โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

อดีต “คลัง” ค้านกู้เงิน 5 แสนลบ. เพิ่มภาระ จับตา 5 ประเด็นแก้เศรษฐกิจ

,

อดีต “คลัง” ค้านกู้เงิน 5 แสนลบ. เพิ่มภาระ จับตา 5 ประเด็นแก้เศรษฐกิจ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีตรมว.คลัง กล่าวถึงกรณี รมว.คลังมีแนวคิดในการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ว่า ขอให้ประชาชนคัดค้านการก่อหนี้เพิ่มถ้าหากไม่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริง

อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม คลิก
https://www.tnnthailand.com/wealth/investment/197521/

ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์
Line @TNNWEALTH : https://lin.ee/TQ14oAe

ที่มา: https://www.instagram.com/tnn_wealth/
วันที่: 28 เมษายน 2568

“ธีระชัย” เตือนกู้ 5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไร้ประสิทธิภาพ “หยุดขายฝันปั้นวิกฤติเป็นโอกาส” เร่งเก็บกระสุนการคลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

,

“ธีระชัย” เตือนกู้ 5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไร้ประสิทธิภาพ “หยุดขายฝันปั้นวิกฤติเป็นโอกาส” เร่งเก็บกระสุนการคลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

วันที่ 28 เม.ย. 2568 ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พปชร. แถลงถึงกรณีรัฐมนตรีคลังเตรียมกู้เงิน 5 แสนล้าน ซึ่งอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตภาษีสหรัฐ ภายหลังจากกองทุนการเงินฯ (IMF) หั่นจีดีพีไทยของปี 2567 จากเดิม 2.9% เหลือ 1.8% และของปี 2568 จากเดิม 2.6% เหลือ 1.6% โดยหากรัฐบาลเลือกที่จะกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ก็จะทำให้หนี้สาธารณะจากปัจจุบัน 64.21% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3% นั้น

นายธีระชัยเตือนว่า หนี้ที่รัฐบาลกู้ 10.69 ล้านล้านบาท หารด้วยจำนวนคนไทย 66 ล้านคนนั้น เป็นภาระต่อคนกว่า 160,000 บาทอยู่แล้ว จึงขอให้ประชาชนคัดค้านการก่อหนี้เพิ่มถ้าหากไม่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริง โดยแนะนำให้ประชาชนจับตารัฐบาลใน 5 เรื่อง
1. รัฐบาลควรลดการกู้เพื่อแจกอุดหนุนอุปโภคบริโภค เพราะถึงแม้จะทำให้จีดีพีสูงขึ้นบ้าง แต่เป็นเพียงชั่วคราว การใช้กระสุนแบบนี้ไม่เพิ่มประสิทธิภาพของประเทศ จึงจะไม่ช่วยเพิ่มรายได้อนาคตที่จะเอามาใช้คืนหนี้ ดังเห็นได้ว่าโครงการแจกเงินหมื่นที่ใช้งบประมาณไปแล้วถึง 1.75 แสนล้านบาท ก็ได้ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยมาก และไม่เกิดแรงส่งที่ยั่งยืน
2. เงินที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องเกลี่ยจากงบประมาณให้เต็มที่ก่อน โดยรัฐบาลจะต้องเด็ดขาดในการตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือไม่เร่งด่วน จะต้องแสดงผลงานด้านนี้ให้ประชาชนเห็นก่อน
3. สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เป็นเรื่องปลายทาง แต่กระทรวงการคลังควรเร่งหารือกับแบงค์ชาติในเรื่องต้นทาง 4 เรื่องก่อน คือ (ก) ด้านผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ข) ด้านเพิ่มการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน (ค) ด้านการปรับโครงสร้างหนี้ที่จริงจังโดยให้สถาบันการเงินต้องควักกำไรสะสมเข้ามารับภาระมากขึ้น และ (ง) ด้านการบีบลดกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน
4. รัฐบาลควรประกาศยกเลิกการแจกเงินหมื่นเฟส 3 ทันที เพราะสถานการณ์โลกข้างหน้ามีหลายความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง จึงควรเก็บกระสุนการคลังเอาไว้เพื่อใช้ยามจำเป็น
5. รัฐบาลควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีศักยภาพสูงขึ้น ทั้งด้านการศึกษาของเยาวชน การช่วยให้ผู้ใหญ่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ การเพิ่มทักษะของแรงงาน และการจับมือกับประเทศภูมิภาคเพื่อเร่งการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
“ประชาชนควรจับตาว่า ท่ามกลางวิกฤตภาษีสหรัฐ รัฐบาลนี้จะพยายามขายฝัน ’เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส‘ แต่แทนที่จะเป็นโอกาสสำหรับพี่น้องไทย กลับจะเป็นโอกาสเพื่อนายทุนพรรคมากกว่าหรือไม่” นายธีระชัยกล่าว

#ตะวันสยามนิวส์
#tawansiamnews

ที่มา: https://www.facebook.com/tawansiamnewsonline
วันที่: 28 เมษายน 2568

วิเคราะห์โลโก้ใหม่พปชร. ซินแสเข่งทักแรง

,

ผ่าดวงวิเคราะห์โลโก้ใหม่พปชร. ซินแสเข่งทักแรง

ซินแสเข่ง ทักแรงโลโก้ใหม่พรรคพลังประชารัฐ ส่งผลโดยตรงต่อหัวหน้าพรรค แนะจับตาปี 68 พล.อ.ประวิตร ขาขึ้น
#ซินแสเข่ง #โลโก้พรรค #พลังประชารัฐ
#ข่าวในกระแส #ข่าวทั่วไป #ข่าวด่วน #ข่าวล่าสุด
#ข่าววันนี้ #เรื่องร้อนอมรินทร์ #AmarinTV…

ที่มา: https://www.facebook.com/amarinnews
วันที่: 28 เมษายน 2568

ผ่าดวง”ลุงป้อม”เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ปังหรือแป้กไม่รู้ หัวเด็ดตีนขาดไม่ร่วมรัฐบาลแน่

,

ผ่าดวง”ลุงป้อม”เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ปังหรือแป้กไม่รู้ หัวเด็ดตีนขาดไม่ร่วมรัฐบาลแน่

ผ่าดวง”ลุงป้อม”เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ปังหรือแป้กไม่รู้ หัวเด็ดตีนขาดไม่ร่วมรัฐบาลแน่
#TOPNEWS #topupdate
#ลุงป้อม #เปลี่ยนโลโก้ #พลังประชารัฐ
#ธรรมนัส #ซินแสเข่ง #รัฐบาล

ที่มา: https://www.facebook.com/topnewslive2021
วันที่: 28 เมษายน 2568

นัดรวมพลัง พปชร. อนุรักษ์นิยมทันสมัย ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 68 ประกาศพร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!

,

นัดรวมพลัง พปชร. อนุรักษ์นิยมทันสมัย ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 68 ประกาศพร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!

นัดรวมพลัง พปชร. อนุรักษ์นิยมทันสมัย
ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 68
ประกาศพร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!

ที่มา: https://www.facebook.com/PPRPThailand
วันที่: 28 เมษายน 2568

บิ๊กป้อม นำทัพ พปชร.ประชุมใหญ่สามัญ เปิดโฉมโลโก้พรรค ปลุกพลังตัวใหม่

,

บิ๊กป้อม นำทัพ พปชร.ประชุมใหญ่สามัญ เปิดโฉมโลโก้พรรค ปลุกพลังตัวใหม่

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 27 เมษายน ที่พรรคพลังประชารัฐ มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค ส.ส. ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรค, นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค และนายวัน อยู่บำรุง กรรมการบริหารพรรค

โดยประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 ดำเนินการพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ตามมาตรา 43 และรับรองงบการเงิน ประจำปี 2567 ตามมาตรา 61 ของ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรคแตัวแทนพรรคประจำจังหวัดสมาชิกพรรค รวมทัังสิ้นเกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด

พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดประชุมว่า พรรคพลังประชารัฐขอประกาศจุดยืนทางการเมืองในการเป็นพรรค “อนุรักษ์นิยมทันสมัย” ที่มีเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะยึดมั่นและปกป้องสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ อนุรักษ์และสืบสาน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี และค่านิยมอันดีงามของชาติ โดยขอขอบคุณสมาชิกพรรคทุกคนที่เดินทางมาร่วมประชุมใหญ่ของพรรคในวันนี้

จากนั้นที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองที่ได้ดำเนินในรอบปี 2567 รวมถึงให้ความเห็นชอบงบการเงินของพรรคการเมืองประจำปี 2567 นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบตราสัญลักษณ์พรรคและความหมายของพรรคพลังประชารัฐตราใหม่ มีลักษณะดังนี้ คำว่า “พรรค” อยู่บนกึ่งกลางด้านในของเครื่องหมายพรรคการเมือง เหนือตัวอักษรคำว่า “พลังประชารัฐ” โดยมี คำว่า “พลัง” เป็นสีเขียว, คำว่า “ประชา” เป็นสีน้ำเงิน, คำว่า “รัฐ” เป็นสีแดง อยู่ภายในวงล้อพลวัต ที่มี 3 แถบสี เป็นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว บนพื้นสีขาว

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เลือกกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 2 ตำแหน่ง ได้แก่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ด้วยคะแนน 339 ทั้ง 2 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการบริหารชุดใหม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากชุดเดิมหนึ่งตำแหน่งโดยมีการปลด น.ส.กาญจนา จังหวะ ออกจะกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากปรากฎภาพว่าไปร่วมกิจกรรมกับพรรคกล้าธรรม จึงมีการแต่งตั้ง นายธีระชัย และนายสุรเดช เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพิ่มเติม

ที่มา: มติชนออนไลน์
วันที่: 27 เมษายน 2568

นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศรายชื่อประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐสูง

,

นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศรายชื่อประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐสูง สำหรับกรณีของไทย สหรัฐอ้างว่ามีภาษีอยู่ร้อยละ 72 สหรัฐจึงจะคิดภาษีตอบโต้ไทยในอัตรากึ่งหนึ่ง คือร้อยละ 36 โดยรัฐบาลไทยกำลังเตรียมจะเจรจากับสหรัฐว่า รัฐบาลต้องคำนึงถึงความพร้อมของฐานะทางการคลังของประเทศไทยต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 เช่นในส่วนของพื้นที่ทางการคลัง เราพร้อมที่จะรับมือความไม่แน่นอนหรือไม่ เพราะนโยบายทรัมป์มีแนวโน้มก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางการค้า การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ ไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอเพื่อรองรับแรงกระแทกจากภายนอก
นายอุตตม กล่าวต่อว่า ตัวชี้วัดสำคัญที่กำลังสะท้อนความเปราะบางทางการคลังของไทยมีอยู่ 6 ข้อ
1.รายได้สุทธิต่อ GDP เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 14.87% GDP (2564-2568) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาที่ 18-20% (รายงานความเสี่ยงทางการคลัง/สศค.) สะท้อนความสามารถจัดเก็บภาษีที่อ่อนแอ ส่งผลให้รัฐอาจไม่มีงบประมาณเพียงพอรองรับภาวะฉุกเฉิน และต้องพึ่งการกู้เงินมากขึ้นเมื่อเผชิญวิกฤต

2.สัดส่วนงบประมาณที่ปรับลดได้ยากในปี 2568 สูงเกือบถึง 70% งบประมาณ (เพิ่มจาก 62.72% ในปี 2564) ทำให้เหลืองบลงทุนหรืองบกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง ลดความสามารถในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ (รายงานความเสี่ยงทางการคลัง/สศค.) ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายที่ปรับลดได้ยากประกอบไปด้วย

1. รายจ่ายสวัสดิการประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
2. รายจ่ายสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ เช่น ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ เงินบำเหน็จบำนาญ
3. รายจ่ายเงินเดือน เงินสมทบ และค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ
4. รายจ่ายเพื่อชำระหนี้และภาระผูกพันต่างๆ เช่น งบลงทุนผูกพันข้ามปี

3.สัดส่วนภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะต่อรายได้ปี 2568 อยู่ที่ 9%และจะเพิ่มขึ้นเป็น 12.2 % ในปี 2569 ข้อมูลจากสำนักวิเคราะห์งบประมาณของรัฐสภา เสียงถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอาจเพิ่มต้นต้นการกู้เงินในอนาคต ทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นทั้งระบบ ขณะที่แนวปฏิบัติสากลที่หลายประเทศยึดถือIMF กำหนดไว้ที่ 15%

4.สัดส่วนการขาดดุลงประมาณต่อ GDP ปี 2568 อยู่ที่ -4.5% และปี 2569 จะอยู่ที่ -4.3% (แผนการคลังระยะปานกลาง) ซึ่งสูงกว่าระดับที่มีเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งการขาดดุลไม่ควรเกินร้อยละ 3 หากขาดดุลสูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้หนี้พุ่งเร็ว เสี่ยงผิดวินัยการคลัง และเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ข้อมูลสำนักวิเคราะห์งบประมาณ/แผนการคลังของรัฐบาลระบุพยายายามลดการขาดดุลลง

5.ปี 2568 รัฐบาลกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 865,700 ล้านบาท (23.07% งบประมาณ) เกือบชนวงเงินกู้สูงสุด ซึ่งกำหนดไว้ที่ 970,768 ล้านบาท หากเกิดวิกฤติ รัฐจะไม่มีช่องว่างทางกฎหมายให้กู้เพิ่มเพื่อเยียวยาหรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 กำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลไว้สูงสุด 1.ไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมกับ 2.ไม่เกิน 80% ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น

6.สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล (ต้นเงิน + ดอกเบี้ย) ต่อรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ 35.14% โดยเพดานกำหนดไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 35 (แผนการคลังระยะปานกลาง) เป็นสัญญาณเตือนด้านวินัยการคลัง จะเบียดงบพัฒนา งบลงทุน และสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม นายอุตตม ยังได้เสนอแนะการจัดงบประมาณปี 2569 ไปยังรัฐบาลว่า ต้องจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่สร้าง “ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ” เช่นการพัฒนาทักษะแรงงาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในภูมิภาค และการเสริมความสามารถในการแข่งขันของ SMEs รวมถึงต้องจัดงบพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เสริมความเข้มแข็งชุมชน ยกระดับขีดความสามารถผลิตสินค้าบริการป้อนตลาดในประเทศ และสอดคล้องกับห่วงโซ่อุปทานใหม่ในตลาดโลก เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก

“วันนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 64.21%GDP (4/2568) ซึ่งกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) ประเมินว่าอาจแตะ 70% ใน 2 ปีข้างหน้า และอาจแตะระดับ 80-90% ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากไม่มีการปฏิรูปการคลังภาครัฐอย่างจริงจัง” นายอุตตม กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 เมษายน 2568

“พล.อ.ประวิตร” นำทัพ พปชร.ประชุมใหญ่ 27 เม.ย.นี้ เตรียมแก้ข้อบังคับพรรคพร้อมแต่งตั้ง กก.บห.เพิ่มเติม

,

วันที่ 22 เม.ย.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองโฆษกพรรค พปชร. แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารประจำสัปดาห์ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธานว่า ที่ประชุมมีมติให้วันที่ 27 เมษายน เวลา 09.00 น.พรรคพลังประชารัฐ จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ อาคารรัชดาวัน กรุงเทพฯ
โดยเป็นการประชุมใหญ่ตามกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ตามมาตรา 43 และรับรองงบการเงิน ประจำปี 2567 ตามมาตรา 61 ของ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 รวมถึงการพิจารณาแก้ข้อบังคับพรรค และแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2568

“ไพบูลย์”เตือน“แพทองธาร-เพื่อไทย”อย่าประมาท เตรียมตัวรอรับการขยายผลหลังศึกอภิปรายให้ดี มอง อาจมีคนยื่นศาลฯ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

“ไพบูลย์”เตือน“แพทองธาร-เพื่อไทย”อย่าประมาท เตรียมตัวรอรับการขยายผลหลังศึกอภิปรายให้ดี มอง อาจมีคนยื่นศาลฯ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 มีนาคมว่า หลายเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านรวมถึงพรรคพลังประชารัฐจะนำมาอภิปราย หากข้อมูลที่นำมามีความชัดเจน เช่น ชี้ให้เห็นว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมของความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เช่น การครอบครองที่ธรณีสงฆ์ ก็จะถือว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งตนเชื่อว่า จะมีส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีการพิจารณาถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา ศาล รธน.มีบรรทัดฐานในการวินิจฉัยไว้อยู่แล้ว และยังมีบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาด้วย ดังนั้น น.ส.แพทองธาร และพรรคเพื่อไทยอย่าเพิ่งไปประมาท คิดว่า จะผ่านไปง่าย ๆ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจจะเกิดเรื่องสำคัญมากขึ้นมาก็ได้

“หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องที่ถูกนำมาอภิปรายจะถูกนำไปขยายผลได้ เช่นเรื่องผลประโยชน์ชาติ หรืออาจจะแปลงเป็นคำร้องต่างๆ เช่นคำร้องยื่นกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือมีการส่งคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญที่มันก็อาจมีผล เช่นหากมีคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากทั้งข้อกฎหมาย ความถูกต้องต่างๆ มันพร้อมทั้งองค์ประกอบ มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นมา“นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนการอภิปรายของพรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ กล่าวย้ำว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ท่านเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว และจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า พปชร.พร้อมทำหน้าที่ในทุกบทบาท และทันทีที่มีการเลือกตั้ง เราก็พร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

พปชร.อึ้ง งบ soft power 5 พันกว่าล้าน ได้แค่กางเกงช้าง 77 จังหวัด

,

พปชร.อึ้ง งบ soft power 5 พันกว่าล้าน ได้แค่กางเกงช้าง 77 จังหวัด

        วันที่ 23 มี.ค. 2568 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ตามที่ น.ส. แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ได้ทำการโปรโมทกางเกงลายแต่ละจังหวัด 77 จังหวัด โดยคิดว่าเป็นซอฟพาวเวอร์ของประเทศไทยในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 ที่ผ่านมานั้น  โดยนายกรัฐนตรี ภาคภูมิใจผลงานกางเกง77 ลาย 77 จังหวัด และถิอว่าเป็น soft power ที่สำคัญของประเทศไทย
       เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นความสามารถในการเข้าใจทฤษฎี soft powerยังไม่ดีพอ  รัฐบาลต้องศึกษาให้เข้าใจ  คิดให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเช่นที่ผ่านมา กางเกงช้าง ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของไทยอย่างหนึ่ง  แต่ปรากฎว่า มีการก๊อปปี้ เลียนแบบจากต่างประเทศ แถมราคาถูกกว่าทำให้พ่อค้าแม่ค้าไทย ไม่ได้ประโยชน์ อะไรเลย  ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลมีแนวทางในการป้องกันการก๊อปปี้หรือลอกเลียนแบบ   ตลอดจนไม่มีแนวทางที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าคนไทยได้ประโยชน์  แต่กลับขยายเป็นกางเกงแต่ละจังหวัด 77 จังหวัด แทน    ถ้ามีเวลาจะหาหนังสือที่โปรเฟสเซอร์ โจเซฟ ไนย์ (Joseph S. Nye) เขียนไว้  เช่น “Soft Power: The Means to Success in World Politics“ หรือ”The Future of Power”ส่งไปให้ท่านนายก ฯได้ลองอ่านดู เผื่อรัฐบาลจะได้เข้าใจเรื่อง soft power มากขึ้น  
           ซึ่งในขณะนี้ประเทศต่างๆได้พัฒนาซอฟพาวเวอร์ของตัวเองไปไกลแล้ว  จะสังเกต เห็นได้ว่า  ซอฟพาวเวอร์ทางด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) มี ซีรี่ส์ จีน และเกาหลี ตลอดจนซีรี่ส์อินเดียกำลังมาแรงในตลาดภาพยนตร์ในประเทศไทย  ส่วน ซอฟพาวเวอร์จากต่างชาติทางด้าน อาหาร และเครื่องดื่ม (Food and Beverage) ที่บุกมาตลาดไทย  ไม่ว่าจะเป็น MIXUE,CHAGEE,HeyTea,WeDrink หรือBing Chun ยึดตลาดอาหารและเครื่องดื่มไทยเรียบร้อยแล้ว  ส่วน รัฐบาลไม่ได้มีแนวทางหรือมาตรการใดๆ ที่จะปกป้องหรือช่วยเหลือหรือส่งเสริมผู้ประกอบการ ทั้งเก่าและรายใหม่ของประเทศไทยแต่อย่างใด
          ตอบข้อซักถามกรณีที่ฝ่ายรัฐบาลคุยว่า จะมีเสียงฝ่ายค้านยกมือสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล  พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “ถ้า สส.ซื้อได้ด้วยเงิน ยอมขายเสียง ขายตัว ขายศักดิ์ศรี แล้วประชาชนจะหวังพึ่งใคร ประชาชนต้องจดจำใครเป็น สส.ขายคัว  ขายศักดิ์ศรี จะได้ไม่เลือกมาในคราวหน้า  ประชาชนตัดสินได้ครับ  ว่า สส.ที่เขาเลือกมาเป็นอย่างไร”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พล.อ.ประวิตร“ แสดงภาวะผู้นำสอนมวย ”แพทองธาร“ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ  ชี้ ทำให้ปชช.หนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหว ความเชื่อมั่นของประเทศถดถอย

,

“พล.อ.ประวิตร“ แสดงภาวะผู้นำสอนมวย ”แพทองธาร“ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ  ชี้ ทำให้ปชช.หนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหว ความเชื่อมั่นของประเทศถดถอย

 เมื่อเวลา 09.10 น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจ      ให้บริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป คือการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่ผิดพลาดล้มเหลว วันนี้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข อย่างที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญา พนักงานถูกเลิกจ้าง บริษัทปิดกิจการจำนวนมาก      ประชาชนหนี้ท่วมหัว ทั้งในระบบและนอกระบบ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 104 % ราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดิ่งเหวในรอบ 3 ปีรัฐบาลไม่มีแนวทางอะไร ที่แก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

  “ผมพยายามเอาใจช่วยนายกรัฐมนตรีให้แก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องคนไทยให้สำเร็จ เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรี เคยบริหารธุรกิจมาก่อน คงมีประสบการณ์ที่จะมาช่วยประเทศชาติได้ แต่ปรากฎว่า นายกรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ซ้ำยังถอยหลังไปอีก จนจีดีพีของไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน และที่สำคัญ คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความรู้ ความเข้าใจ เรื่องเศรษฐกิจ ด้วยการตัดงบประมาณนับแสนล้านบาท ที่ควรอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ไปใช้ แจกเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลกและ กองทุนIMF ได้ออกมาเตือนแล้วว่า การแจกเงินหมื่นไม่ได้ผล แต่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ แทน ถ้านายกรัฐมนตรีได้ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบคอบในทุกด้าน วันนี้คนไทยจะไม่ลำบาก ทุกข์ใจ ในเรื่องปากท้องอย่างแสนสาหัส”พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
 พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ตนเป็นห่วงประเทศชาติอย่างมาก และไม่สบายใจต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง คือเรื่องของ MOU 44 ที่วันนี้ท่านพาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยง เรื่องการสูญเสียดินแดน  และทรัพยากรทางทะเลมูลค่ามหาศาล และที่น่าเศร้าใจ คือ ลูกเรือประมงไทยที่นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะพากลับประเทศแต่ผ่านมา 4 เดือนแล้ว         ก็ยังไม่ได้กลับ

 ในฐานะที่ตนทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารบก รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตนทราบดีว่า การดำเนินงานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในหลายมิติมาก ตนเห็นใจนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ วันนี้ประเทศชาติไม่ใช่เวที ให้มือสมัครเล่น มาซ้อมมือ
 
 พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวต่อว่า การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกกันว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลพยายามจะผลักดัน มันมีช่องให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องได้อย่างมาก ตนขอย้ำว่า โครงการนี้อันตรายอย่างที่สุด เพราะจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้ การปล่อยปละละเลยในเรื่องต่างๆก็ส่งผลให้ไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา และปัญหาอาชญากรรมมากมายอยู่แล้ว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขาดคุณสมบัติตาม รธน.มาตรา 160 ( 4 )(5)ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะเรื่องการถือหุ้น บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ตลอดจนการปล่อยปละละเลย ให้บุคคลในครอบครัวกระทำการให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน
ซึ่งเรื่องนี้ตนขอให้เป็นหน้าที่ตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลเป็นเช่นไร ตนเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินท่านเอง
 
 ”ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา ไม่ใช่การกล่าวด้วยอคติ แต่ข้อมูลหลักฐานต่างๆ สส. พรรคพลังประชารัฐอีก 4 คนจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป ผมขอขอบคุณ สส.ทุกท่านในที่นี้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และประชาชนทุกคน ที่รับฟังในสิ่งที่ผมพูด ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้ ใจบันดาลแรงในการบริหารประเทศให้สำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็นคนหนุ่มสาวที่ยังมีแรง ผมเชื่อว่าถ้าท่านบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัวพวกพ้อง ผมเชื่อว่าประชาชน จะชื่นชมและยอมรับท่านเอง ขอให้โชคดีครับ“พล.อ.ประวิตร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พิมพ์พร”จี้ “แพทองธาร”แจงบัญชีทรัพย์สินให้ชัด ถาม มีเจตนาผ่องถ่ายทรัพย์สินให้ญาติหรือไม่ บอกหาภงด.94 ไม่เจอ เข้าข่ายไม่เสียภาษี ?

,

“พิมพ์พร”จี้ “แพทองธาร”แจงบัญชีทรัพย์สินให้ชัด ถาม มีเจตนาผ่องถ่ายทรัพย์สินให้ญาติหรือไม่ บอกหาภงด.94 ไม่เจอ เข้าข่ายไม่เสียภาษี ?

 เมื่อเวลา 09.30 น.น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนิติกรรมที่เป็นข้อสงสัยต่อสาธารณะ การยื่นแสดงในทรัพย์สินและหนี้สินของนายกฯ ซึ่งบัญชีแสดงรายการหนี้สินอื่นจำนวนกว่า 4,434 ล้านบาท หนี้สินนี้ประกอบไปด้วยหนี้ตามต่อสัญญาใช้เงินเพื่อชำระค่าหุ้นให้กับพี่น้องเครือญาตและบุคคลในครอบครัวของนายกฯ    ซึ่งจากการตรวจสอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ทั้ง 9 ฉบับเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ล้วนเป็นตัวสัญญาใช้เงินที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ชำระหนี้คืนและไม่มีการคิดดอกเบี้ย

 “กรณีนี้ดิฉันไม่เข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีมีเจตนาที่จะผ่องถ่ายทรัพย์สินโอนหุ้น กันระหว่างเครือญาติหรือไม่ เพราะโดยปกติในการกู้ยืมเงินกัน หรือการซื้อขายกันหากมีการกู้ยืมเงินกันจริงก็ต้องมีการกำหนดระยะเวลาใช้คืน และมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ซึ่งตั๋วเงินสัญญาในลักษณะนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ระบุว่าหากเป็นการกู้ยืมการระหว่างบุคคลและไม่ได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ สามารถเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายได้ร้อยละ 3 บาทต่อปี ซึ่งในลักษณะตัวสัญญาใช้เงินจำนวนดังกล่าว หากคิดดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะคิดดอกเบี้ยได้เป็นจำนวนเงินถึง 132 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งรัฐสามารถเก็บภาษีต่อเนื่องได้อีกเป็นจำนวนเงินหนึ่ง”น.ส.พิมพ์พร กล่าว

 น.ส.พิมพ์พร กล่าวว่า เงินจำนวนนี้อาจจะไม่ได้มากนัก แต่หากเงินจำนวนนี้ตกไปในพื้นที่ถิ่นทุรกันดารแบบที่ประชาชนรอคอยความช่วยเหลือ เงินจำนวนนี้ก็จะสามารถสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับพี่น้องในพื้นที่ได้ และจากการตรวจสอบเอกสารภาษีในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและใช้หนี้สิน กลับไม่พบการตั้งหนี้ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเอาไว้และไม่พบรายจ่ายสำหรับภาษีเงินได้ที่แจ้งเอาไว้เช่นกัน ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การกู้เงินตามตั๋วสัญญา      ดังกล่าวนี้เป็นการทำนิติกรรมที่อาจทำให้รัฐเสียหายจากรายได้ภาษีหรือไม่ และบทบัญญัติประมวลรัษฎากรมาตรา 39 คือเงินได้พึงประเมิน ย่อมหมายถึงตัวเงินที่เป็นตัวเงิน รวมถึงทรัพย์สินและประโยชน์อย่างอื่นที่อาจประเมินมูลค่าเป็นตัวเงินได้ ฉะนั้น ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวที่เกิดจากการได้รับหุ้นก็ต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินเช่นเดียวกัน ส่วนประเด็นความผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากตัวสัญญาใช้เงินกว่า 4,434 ล้านบาท ซึ่งหากมองในแง่ของการทำธุรกรรมกรณีดังกล่าวอาจจะไม่ชี้ชัดว่าขัดต่อเรื่องข้อกฎหมายในข้อใดอย่างชัดเจน แต่หากมองในเรื่องของจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหากนายกฯจะสามารถชี้แจงได้ก็คงเป็นประโยชน์กับสาธารณะ

 น.ส.พิมพ์พร กล่าวต่อด้วยว่า เรื่องการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายกฯ ซึ่งเอกสารได้แสดงถึงรายได้และรายจ่ายต่อปีโดยประมาณ และรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน ซึ่งรายการดังกล่าว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามกฎหมายตามประมวลรัษฎากรมาตราที่ 40 (5) ซึ่งผู้มีเงินได้ตามรายการดังกล่าวนั้นจะต้องยื่นแบบแสดงรายการการเสียภาษีด้วยแบบ ภงด.94 นั่นหมายความว่าการที่นายกฯ ได้แสดงรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินแต่กลับไม่พบแบบแสดงรายการภาษี ภงด.94 ปรากฏอยู่ในเอกสารประกอบรายการทรัพย์สินที่นายกฯ ยื่นไว้ ที่พบเพียงภงด.90 และ 91 ซึ่งหากนายกฯไม่ได้ยื่นภงด.94  อาจจะเข้าข่ายความผิดต่อหน้าที่ของบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (9) นั่นคือหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติ และในกรณีดังกล่าวอาจจะไม่ได้มีความผิดร้ายแรงหากนายกฯ ได้ยื่นเพิ่มเติมหลังจากตรวจสอบเสียภาษี เสียเงินเพิ่ม และเสียเบี้ยปรับไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดีการที่ท่านเป็นนายกฯ นั่นหมายความว่าท่านต้องมีความละเอียดรอบคอบให้มากที่สุด เนื่องจากการบริหารราชการแผ่นดินการตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความละเอียดรอบคอบนั้น อาจจะนำพาให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายได้เช่นกัน

 “การเปลี่ยนแปลงการโอนหุ้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อมีการโอนหุ้นเกิดขึ้นแล้วการโอนหุ้นนี้กลับไม่ปรากฏรายได้ค่าหุ้นค้างรับหรือรายได้จากการขายหุ้นใดๆที่แสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่นายกฯ ได้ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และรายได้ที่นายกฯแสดงก็ไม่ปรากฏถึงรายได้จากการโอนหุ้น ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่านายกฯ อาจยื่นแสดงรายการขายทรัพย์สินไม่ครบถ้วนหรือไม่ เพราะหากนายกฯบอกว่าเป็นการโอนหรือการให้โดยเสน่หาท่านก็ยังคงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกอยู่ดี ดิฉันจึงอยากให้นายกไปชี้แจงประเด็นทางบัญชีต่างๆ ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568