังเกิดเหตุกรมเจ้าท่าได้เร่งดำเนินการ ดังนี้

1. ออกประกาศกรมเจ้าท่าให้ระมัดระวังการเดินเรือ และระมัดระวังความปลอดภัย
2. สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาระยอง ได้แจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวนอีกครั้ง ในการกระทำดังกล่าวฝ่าผืนคำสั่งระงับใช้ทุ่นเทียบเรือ และก่อให้เกิดมลพิษฯ
3. มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ ดำเนินการปฎิบัติตามแผนเผชิญเหตุฯ ในระดับ Tier 1 และแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดรับทราบเพื่อเตรียมการรองรับเหตุที่เกิดขึ้นกรณีขยายวงกว้าง
4. ได้สั่งการให้บริษัทฯ เข้าระงับเหตุฯ อาทิ ล้อมบูม จัดเรือสนับสนุน และรายงานผลการทำงาน
5. กรมเจ้าท่า จัดเรือตรวจการณ์ เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้กรมเจ้าท่าเร่งดำเนินการขจัดคราบน้ำมันเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งให้เร่งประสานบริษัทฯ ตรวจสอบจุดที่รั่วไหลว่ายังคงมีปริมาณน้ำมันตกค้างอยู่ในท่ออีกหรือไม่ เพื่อการวางแผนและเตรียมการป้องกันเกิดเหตุซ้ำ

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 11 กุมภาพันธ์ 2565

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่งทุกหน่วยงานเร่งช่วยประชาชน แก้ปัญหาความเดือดร้อน

,

‘พล.อ.ประวิตร’ สั่งทุกหน่วยงานเร่งช่วยประชาชน แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ทั้งนี้ที่ประชุมมีเรื่องรับทราบ การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชนกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน (ทุกกระทรวง) และรับทราบรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนของประชาชน กรณี นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนของประชาชน และนำเสนอคณะกรรมการฯ

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า โดยที่ประชุมมีเรื่องเพื่อพิจารณา การแก้ไขปรับปรุงและเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้คณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน จำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มมวลชน คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายเกษตรกรช่วยชาติและคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เพื่อให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเร่งรัดติดตามการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนให้ได้ข้อยุติ หากประเด็นปัญหาใดที่ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ขอให้สร้างการรับรู้ ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชน เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในภายหลัง ขอให้ทุกหน่วยงานได้ร่วมกันปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่แม้ว่าต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงรายงานผลให้คณะกรรมการทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็วต่อไป

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 10 กุมภาพันธ์ 2565

พปชร.ประกาศความเหนียวแน่น พร้อมศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจกวาดได้เกิน 150 คน

,

พปชร. ประกาศความเหนียวแน่นเตรียมพร้อมศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจกวาดส.ส. ได้เกิน 150 คน

ส.ส.ดร.พัชรินทร์ เผย พล.อ. ประวิตร ย้ำในที่ประชุมพรรค พปชร.เป็นหนึ่งเดียว เหนียวแน่น เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง แต่งตั้ง “สันติ” รักษาการเลขาธิการพรรคฯ และ “สุรสิทธิ์”รักษาการนายทะเบียนพรรค แทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้ง “สุชาติ” รักษาการ ผอ.พรรค และ “ชัยวุฒิ” รักษาการนั่งรองหัวหน้าพรรค จนกว่าจะมีการประชุมสามัญประจำปี เตรียมลุยสนามเลือกตั้งครั้งหน้า สั่งลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนประชาชน กำหนดเป็นนโยบายพรรค ดูแลผลประโยชน์ประชาชนทุกกลุ่ม มั่นใจทำได้เกิน 150 เสียง

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ถนนรัชดา ส.ส.ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ กทม.เขต2 ในฐานะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) เปิดเผยว่าในวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานการประชุมพรรค โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริหารพรรครักษาการ 2 ตำแหน่งที่ว่างลง โดยให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดำรงตำแหน่ง รักษาการเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ รักษาการตำแหน่งนายทะเบียนพรรค ไปจนกว่าจะมีการประชุมพรรคสามัญประจำปีของพรรค พร้อมกับการแต่งตั้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรักษาการผู้อำนวยการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ เป็นรักษาการรองหัวหน้าพรรค เพื่อให้การบริหารงานพรรคสามารถขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือการเตรียมการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านโครงสร้างทั้ง 10 ภาค และยังให้ส.ส. ของพรรค ทำหน้าหน้าที่ในพื้นที่ที่จะรับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนเพื่อให้สะท้อนประเด็นต่างๆ ที่ประชาชนมีความต้องการในครั้งถัดไป เพื่อนำมาสู่การเตรียมความพร้อมการกำหนดนโยบายในแต่ละพื้นที่ และผลักดันให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งการทำหน้าที่ในสภาในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พปชร. จะได้รับเลือกตั้ง ส.ส.เข้าสู่สภาฯ ไม่น้อยกว่า 150 เสียง

ทั้งนี้ในการประชุมครั้งนี้ หัวหน้าพรรค ยังได้ย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐยังมีคงมีความเหนียวแน่น มีความกลมเกลียวและยังคงที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อสถาบัน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ยังคงให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งต่อไป ขณะเดียวกันทางหัวหน้าพรรคฯ ยังได้เปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิกทุกๆคน เพื่อให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมในประเด็นต่างๆ

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2565

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ฟื้นฟูน้ำใสคลองแสนแสบ

,

“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ฟื้นฟูน้ำใสคลองแสนแสบ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 1/2565 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าตามที่มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการของแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 จำนวน 84 โครงการ ดำเนินงานโดย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กทม.กรมโรงงานอุตสาหกรรม องค์การจัดการน้ำเสีย กรมควบคุมมลพิษ กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และจังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินการใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (ปี64) ระยะกลาง (ปี65–70) และระยะยาว (ปี71–74)

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ที่ประชุมได้ติดตามและเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผน รวมถึงโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรีที่อยู่ในแผนระยะเร่งด่วน เป็นโครงการที่บรรจุไว้ในแผนการในการแก้ไขปัญหาและบำบัดน้ำเน่าเสียในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร แบ่งการดำเนินโครงการเป็น 2 ระยะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ระยะที่ 1 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4.43 ตารางกิโลเมตร จะรับน้ำเสียในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตมีนบุรี และพื้นที่บางส่วนของเขตคลองสามวา เขตสะพานสูง และเขตคันนายาว คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 โดยจะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ 10,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

ดังนั้น เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีนบุรีทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและฟื้นฟูคุณภาพน้ำคลองแสนแสบและคลองสาขาได้กลับมาดีขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรีในระยะที่ 2 ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปี66-69) เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองต่างๆ ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร เช่น คลองแสนแสบ คลองสามวา และคลองสองต้นนุ่น ในเขตมีนบุรี เขตคลองสามวา เขตคันนายาว และเขตสะพานสูง ครอบคลุมพื้นที่ 15.39 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจะช่วยบำบัดน้ำเสียได้ 42,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยจะเสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ต่อไป

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากที่ ได้รับรายงานจากทุกหน่วยงาน ในวันนี้ จะเห็นได้ว่า การดำเนินงานทุกกิจกรรมมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีปัญหาอุปสรรค ในอีกหลายจุดที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ ตามแผนที่ได้วางไว้ อย่างต่อเนื่องขอฝากให้ทุกหน่วยงาน ร่วมมือ ร่วมใจ ดำเนินการอย่างจริงจังตลอดจน เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้กับประชาชน เพื่อให้คลองแสนแสบแห่งนี้ เป็นต้นแบบการพัฒนาของคลองอื่นๆ ต่อไป

เมื่อโครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้วเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้กรุงเทพมหานครมีระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ก่อนระบายลงคลองแสนแสบ และน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจะสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้คลองสายหลักที่สำคัญ ได้แก่ คลองแสนแสบ รวมทั้งคลองสาขาในพื้นที่บริการน้ำเสีย มีคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น ลดปัญหาน้ำเน่าเสียและกลิ่นเหม็น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนต่อการป่วยเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง และโรคระบาดทางน้ำอื่นๆ อีกด้วย

ที่มา : facebook.com/PPRPThailand/
เมื่อวันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2565