โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

“รมว.ชัยวุฒิ” เปิดตัวการใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่ ตั้งเป้านำร่องกับโรงพยาบาลในสังกัด กทม. เดือนพฤษภาคมนี้

, ,

“รมว.ชัยวุฒิ” เปิดตัวการใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่ ตั้งเป้านำร่องกับโรงพยาบาลในสังกัด กทม. เดือนพฤษภาคมนี้

26 เมษายน 2566, กรุงเทพมหานคร – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหาร GBDi สังกัดดีป้า สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และคณะผู้บริหารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ร่วมเปิดตัวการ ใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่ เพื่อเป็นช่องทางการลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพ เข้าสู่ระบบแก่ประชาชนโดยสะดวกด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียวในการลงทะเบียน ณ จุดบริการที่แผนกต่าง ๆ และแผนกเวชระเบียนของโรงพยาบาล เล็งนำร่องกับโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานครเป็นกลุ่มแรกพฤษภาคมนี้

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
พร้อมด้วย รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) หน่วยงานผู้พัฒนา Health Link ระบบเชื่อมโยงข้อมูลประวัติการรักษาผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลทั่วประเทศ สังกัด สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดตัวการใช้งาน Health Link รูปแบบใหม่

โดยเพิ่มช่องทางการลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพเข้าสู่ระบบแก่ประชาชน พร้อมรับชมกิจกรรมสาธิตการใช้งาน ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โดยมี ดร.นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร นพ.เพชรพงษ์ กำจรกิจการ รองผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ นพ.พรเทพ แซ่เฮ้ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ดร.ศุภกร สิทธิไชย ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสดีป้า และ นพ.ธนกฤต จินตวร รองผู้อำนวยการ GBDi ร่วมงานโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ โดย GBDi มุ่งมั่นมอบความสะดวกให้กับประชาชนในการลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพของตนเองเข้าสู่ระบบ Health Link ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะประชาชนบางกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือใช้งานแอปพลิเคชันไม่คล่อง ทำให้ไม่สามารถลงทะเบียนเข้าสู่ระบบได้ ดังนั้นทีมงาน Health Link จึงพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ที่ทำให้การลงทะเบียนและให้ความยินยอมในการส่งต่อข้อมูลสุขภาพของตนเองเข้าสู่ระบบเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วด้วยการใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ณ จุดบริการที่แผนกต่าง ๆ รวมถึงแผนกเวชระเบียนของโรงพยาบาลนั้น ๆ โดยจะนำร่องปฏิบัติการร่วมกับโรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ทั้ง 11 แห่งเป็นกลุ่มแรกในเดือนพฤษภาคมนี้

ขณะที่ รศ.ดร.ธีรณี กล่าวต่อว่า รูปแบบการให้บริการของ Health Link ที่เปิดตัวในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลประวัติสุขภาพและการรักษาระหว่างโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้น และยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเชื่อมต่อข้อมูลประวัติการรักษาโดยแพทย์สามารถเรียกดูข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันทีที่ผู้ป่วยลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ จากเดิมที่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า 1 วัน

“ปัจจุบันมีโรงพยาบาลทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ Health Link แล้วกว่า 300 แห่ง โดยในปี 2566 ตั้งเป้าหมายเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลให้ครอบคลุมมากกว่า 200 แห่ง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการ โดยปีที่ผ่านมา GBDi ได้ส่งเสริมให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Health Link เพื่อยินยอมให้โรงพยาบาลส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยไว้ในระบบผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ในหมวดสิทธิที่น่าสนใจฟีเจอร์กระเป๋าสุขภาพ และตอนนี้สามารถมาลงทะเบียนที่โรงพยาบาลได้” ผู้อำนวยการ GBDi กล่าว

สำหรับประชาชนสามารถศึกษารายละเอียดต่าง ๆ และติดตามข้อมูลข่าวสารความคืบหน้าการพัฒนาระบบ Health Link ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก HealthLink.go.th และเว็บไซต์ www.healthlink.go.th

ปัจจุบัน GBDi อยู่ระหว่างจัดตั้งเป็น สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Institute) ในการเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบาย พร้อมยกระดับทักษะบุคลากรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนประยุกต์ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่อย่างเป็นประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศในอนาคต

———————————————————————

ข้อมูลเพิ่มเติม :
Health Link เป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพผ่านระบบออนไลน์ (Health Information Exchange) ที่มีประสิทธิภาพด้วยระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล มีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยยกระดับบริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินที่ใดก็สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ทันที โดยแพทย์สามารถสืบค้นข้อมูลผู้ป่วย Health Link ทำให้ไม่ต้องเสียเวลารอการส่งข้อมูลจากโรงพยาบาลเดิมของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัย และการวางแผนรักษารวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนกรณีที่ต้องการย้ายโรงพยาบาลจะดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เพราะข้อมูลประวัติการรักษาจะตามตัวผู้ป่วยไปในทุกที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ลุยหาเสียงช่วย”ลั่น สฤษดิ์”เขต1 เบอร์ 11 ตลาดละลายทรัพย์ ท่ามกลางสายฝน ปักหมุดสีลมพื้นที่เป้าหมายฟื้นฟูศก.ท่องเที่ยว แฟนคลับแห่ถ่ายรูปแน่น พร้อมเผย 6 พ.ค.เตรียมลง จ.สตูล-ตรัง มั่นใจภาคใต้ยังรักษาฐานได้มั่น

,

“ศ.ดร.นฤมล”ลุยหาเสียงช่วย”ลั่น สฤษดิ์”เขต1 เบอร์ 11 ตลาดละลายทรัพย์ ท่ามกลางสายฝน ปักหมุดสีลมพื้นที่เป้าหมายฟื้นฟูศก.ท่องเที่ยว แฟนคลับแห่ถ่ายรูปแน่น พร้อมเผย 6 พ.ค.เตรียมลง จ.สตูล-ตรัง มั่นใจภาคใต้ยังรักษาฐานได้มั่น

วันนี้(26 เม.ย.66) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่สีลมซอย 5 ซอยละลายทรัพย์ ช่วยนายสฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตดุสิต (ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) เบอร์ 11 หาเสียง โดยได้พบปะพูดคุยผู้ค้าขายในพื้นที่ซอยละลายทรัพย์ท่ามกลางฝนที่ตกมาอย่างหนัก โดยมีประชาชนสอบถามเกี่ยวกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาพลังงาน เช่น ไฟฟ้า แก๊ส และเรื่องเศรษฐกิจ การลดค่าครองชีพ และการฟื้นตัวของการค้าขาย

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตอนนี้ทางผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่กันอย่างเข้มข้น เพราะถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว อย่างเช่น วันนี้เราก็มาลงพื้นที่ โดยเน้นในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชนฐานราก และ นโยบายลดค่าครองชีพ ซึ่งทางพรรคก็มีการทยอยออกนโยบายตรงนี้มาแล้ว และก็ยังมีนโยบายที่จะเป็นภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะครบทุกภาค ไม่ใช่แค่ อีสานประชารัฐ เราก็จะมีทั้งภาคตะวันออก และก็ทั้งภาคใต้ ซึ่งทางพรรคเองก็ให้ความสำคัญสำหรับทุก ๆ ภาคของประเทศไทย

“พื้นที่ กทม.พปชร.ก็จะพัฒนาพื้นที่ ไม่ใช่ดูแลคน กทม.อย่างเดียว เราจะพัฒนาจังหวัดโดยรอบ ซึ่งเราก็เน้นไปที่ประชาชนด้วย ว่ารายได้จะต้องกระจายไปถึงเขาได้อย่างไร ซึ่งผู้สมัครของเรา อย่างดร.ลั่น ก็ให้ความสำคัญกับตรงนี้”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.เท่านั้น แต่สำหรับภาคใต้ เรายังเตรียมพร้อมการลงพื้นที่ในช่วงสัปดาห์หน้า โดยผู้บริหารของพรรค ที่รับผิดชอบในแต่ละภาคก็เริ่มไปเจาะเขตพื้นที่เป็นเขตเป้าหมายที่เราหวังว่าสามารถมีลุ้นและอาจจะชนะได้ ในส่วนของตนก็จะไปที่จังหวัดสตูลและจังหวัดตรังในวันที่ 6 พ.ค.เพื่อช่วยผู้สมัครของพรรคปราศรัย

ในสัปดาห์หน้าจากการที่พรรคต่างๆ ลงพื้นที่หาเสียงในภาคใต้เป็นจำนวนมาก และเป็นสมรภูมิเลือกตั้งของหลายพรรคการเมือง ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ก็จะมีแผนลงพื้นที่เช่นกันเริ่มตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 28 เมษายนนี้ ที่อ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และต่อด้วยวันเสาร์ที่ 29 เมษายนนี้ ที่จ. นครศรีธรรมราช นอกจากนั้นก็จะมีเวทีปราศรัยขนาดกลางที่จะกระจายควบคู่กันออกไปด้วย โดย พปชร.ยังมั่นใจว่าว่า พื้นที่ภาคใต้ของเราอย่างน้อยก็ได้รักษาจำนวน ส.ส.เท่าเดิม เหมือนเช่นพื้นที่ กทม.ก็ตั้งเป้าอย่างน้อยเท่าเดิม และก็มากกว่าเดิม

นายสฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตดุสิต (ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) กล่าวว่า พื้นที่สีลม เป็นอีกหนึ่งพื้นที่เป้าหมายของการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ภายใต้ “กรุงเทพเมืองมหานครแห่งอาเซียน” ที่พปชร. จะผลักดันด้านการขยายตัวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ จะเป็นจุดขาย ให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ ถือเป็นพื้นที่ศักยภาพที่สร้างอาชีพ และรายได้ ให้กับประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก

โดยวางแนวทางให้เป็น จุดเช็คอิน เพื่อดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยว ที่จะเข้ามาเยือน และที่สำคัญพื้นที่แห่งนี้ มีพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย เป็นจำนวนมาก หลังสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดทำให้เลิกกิจการเป็นจำนวนมาก จึงต้องหาแนวทาง ให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ เพื่อฟื้นฟูย่านให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เป็นไปตามนโยบายการสร้าง ผู้ประกอบการรายใหม่ ภายใต้นโยบาย 3 เร่งด่วน 7 เร่งรัด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

“สกลธี” ลงพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน อาสาแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ-พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มั่นใจ “ลุงป้อม”ไม่มีปัญหาถือครองหุ้น

,

“สกลธี” ลงพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน อาสาแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ-พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มั่นใจ “ลุงป้อม”ไม่มีปัญหาถือครองหุ้น

​เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พื้นที่สำรวจชายฝั่งทะเล เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ร่วมกับ นายอนุชาญ กวางทอง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 26 เขตบางขุนเทียน (เฉพาะแขวงท่าข้าม) เขตจอมทอง (ยกเว้นแขวงบางขุนเทียน) หมายเลข 3 พร้อมลงเรือสำรวจแนวน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งและพบแกนนำชาวบ้านเพื่อรับทราบถึงปัญหาพร้อมชี้แจงแนวทางแก้ไข

​นายสกลธีกล่าวว่า ปัญหาตรงนี้ที่พบคือเรื่องปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งและถนนสัญจร ซึ่งงบประมาณของท้องถิ่นอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ นโยบายพรรค พปชร.จะมีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท เข้ามาช่วยอุดหนุนท้องถิ่นเพื่อช่วยพัฒนาถนนและทำแนวเขื่อนป้องกัน พร้อมกับพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังยืนเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ต่อไป

​“ตรงนี้มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีการเข้ามาช่วยสนับจากภาครัฐอย่างเพียงพอ ผมมั่นใจว่าด้วยนโยบายและความตั้งใจของผม เราจะทำให้ตรงนี้เป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่และจะแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้กับพี่น้องชาวบางขุนเทียนได้”

​ส่วนกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถือครองหุ้นของบริษัท อาจเข้าข่ายตามลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้สมัคร ส.ส. นายสกลธีกล่าวว่า ในส่วนนี้ไม่เป็นห่วงเพราะเท่าที่ทราบท่านไม่เคยซื้อหุ้นในส่วนนี้เลย แต่ท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้อย่างเต็มที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

“ธรรมรักษ์” ลุยให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ภาคอีสาน เร่ง ประชาสัมพันธ์นโยบายอีสานประชารัฐ เผย “สมรักษ์” มั่นใจ ซ้อมดี ชกในบ้าน แพ้ยากแน่นอน

,

“ธรรมรักษ์” ลุยให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ภาคอีสาน เร่ง ประชาสัมพันธ์นโยบายอีสานประชารัฐ เผย “สมรักษ์” มั่นใจ ซ้อมดี ชกในบ้าน แพ้ยากแน่นอน

พลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน เปิดเผยว่าในช่วงวันที่ 20-25 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนและพลเอกวีระชัย อินทุโศภน หรือ บิ๊กอ้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปยังทางขึ้น จ.หนองบัวลำภู จ.เลย จ.หนองคาย และ จ.ขอนแก่น เพื่อให้กำลังใจผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ โดยได้เน้นนโยบายพรรคฯ ร่วมถึง โครงการในการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือ อีสานประชารัฐ เน้นให้ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องโดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้

ทั้งนี้ พลเอกธรรมรักษ์ ระบุว่าได้พบกับ นายสมรักษ์ คำสิงห์ ผู้สมัครฯใน จ.ขอนแก่น ซึ่งทางนายสมรักษ์ ได้กล่าวว่า ดีใจที่พลเอกธรรมรักษ์มาให้กำลัง และมีความเชื่อมั่นว่า จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

จากนั้นได้พูดคุยกันด้วยบรรยากาศสบาย ๆ โดยคณะทำงานของพลเอกธรรมรักษ์ ได้ถามนายสมรักษ์ฯถึงในอดีตวันที่ได้เหรียญทองโอลิมปิคว่าถ้าวันนั้นเจอกับ Floyd Mayweather Jr. ในรอบชิงเหรียญทองจะชนะไหม ซึ่งนายสมรักษ์ กล่าวว่าในเวลานั้น ผมสดมากเจอใครก็ได้ชนะแน่นอน ตอนนี้ในเวทีการเมืองผมก็สดเช่นกัน มั่นใจครับ เรียกว่าถ้าภาษาหมัดมวย ต้องบอกว่า ซ้อมดีมากและชกในบ้านด้วย แพ้ยากครับ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 เมษายน 2566

ชาวไร่-ชาวนา เฮ! พปชร.คลอด “นโยบายเงินทุนเกษตรกร 30,000 บาท” หวังลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร 8 ล้านครัวเรือน “ชาญกฤช” เผยเตรียมยื่น กกต.ตรวจสอบวันนี้ ยันไม่ใช่นโยบายเหวี่ยงแห

,

ชาวไร่-ชาวนา เฮ! พปชร.คลอด “นโยบายเงินทุนเกษตรกร 30,000 บาท” หวังลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร 8 ล้านครัวเรือน “ชาญกฤช” เผยเตรียมยื่น กกต.ตรวจสอบวันนี้ ยันไม่ใช่นโยบายเหวี่ยงแห

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธานฯ ได้ให้ความเห็นชอบกับการออกนโยบายเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง จำนวน 3 นโยบาย หนึ่งในนั้นคือ “นโยบายช่วยเหลือให้ทุนการเพาะปลูกของเกษตรกร” ซึ่งจะได้รับครัวเรือนละ 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยทั่วประเทศ ทั้งชาวนา ชาวไร่ ให้เกิดความเข้มแข็งจากทุนรอนที่จะใช้ในการประกอบอาชีพ โดยที่เกษตรกรทั้ง 8 ล้านครัวเรือน จะได้รับเงินโอนตรงเข้าบัญชีที่มีอยู่กับธนาคารทันที

“นโยบายช่วยเหลือให้ทุนการเพาะปลูกของเกษตรกร เป็นนโยบายที่ผ่านการคัดกรองจากดรีมทีมเศรษฐกิจและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมาอย่างรอบคอบ ซึ่งนอกจากจะเป็นนโยบายที่ทำให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการเพาะปลูกพืช สวน ไร่ นา เกษตรกรจะได้รับโอกาส ได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากและการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้เม็ดเงินเกิดการหมุนเวียนในระบบไวและในปริมาณมาก ยืนยันว่า นโยบายนี้เป็นการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด ไม่ใช่นโยบายในลักษณะเหวี่ยงแห ที่อาจจะไปกระทบกับเสถียรภาพทางการคลัง” นายชาญกฤช กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า นโยบายที่พรรคพลังประชารัฐออกมาล่าสุด จะมีการนำส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิ่มเติมในวันนี้

พร้อมฝากประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“พล.ประวิตร” เปิดตัว “ดร.คณิศ แสงสุพรรณ” อดีตประธานที่ปรึกษาพิเศษ EEC ร่วมเป็นทีมนโยบายพรรคพลังประชารัฐ // ตั้งเป้าขับเคลื่อนเมกะโปรเจค “เขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้” //หวังสร้างงาน สร้างความมั่งคั่งให้พี่น้อง 14 จังหวัดชายแดนใต้

,

“พล.ประวิตร” เปิดตัว “ดร.คณิศ แสงสุพรรณ” อดีตประธานที่ปรึกษาพิเศษ EEC ร่วมเป็นทีมนโยบายพรรคพลังประชารัฐ // ตั้งเป้าขับเคลื่อนเมกะโปรเจค “เขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้” //หวังสร้างงาน สร้างความมั่งคั่งให้พี่น้อง 14 จังหวัดชายแดนใต้

วันที่ (25 เมษายน 2566) เวลา 14.00 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ – พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เปิดตัว “ดร.คณิศ แสงสุพรรณ” อดีตประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมทีมนโยบายพรรคพลังประชารัฐในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในนามพรรคพลังประชารัฐ ขอต้อนรับ “ดร.คณิศ แสงสุพรรณ” อดีตประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC เข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นความยินดีอีกครั้งหนึ่ง ที่พรรคพลังประชารัฐได้ต้อนรับคนเก่ง คนมีความสามารถโดดเด่น เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางแผนและการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่าง ดร.คณิศ เข้ามาช่วยงานพรรคพลังประชารัฐ โดยหลังจากที่ได้ขับเคลื่อน EEC จนประสบความสำเร็จแล้ว วันนี้ ดร.คณิศ ได้รับเป็นหัวเรือหลักในการขับเคลื่อนนโยบาย “เขตพัฒนาพิเศษชายแดนใต้” เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างความมั่งคั่ง ให้กับพี่น้องทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้

สำหรับ “ดร.คณิศ แสงสุพรรณ มีความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน การพัฒนาเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ผ่านมา มีประสบการณ์และได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการนโยบายการเงิน, กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการธนาคารพาณิชย์ และ กรรมการการบินไทย โดย ดร.คณิศ นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการ นโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC เป็นเวลากว่า 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคพลังประชารัฐให้การสนับสนุน

ดร.คณิศ กล่าวว่า ขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ซึ่งตนเองเรียกติดปากว่าพี่ป้อม และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ตนได้ลาออกจากทุกตำแหน่งเรียบร้อยแล้วโดยเฉพาะตำแหน่งประธานที่ปรึกษา EEC เพื่อมาช่วยงานพี่ป้อม ขอเรียนว่า EEC เป็นเมกะโปรเจคของรัฐบาลที่ดำเนินไปอย่างประสบความสำเร็จ ได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี คาดว่า เศรษฐกิจ EEC จะขยายตัวปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้า

“ที่ผ่านมา ได้ร่วมงานกับพี่ป้อมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องโครงการน้ำใน EEC พี่ป้อมและทีมของท่านได้ช่วยทำแผนภาพรวมโครงการที่เกี่ยวกับน้ำ และผลักดันจนสำเร็จกว่า 20 โครงการ โดยโครงการทั้งหลายนั้น สำเร็จได้ เพราะความเป็นผู้นำ กล้าซักถามตรงไปตรงมา การจดจำที่แม่นยำ รวมทั้งความกล้าตัดสินใจของพี่ป้อม ถือเป็นส่วนที่ประทับใจในการทำงานร่วมกัน”

ดร. คณิศ กล่าวต่อไปอีกว่า หลายเดือนก่อน พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับ นายอันวาร์ อิมราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียที่กรุงเทพฯ ได้มีการหารือกันเรื่องชายแดนภาคใต้ของไทยและภาคเหนือของมาเลเซีย พี่ป้อมได้ให้โจทย์กับผมว่า จะสามารถนำเศรษฐกิจเข้าไปพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ได้อย่างไรบ้าง เป็นที่มาของโครงการเขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้ที่ได้นำเสนอกับพี่ป้อม ท่านเห็นดีด้วยและรับเป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจเข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องการอาศัยความเป็นผู้นำที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งของพี่ป้อม ช่วยก้าวความขัดแย้งทั้งเรื่องการระหว่างประเทศ สร้างความปรองดอง และความเข้าใจระหว่างหน่วยงานต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนโครงการนี้ให้สำเร็จ

สำหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้ มุ่งหวังให้เป็นความร่วมมือของทั้งสองประเทศ จะมีการจัดทำแผนเพื่อเชื่อมโยงเขตพิเศษทางเศรษฐกิจเข้าไว้ด้วยกัน ในฝั่งไทย โครงการดังกล่าว จะเชื่อมต่อ 5 จังหวัด คือ สงขลา ยะลา สตูล ปัตตานี นราธิวาส รวมเป็นเขตพัฒนาพิเศษแบบ EEC โดยมีอย่างน้อย 6 โครงการเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ เช่น (1) ยกระดับรายได้เกษตรกร ด้วยการแปรรูปพืชเกษตรให้มีคุณภาพ อาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่มุ่งสู่ตลาดโลก (2) พัฒนาการท่องเที่ยว ทั้งฝั่งอ่าวไทย ทำตากใบโมเดล ฝั่งอันดามัน ทำสตูลโมเดล ผ่านโครงข่ายเรือและเครื่องบินท่องเที่ยว เพื่อนำรายได้สู่พื้นที่ (3)มีการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น Motorway และ Landbridge เชื่อมทั้ง 2 ฝั่งทะเล (4) สนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตลอดข้างทางของ Motorway เช่นศูนย์กลางอาหารระดับนานาชาติ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน ยา โลจิสติกส์ (5) ขยายความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองประเทศ (6) ใช้ธนาคารอิสลามเป็นธนาคารหลักของเขตพัฒนาพิเศษ

“โครงการเขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้มุ่งหวังจะทำให้พี่น้อง 8 ล้านคนใน 14 จังหวัดชายแดนใต้กลับมามั่งคั่ง หากเลือกพรรคพลังประชารัฐ นอกจากจะก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว จะก้าวพ้นความยากจน เขตพัฒนาพิเศษชายแดนภาคใต้ที่พรรคพลังประชารัฐนำเสนอ จะช่วยทำให้ลูกหลานชาวใต้เติบโตในพื้นที่ มีงาน มีรายได้สูง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ได้ให้การสนับสนุน และร่วมผลักดันนโยบายนี้” ดร.คณิศ กล่าวเน้นย้ำในช่วงท้าย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“วิรัช”เผย พปชร.วางโปรแกรมเดินสายปราศรัย 4 วันรวด คาดเวทีสุดท้ายจบที่ กทม.

,

“วิรัช”เผย พปชร.วางโปรแกรมเดินสายปราศรัย 4 วันรวด คาดเวทีสุดท้ายจบที่ กทม.

เมื่อเวลา 15.10 น.นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจกรรมและการปราศรัยหาเสียง แถลงถึงกำหนดการลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงของพรรคว่า พรรคมีกำหนดการปราศรัย ในพื้นที่อื่นๆ โดยวันที่ 28 เม.ย.นี้ จะเดินทางไปที่ จ.สงขลา วันที่ 29 เม.ย.ที่ จ.นครศรีธรรมราช และวันที่ 30 เม.ย.จะลงพื้นที่ภาคอีสานที่ จ.ขอนแก่น จากนั้นแกนนำของพรรคจะช่วยกันลงพื้นที่ โดยวางโปรแกรมไว้ ที่ จ.ร้อยเอ็ด ยังรอกำหนดการที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ในส่วนโปรแกรมสำหรับสัปดาห์หน้า จะรอประชุมอีกครั้งหนึ่ง โดยจะแจ้งกำหนดการอาทิตย์ต่ออาทิตย์

ทั้งนี้ นายวิรัช เปิดเผยด้วยว่า เวทีปราศรัยสุดท้ายก่อนเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ จะจัดที่ กทม.ในวันที่ 12 พ.ค.นี้ ซึ่งสถานที่น่าจะจัดที่สนามไทยญี่ปุ่น ดินแดง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“สกลธี” มั่นใจ พปชร.ไม่มีปัญหาหุ้นสื่อ

,

“สกลธี” มั่นใจ พปชร.ไม่มีปัญหาหุ้นสื่อ

​เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ร่วมกับ “อ้น” ณิรินทร์ เงินยวง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 15 (คันนายาว-บึงกุ่ม) หมายเลข 8 เพื่อพบปะประชาชน

​โดย น.ส.ณิรินทร์กล่าวว่า สวนเสรีไทยนี้เป็นหนึ่งในสวนตัวอย่างของ กทม.ที่ไม่ต้องมีขนาดใหญ่มาก แต่เข้าถึงง่าย ใกล้กับหมู่บ้านแหล่งชุมชน ผู้สูงอายุสามารถเดินออกกำลังรอบสวนได้ มีความปลอดภัยเพราะมี รปภ.ดูแลตลอด ตนจึงอยากให้มีการสร้างสวนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งใน กทม.

​นายสกลธีกล่าวว่า เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม. โดยเฉพาะการสร้างสวนขนาดเล็กที่ประชาชนสามารถเดินถึงได้ภายใน 15 นาที แต่งบประมาณของท้องถิ่นอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ พรรคพลังประชารัฐจึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทขึ้นเพื่อมาช่วยท้องถิ่นพัฒนาพื้นที่ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรค

​“ปัญหาด้านสาธารณสุขต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ต้องรอป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรค แต่เราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีตั้งแต่ต้น พรรคจึงมีนโยบายส่งเสริมให้ทุกคนออกกำลังกาย และเชื่อมข้อมูลกับสมาร์ทวอชหรือโทรศัพท์มือถือ นำข้อมูลการออกกำลังกายมาแลกของรางวัลจากรัฐบาล เช่น ส่วนลดค่าน้ำค่าไฟ หรือการลดภาษีได้”

​เมื่อถามถึงการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ นายสกลธีกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นายทิวา เงินยวง เป็น ส.ส.น้ำดี มีผลงานมากมาย เมื่อมีทายาทอย่าง น.ส.ณิรินทร์มาอาสาดูแลพี่น้องประชาชนต่อ ทุกคนจึงให้การตอบรับเป็นอย่างดี
​“ส่วนกรณีที่ กกต.กำลังพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.หลายคน เรื่องการถือครองหุ้นนั้น ยืนยันว่าทั้ง พล.อ.ประวิตรและพรรคพลังประชารัฐทำตามที่กฎหมายระบุอยู่แล้ว ส่วนการตีความก็ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

ผู้กองธรรมนัส ฟิตจัด! เดินสายหาเสียงไม่หยุดเช้ายันค่ำ ซึ้งใจชาวพะเยา แห่ให้กำลังใจเนืองแน่นทุกพื้นที่ ชวนเชิญ 14 พฤษภาฯ นี้ เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งสีม่วง เบอร์ 6 ยกจังหวัด บัตรสีเขียวกาเบอร์ 37 “เลือกคนที่ได้ใช้ เกิดประโยชน์สร้างบ้านแปงเมือง”

,

ผู้กองธรรมนัส ฟิตจัด! เดินสายหาเสียงไม่หยุดเช้ายันค่ำ ซึ้งใจชาวพะเยา แห่ให้กำลังใจเนืองแน่นทุกพื้นที่ ชวนเชิญ 14 พฤษภาฯ นี้ เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งสีม่วง เบอร์ 6 ยกจังหวัด บัตรสีเขียวกาเบอร์ 37 “เลือกคนที่ได้ใช้ เกิดประโยชน์สร้างบ้านแปงเมือง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดพะเยา เบอร์ 6 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ ยังเดินหน้าหาเสียงอย่างต่อเนื่อง

โดยก่อนหน้านี้ ไปปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคฯ ที่ภาคอีสาน คือจังหวัดนครราชสีมา วันที่ 22 เมษายน 66 ที่บริเวณตลาดเซฟวัน จากนั้นวันที่ 23 เมษายน 66 ที่ผ่านมา ไปปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณกาดกลางแจ้ง สามแยกฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

ล่าสุดวันนี้ 24 เมษายน 2566 เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 6.00 น. ร.อ.ธรรมนัส พร้อมทีมงานผู้ช่วยหาเสียง ลงพื้นที่ไปพบปะทักทาย พ่อค้าแม่ค้าและพี่น้องประชาชนทั่วไป ที่ตลาดสดแม่สุก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ซึ่งได้รับการต้อนรับจากพ่อค้าแม่ค้า และพี่น้องประชาชน รวมถึงบรรดาแม่บ้าน ร้านค้าต่างๆ มาให้กำลังใจกันอย่างคึกคัก ทั้งนี้ร.อ.ธรรมนัส ยังแสดงความห่วงใยกรณีประชาชนในจังหวัดพะเยาได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ทำให้บ้านเรือนเสียหายหลายพื้นที่ซึ่งได้มอบหมายให้ทีมงานประสานผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา และ อบจ.ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ให้เข้าไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนแล้ว

“ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกท่านที่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ไว้วางใจเลือกผมเข้าไปเป็น ส.ส.เป็นปากเป็นเสียง และทำงานเพื่อพัฒนาบ้านเมืองของเรา ซึ่งทุกท่านก็ได้เห็นผลงานกันอยู่แล้ว วันนี้ผมจึงมาขอฝากว่า ในการเลือก ส.ส.วันที่ 14 พฤษภา เดือนหน้านี้ ก็เชิญชวนพ่อแม่พี่น้อง ออกใช้สิทธ์กัน เลือกผมเข้าไปเป็นส.ส.เหมือนปี 2562 เพื่อจะได้ทำงานสานต่อผลักดันงบประมาณมาสร้างบ้านแปงเมืองของเราให้เจริญยิ่งขี้น เลือกคนที่ได้ใช้ ได้เกิดประโยชน์กับบ้านกับเมืองเราครับ อย่าลืมบัตรสีม่วงกาเบอร์ 6 ยกจังหวัด บัตรสีเขียวกาเบอร์ 37 เพื่อเข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร เป็นรัฐบาลทำงานตามนโยบายต่างๆ เป็นรูปธรรมทันทีครับ”

จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส พร้อมทีมงานผู้ช่วยหาเสียง ได้ขึ้นรถแห่ปราศรัยหาเสียงไปตามหมู่บ้านต่างๆในตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ เพื่อแนะนำบอกกล่าวถึงนโยบายของพรรค ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อความรักสามัคคีของประชาชน และสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มเป็น 700 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน แก้ปัญหาที่ดินทำกิน โดยผลักดันเปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด และ ค.ท.ช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก .ตามเป้าหมาย “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” ทั้งนี้พบว่า ตลอดสองข้างทางที่รถแห่หาเสียงเคลื่อนตัวผ่าน ได้มีชาวบ้านในพื้นที่ออกมาส่งเสียงเชียร์ “ผู้กองธรรมนัส สู้สู้” ให้กำลังใจอย่างล้นหลาม

เวลา 16.30-19.00 น. ร.อ.ธรรมนัส นำทีมงานผู้ช่วยหาเสียงลงพื้นที่พบปะประชาชนบริเวณวัดร่องคือ ต.แม่ปืม อ.เมือง ก่อนจะขึ้นรถแห่ปราศรัยหาเสียง สลับกับการลงเดินพบปะเยี่ยมเยือนประชาชนในหมู่บ้านต่างๆรอบตำบลแม่ปืม อ.เมือง จ.พะเยา ประกอบด้วย บ้านสันต้นคือ บ้านสันต้นหวีด บ้านโป่งเกลือ บ้านห้วยบง ซึ่งบรรยกาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีพ่อแม่พี่น้องประชาชนตามหมู่บ้านดังกล่าวมาคอยให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก แม้บรรยากาศจะเริ่มมืดค่ำ แต่ทุกคนยังรอพบเพื่อร่วมถ่ายภาพ มอบพวงมาลัย และผูกข้อมือให้กำลังใจร.อ.ธรรมนัส อีกด้วย ซึ่งร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า มีความซาบซึ้งใจอย่างมาก ที่เห็นพ่อแม่พี่น้องทุกคนมาคอยให้กำลังใจ ตนเองเหมือนเป็นลูกหลานก็จะทำหน้าที่รับใช้ทุกท่าน และเพื่อบ้านเมืองของเราอย่างดีที่สุด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ” ปราศรัยบ้านเกิดสิงห์บุรี ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง ย้ำ ตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา

,

“ชัยวุฒิ” ปราศรัยบ้านเกิดสิงห์บุรี ประกาศก้าวข้ามความขัดแย้ง ย้ำ ตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เรียกใช้ได้ตลอดเวลา

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยบริเวณวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี นำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า บ้านเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใส่เสื้อสีออกมาประท้วง ทำให้ประชาชนทำมาหากินไม่ได้ ในสภาผู้แทนราษฎรก็ยังทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลทำให้บ้านเมืองมีปัญหา คนไทยไม่มีความสุข

“วันนี้แค่จะเลือกตั้งก็ทะเลาะกันแล้ว ยิ่งมีสีส้มมาอีกหนักกว่าสีแดง สีเหลือง เพราะเขาจะมาแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนประเทศ จะเปลี่ยนไปทางไหน เขาบอกต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งต้นตอของเราก็ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่าต้นตอของปัญหาคือนักการเมืองที่ทุจริต นักการเมืองโกง นักการเมืองเห็นแก่ตัวทะเลาะกัน นั่นแหละคือต้นตอของปัญหา ไม่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเราดีอยู่แล้ว แต่เราต้องเปลี่ยนที่นักการเมือง เลือกนักการเมืองที่ดีเข้าไปทำงานให้ประเทศชาติสงบสุข ประชาชนทำมาหากินได้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้พูดเป็นคนแรก และคนเดียวมาตลอดว่า อยากให้ทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้ง ถ้าทุกคนยังทะเลาะกันอยู่จะอยู่อย่างไร เราเลือกผู้แทนไปทำงาน เราต้องเลือกคนที่เรารัก เลือกพรรคที่เราชอบเข้าไปทำงาน การเมืองถึงจะเดินหน้าไปได้ บ้านเมืองก็สงบสุข แต่ช่วงหลังการเมืองแปลก ๆ เพระมีความขัดแย้ง ประชาชนมาทะเลาะกันเพราะการเมือง บางบ้านพ่อใส่เสื้อสีแดง แม่ใส่เสื้อสีเหลือง ลูกใส่เสื้อสีส้ม ก็ทะเลาะกันทั้งวันแบบนี้จะมีความสุขได้อย่างไร ครอบครัวก็แตกแยก ดังนั้นการเมืองต้องมาทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ทำเพื่อครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ไม่ใช่เลือกแล้วมาทำให้ประชาชนมาทะเลาะกัน มาปลุกปั่นให้แตกแยก

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิ ยังชูนโยบายลดราคาแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน เพราะเห็นใจชาวบ้านที่ประสบปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยยืนยันว่า สิ่งแรกที่พรรคพลังประชารัฐจะทำทันทีที่เป็นรัฐบาล และ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คือ การลดค่าครองชีพ ลดค่าไฟ ค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ให้ไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท เพื่อทำให้ประชาชนมีเงินเหลือเพื่อนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ

“ผมขอขอบคุณประชาชนที่มาฟังปราศรัย ผมตั้งใจมาตอบแทนพระคุณแผ่นดิน เพราะผมเป็นคนสิงห์บุรี ไม่มีวันลืมบ้านเกิดแน่นอน พี่น้องสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลาแน่นอน”นายชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2566

“ไพบูลย์”หวั่นโพลชี้นำบางสำนัก นำเสนอให้ข้อมูลไม่ตรงข้อเท็จจริง อาจเข้าข่ายความผิดทาง กฏหมายตาม รธน.เตือนเสี่ยงเป็นคดีความ

,

“ไพบูลย์”หวั่นโพลชี้นำบางสำนัก นำเสนอให้ข้อมูลไม่ตรงข้อเท็จจริง
อาจเข้าข่ายความผิดทาง กฏหมายตาม รธน.เตือนเสี่ยงเป็นคดีความ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สำนักโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่งมีบางสำนักปรากฏข้อมูลในการเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนน่าจะไม่สอดรับกับความเป็นจริงว่า ตนในฐานะนักกฎหมาย มีความเป็นห่วงว่า สำนักโพลเหล่านั้นอาจจะมีปัญหาข้อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 72 การสํารวจความคิดเห็นของประชาชนโดยมีเจตนาไม่สุจริต มีลักษณะเป็นการชี้นํา หรือมีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดจะกระทํามิได้

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า และเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 73 ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการ หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ทั้งนี้ตามมาตรา 72 และมาตรา 73(5) กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรวมถึงสำนักโพลต่างๆกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ดังนั้นหากสำนักโพลใดฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (5) จะมีบทลงโทษตามมาตรา 159 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ตนจึงแจ้งข้อห่วงใยมายังสำนักโพลต่างๆให้ระมัดระวังข้อกฎหมายในเรื่องดังกล่าวข้างต้น เพราะเชื่อว่าจะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยื่นคำร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบสำนักโพลดังกล่าว ซึ่งสามารถยื่นคำร้องได้จนถึง 30 วันหลังจากวันเลือกตั้ง ก็อาจจะทำให้สำนักโพลบางสำนักอาจมีปัญหาทางกฎหมายได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 เมษายน 2566

“กาญจนา จังหวะ”ผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ พปชร.เผย นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร โดนใจชาวอีสาน มั่นใจ โกยคะแนนได้เพียบ

,

“กาญจนา จังหวะ”ผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ พปชร.เผย นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร โดนใจชาวอีสาน มั่นใจ โกยคะแนนได้เพียบ

นางสาวกาญจนา จังหวะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จังหวัดชัยภูมิ เบอร์ 5 กล่าวถึงการหาเสียงในขณะนี้ว่า ตนต้องขอขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องในพื้นที่ ๆ ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และได้มอบแรงเชียร์แรงใจ สนับสนุน ให้ลูกหลานกาญจนาคนนี้เสมอ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ในทั่วประเทศนโยบายของพรรค พปชร.มีความชัดเจนโดนใจชาวบ้านอยู่แล้ว ในเรื่องการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ก็คือบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ที่จะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน

นางสาวกาญจนา กล่าวต่อว่า ล่าสุดพรรค พปชร.ประกาศนโยบายที่จะพัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออก โดยรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ-ท่าเรือแหลมฉบัง-ท่าเรือมาบตาพุด-สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับโครงการอีอีซี พปชร.ทำเพื่อคนอีสานโดยเฉพาะ จะได้มีงาน สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนอีสาน โครงการนี้เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะเพื่อให้ภาคอีสานเจริญ

“ประชาชนในพื้นที่ยังมีการพูดถึง นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร ที่จะดูแลเกษตรกรทั่วประเทศ ทั้งชาวไร่ ชาวนา ให้เข้มแข็งด้วยการ ให้ทุนเพื่อประกอบอาชีพ ครอบครัวละ 30,000 บาท ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะปลูกพืชอะไรก็ตาม จะได้รับเงินโดยโอน ตรงเข้าบัญชีเกษตรกร ที่มีอยู่กับธนาคารทันที เพื่อจะได้นำไปลงทุน สำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่ โดยเห็นว่าเป็นนโยบายที่สร้างความหวังให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก และเห็นว่านโยบายของ พปชร.ข้อนี้ถือว่าเล็งเห็นความสำคัญของเกษตรไทยทั้งประเทศด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 เมษายน 2566