โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวประชาสัมพันธ์

“ปิยะ” หนุนรัฐบาลปรับนายร้อย 53 เป็น “พ.ต.ต. 53”

, ,

“ปิยะ” หนุนรัฐบาลปรับนายร้อย 53 เป็น “พ.ต.ต. 53”

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ ในวันตำรวจ อยากขอของขวัญจากนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ช่วยผลักดันกรณีปรับนายร้อย 53 จากยศสูงสุด “ร.ต.อ. ” เป็น “พ.ต.ต.”

สืบเนื่องจากมติ ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 เห็นชอบในหลักการให้ข้าราชการตำรวจ ชั้นประทวนยศ นายดาบตำรวจ อายุตั้งแต่ 53 ปีขึ้นไป เพื่อให้มีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรยศ ร้อยตำรวจเอก ก่อนเกษียณอายุราชการ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ตำรวจชั้นประทวนที่ทำงานมานาน ให้มีโอกาสก้าวหน้าในสายงานและได้รับยศที่สูงขึ้น โดยให้อยู่ในตำแหน่ง สายงาน และสถานีตำรวจเดิมที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น
โดยให้ผ่านการฝึกอบรมเพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหล เป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร“

“โครงการปรับเลื่อนยศ “นายร้อย53” จาก นายดาบตำรวจ (ด.ต.) เป็น ร้อยตำรวจตรี และรับราชการอีก 7 ปี ติดยศ ร้อยตำรวจเอก (ร.ต.อ.)ก่อนเกษียณอายุราชการ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจชั้นประทวน ที่ทุ่มเททำงานมาจนวัยใกล้เกษียณนั้น เริ่มต้นจากช่วงปลายปี 2554 สมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง เลขานุการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีแนวความคิดและมีการศึกษาเรื่องดังกล่าว และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯรัฐมนตรี(ในสมัยนั้น) ได้ผลักดันเรื่องดังกล่าวจนผ่านการประชุม ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2555 จากปี พ.ศ.2555 จนปัจจุบันนี้ มีการอบรมและประดับยศ ร.ต.ต. ไปแล้วรวม 14 รุ่น”

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าว “การปรับโครงการดังกล่าวเพื่อให้ ข้าราชการชั้นประทวนยศ ดต. ได้ติดยศ ร.ต.ต. และเลื่อนไหล ไปจนถึง พ.ต.ต. (ระดับสารวัตร ) จากเดิมแค่ ร.ต.อ. (ระดับรองสารวัตร) ทำได้ไม่ยาก และอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยดำเนินการการปรับระดับตำแหน่งควบ ผบ.หมู่-รอง สว. จากเดิม เป็น ผบ.หมู่-สว.

ถ้าอยากให้ 3 เดือน หรือ 6 เดือนก่อนเกษียณ ให้แก้ กฎ ก.ตร. ที่ว่าด้วย การแต่งตั้งและระยะเวลาตำแหน่ง แต่ถ้าอยากให้ ดำรงตำแหน่ง 1 ปีก่อนเกษียณ ก็ ให้ปรับโครงการจากนายดาบตำรวจอายุ 53 ปี เป็นอายุ 52 ปี เพื่อที่จะมีเวลาหนึ่งปี เลื่อนชั้นตำแหน่งเป็นสารวัตรก่อนเกษียณ 1 ปี โดยอาศัยแนวทางและหลักการเดิม คือ จะต้องดำรงตำแหน่งควบ ในสายงานเดิม และสถานีตำรวจเดิม/หรือสถานที่ทำงานเดิม จะ ทำให้ไม่มีปัญหาด้านงบประมาณและการขาดแคลนกำลังพล ซึ่ง กรณีดังกล่าว สามารถทำได้เลยโดยโครงการนี้ไม่ต้องเสียงบประมาณอะไรเพิ่มเติม และสามารถทำได้ใน 4 เดือนนี้ เพียงแต่แก้ไข กฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งยศ พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม ในข้อ 8 และ ข้อ 13 และ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567 ในข้อ 17 วรรค 2 เท่านั้น“

“การดำเนินการดังกล่าวเป็นการให้เกียรติ และเพิ่มขวัญกำลังใจ ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และกรณีดังกล่าว นอกจากจะเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการตำรวจแล้ว ยังได้มาตรการควบคุมความประพฤติให้อยู่ในกรอบระเบียบ วินัย ที่ได้ผล เพราะ หากข้าราชการดังกล่าวถูกลงโทษทางวินัย: อาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาการเลื่อนยศได้ การคำนวณจำนวนปีที่รับราชการ: บางกรณีอาจมีการงดนับจำนวนปีที่รับราชการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางวินัย ซึ่งจะทำให้ข้าราชการดังกล่าว ไม่ทำผิดวินัย และอยู่ในระเบียบวินัยมากขึ้น”

“นอกจากนี้ ได้เตรียมหารือกับสมาชิกวุฒิสภา ที่เป็นอดีตนายตำรวจ และทางสำนักงาน ก.ตร. และ สกพ. เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ นายตำรวจ รุ่น 7000-1,7000-2 และ 7000-3 ว่า สามารถใช้แนวทางหรือโครงการเช่นเดียวกันนี้ได้หรือไม่ หรือมีแนวทางหรือโครงการที่เหมาะสมอย่างไร”

พปชร. เดินหน้าปกป้องสิทธิประชาชน ย้ำ “กองทุนอากาศสะอาด” คือหัวใจของกฎหมาย

, ,

พปชร. เดินหน้าปกป้องสิทธิประชาชน ย้ำ “กองทุนอากาศสะอาด” คือหัวใจของกฎหมาย

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช รองประธานคณะกรรมาธิการอากาศสะอาด พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 2 ในวันที่ 24 กันยายน 2568 มีโอกาสสูงที่จะผ่าน และหากไม่ติดขัด กฎหมายฉบับนี้สามารถประกาศใช้ได้ก่อนสิ้นปี 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และยกระดับการจัดการมลพิษให้ประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างยั่งยืน

“แม้กฎหมายจะบังคับใช้เฉพาะในไทย แต่ก็ช่วยสร้างกรอบเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านได้ เพราะกว่า 23.7% ของฝุ่นในไทยมาจากต่างประเทศ และฝุ่นจากไทยก็ส่งผลกระทบข้ามพรมแดน กฎหมายนี้กำหนดบทลงโทษทั้งปรับและจำคุก เหมือนกรณีสิงคโปร์ที่ใช้กับอินโดนีเซียเรื่องการเผาพื้นที่เกษตร”

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ ยังแสดงความกังวลต่อข้อเสนอให้ ตัดหมวด 6 “กองทุนอากาศสะอาด” ออกจากกฎหมาย เพราะกองทุนนี้เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้สิทธิในการหายใจอากาศสะอาดเกิดขึ้นจริง หากตัดออกไป กฎหมายจะเหลือเพียงชื่อ แต่ไร้เขี้ยวและฟัน ประชาชนยังต้องเผชิญฝุ่นพิษโดยไม่มีทางเลือก

“ประชาชนไทยต้องเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 ต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคเหนือ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายล้านคน ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงเสนอสิทธิของประชาชนในการหายใจอากาศสะอาด การเข้าถึงข้อมูล และการมีส่วนร่วมออกแบบมาตรการจัดการมลพิษ”

พปชร ยืนยันเดินหน้าผลักดันกฎหมายฉบับนี้เต็มที่ เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทยทุกคน

ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ ปัญหาบัญชีม้า รัฐ–ธนาคารเดินหน้าเชิงรุก ปกป้องประชาชนทุกคน

, ,

ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ ปัญหาบัญชีม้า รัฐ–ธนาคารเดินหน้าเชิงรุก ปกป้องประชาชนทุกคน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาบัญชีม้า พร้อมย้ำว่า ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ไม่จำเป็นต้องรีบถอนเงินหรือปิดบัญชี เพราะมีมาตรการช่วยเหลือที่ดำเนินการได้ทันที ทั้งการนำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนที่ธนาคารเจ้าของบัญชี หรือโทรสายด่วน 1441 เพื่อปลดอายัดและกลับมาใช้งานบัญชีได้ตามปกติ

พร้อมอธิบายว่า ปัญหา บัญชีม้า มีความซับซ้อน เงินที่ถูกหลอกลวงมักถูกโอนต่อหลายทอด หากปล่อยให้หลุดรอดไปแล้วจะติดตามได้ยาก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการแก้เชิงรุก ด้วยการอายัดและปิดทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหยุดเส้นทางการเงินและเร่งนำเงินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว พร้อมย้ำว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ถูกโยงเข้ากับบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว เช่น ถูกใช้ชื่อไปเปิดบัญชี หรือรับโอนเงินโดยไม่ทราบต้นทาง ซึ่งถือเป็นผู้บริสุทธิ์

ขอย้ำว่า “ประชาชนไม่ควรตกใจหรือแห่ถอนเงิน เพราะหากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด สามารถแก้ไขได้ทันทีด้วยการยืนยันตัวตนกับธนาคาร ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยืนยันเดินหน้าเสนอแนวทางที่เข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองพี่น้องประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงิน และไม่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับผลกระทบจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ”

การเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

, ,

ประกาศพรรคพลังประชารัฐ

เรื่อง การเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

 

ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล ดำรง

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๘ และเพื่อให้การดำเนินการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรง
ตำแหน่งทางการเมืองเป็นไปตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๙๒ นั้น

พรรคพลังประชารัฐจึงขอเชิญชวนให้สมาชิกพรรคเสนอชื่อบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ
ต้องห้ามที่กฎหมายกำหนด และเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรมที่เห็นสมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2568

จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2568

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลและพร้อมที่จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง

,

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลและพร้อมที่จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง

ตามที่มีกระแสข่าวถึงการต่อรองและแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีผมเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ทำให้สับสนวุ่นวายนั้น

ผมใคร่ขอยืนยันต่อสาธารณชนว่า ผมมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลและท่านนายกรัฐมนตรีได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภาโดยไม่ต้องกังวลต่อการต่อรองหรือเรียกร้องใดๆ

ผมจึงใคร่ขอประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองที่จะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆในรัฐบาล รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามที่เป็นข่าว

เพื่อเปิดทางให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้เร่งสรรหาบุคคลที่เหมาะสมที่จะแก้ปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา และทะนุบำรุงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการต่อรองใดๆ โดยเอาประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

ผมยินดีที่จะสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและพร้อมใช้ความรู้ ประสบการณ์และเครือข่ายระหว่างประเทศด้านความมั่นคงของผมที่มี ถ้าสามารถจะเป็นประโยชน์ได้ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม และต้องการที่จะเห็นประเทศชาติของเราเดินหน้าสู่การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยเร็ว

“ลุงป้อม” ยืนยันทำงานทุกตำแหน่งเพื่อชาติและประชาชน

,

“ลุงป้อม” ยืนยันทำงานทุกตำแหน่งเพื่อชาติและประชาชน

มุ่งสร้างความมั่นคงชายแดน ดูแลความปลอดภัย และผลักดันกองทัพให้เป็นที่พึ่งของประชาชน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ ย้ำว่า “หัวใจนี้เพื่อชาติและประชาชน” พร้อมเดินหน้าสร้างความมั่นคงให้ชายแดนไทย ป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เพิ่มจุดตรวจและกำลังลาดตระเวน เพื่อให้ประชาชนทุกครอบครัวมีความปลอดภัยและบ้านเมืองสงบมั่นคงอย่างยั่งยืน

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

, , ,

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล หลังจากที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายอมรับว่า การดำเนินโครงการติดขัด เนื่องจากต้องรอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543

นายธีระชัยระบุว่า นโยบายนี้ฟังสวยหรูเหมือนแจกเงินดิจิทัลช่วงหาเสียง แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และไม่ได้คิดให้รอบคอบตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงคมนาคมพยายามหาทางเลือก เช่น การขอใช้งบกลาง แต่คณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่าไม่สามารถใช้ได้เพราะไม่ถือเป็นกรณีเร่งด่วน และการเริ่มโครงการก่อนแล้วชดเชยย้อนหลังก็ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย

นายธีระชัยชี้ว่า รัฐบาลต้องตระหนักว่าการออกกฎหมายเพื่อทำให้โครงการนี้เป็นจริง จะไม่สามารถมองแค่ใช้เงินจากกำไรสะสมของ รฟม. หรือเงินชั่วคราวจากงบกลาง ซึ่งพอใช้ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น รัฐบาลควรชี้ชัดต่อรัฐสภาและประชาชนว่า แต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ และหาแหล่งเงินจากที่ไหน พร้อมแสดงให้เห็นว่ากระแสเงินหมุนเวียนเพียงพอรองรับโครงการในระยะยาว

หากปราศจากข้อมูลที่ชัดเจน การผลักดันร่างกฎหมายทั้งสามฉบับให้ผ่านคงเป็นไปได้ยาก และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ดังนั้น การแถลงข่าวว่าจะเริ่มใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสายในวันที่ 15 พ.ย. 2568 จึงมีแนวโน้มเป็นเพียงโคมลอย

ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.รฟม. ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 แล้ว แต่ยังรอพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 รวมถึงการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ทำให้ไม่ทันกำหนดเดิม 1 ต.ค. 2568 คาดว่าจะต้องรอกฎหมายลูกอีกประมาณ 45 วัน จึงจะสามารถเริ่มใช้ได้จริงในวันที่ 15 พ.ย. 2568

พล.อ.ประวิตร หนุนสร้าง “กำแพงถาวร” ชายแดน พร้อมผลักดัน 4 แนวทางเร่งด่วน สร้างความมั่นคงถาวรให้ประชาชน

,

พล.อ.ประวิตร หนุนสร้าง “กำแพงถาวร” ชายแดน พร้อมผลักดัน 4 แนวทางเร่งด่วน สร้างความมั่นคงถาวรให้ประชาชน

วันนี้ 28 ส.ค.68 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเหตุระเบิดซ้ำซ้อนในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งส่งผลให้พลทหารอดิศร ป้อมกลาง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือเป็นทหารไทยรายที่ 6 จากเหตุลักษณะเดียวกัน สร้างความสะเทือนใจแก่ครอบครัวและประชาชนชายแดน พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนการสร้าง “กำแพงคอนกรีตถาวร” ตามแนวชายแดนเพื่อปกป้องประชาชน แนวคิดนี้เริ่มตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 และยังยึดมั่นจนถึงปัจจุบัน

ด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทสส. ยืนยันสนับสนุนทุกมาตรการของกองทัพ เตรียมให้กองทัพภาคที่ 1 และ 2 เริ่มสร้างกำแพงที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว และพรรคได้เสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนคือ
1.ยืนยันอธิปไตยไทยทุกตารางนิ้ว
2.แถลงต่อสภาและประชาชนอย่างโปร่งใส
3.ตั้งคณะกรรมการวิสามัญติดตามสถานการณ์
4.เร่งสร้างกำแพงถาวร พร้อมเรียกร้องให้เยียวยาทหารผู้บาดเจ็บอย่างครบถ้วน

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินไทย ต้องได้รับการปกป้อง ประชาชนชายแดนต้องปลอดภัย ไม่ถูกรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่า” พร้อมยืนยันว่าพรรคจะผลักดันมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง

เปิดใจตอบคำถามสังคม “ที่พูดไม่ใช่เพิ่งนึกได้ แต่เพื่อชาติจึงต้องพูด”

, ,

เปิดใจตอบคำถามสังคม “ที่พูดไม่ใช่เพิ่งนึกได้ แต่เพื่อชาติจึงต้องพูด”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอชี้แจงประเด็น MOU 43–44 เพื่อตอบคำถามในสังคมที่ถามว่าทำไมเพิ่งพูด ขอย้ำว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง ตนสามารถควบคุม รักษาผลประโยชน์ และอธิปไตยของชาติได้เต็มที่ ด้วยประสบการณ์ด้านความมั่นคงที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านไม่กล้ารุกราน

แต่วันนี้ที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะเพิ่งนึกขึ้นมา แต่เพราะเห็นว่า หากปล่อยให้ผู้นำที่ไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งด้านความมั่นคงบริหารประเทศภายใต้ข้อตกลงนี้ ประเทศอาจเพลี่ยงพล้ำและเสียเปรียบได้ จึงถึงเวลาที่ต้องทบทวนอย่างจริงจัง

พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่าไม่หวั่นไหวต่อคำถากถางหรือเสียงวิจารณ์ เพราะสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอดคือผลประโยชน์สูงสุดของชาติ พร้อมย้ำว่าตลอดชีวิตได้อุทิศตัวเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และแม้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ก็ยังยืนหยัดสู้เพื่อประเทศชาติอย่างไม่ถอย

“สุรเดช” ยัน พลังประชารัฐยืนหยัดเคียงข้างประชาชน มุ่งพาประเทศสู่ความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืน

, ,

“สุรเดช” ยัน พลังประชารัฐยืนหยัดเคียงข้างประชาชน มุ่งพาประเทศสู่ความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืน

วันที่ 22 ส.ค.68 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองที่กำลังสร้างความกังวลในสังคม โดยระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน และการหาทางออกที่ยั่งยืนให้ประเทศ

นายสุรเดชกล่าวว่า ความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้น ไม่ควรถูกปล่อยให้บานปลายจนกระทบต่ออนาคตของชาติ ผู้นำรัฐบาลจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทในการเลือกผู้นำที่สามารถสร้างความศรัทธาให้กับประชาชนและสังคมได้อย่างแท้จริง

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐยึดมั่นมาโดยตลอด คือการไม่ยืนรอคอยโอกาส แต่พร้อมลงมือทำงาน เพื่อหาทางออกให้ประเทศ ดังนั้นทุกการตัดสินใจของเรา ไม่ได้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขทางการเมือง แต่ตั้งอยู่บนประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก” นายสุรเดชกล่าว

พปชร.เพชรบูรณ์ ผลักดันข้อเรียกร้องชาวไร่ข้าวโพดถึงรัฐบาล พร้อมเสนอ “Corn Realtime” เพื่อสร้างราคาที่เป็นธรรมและยุติการกดราคา

, ,

พปชร.เพชรบูรณ์ ผลักดันข้อเรียกร้องชาวไร่ข้าวโพดถึงรัฐบาล พร้อมเสนอ “Corn Realtime” เพื่อสร้างราคาที่เป็นธรรมและยุติการกดราคา

ตามที่ นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ และนายวรโชติ สุคนธ์ขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ รุดลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดที่รวมตัวชุมนุมมาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม หลังราคาผลผลิตตกต่ำเหลือเพียง 3–5 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนยังเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ชาวไร่จำนวนมากได้รับความเดือดร้อน สส.เพชรบูรณ์ พปชร. จึงพาตัวแทนเกษตรกรเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเร่งให้รัฐบาลหามาตรการช่วยเหลืออย่างจริงจัง

พปชร.มีข้อเสนอ “Corn Realtime” โดยการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวตรวจสอบสต๊อกข้าวโพดแบบรายวัน โปร่งใส สามารถเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ กำหนดโครงสร้างราคาที่เป็นธรรม และบังคับให้โรงงานรับซื้อโดยไม่จำกัดคิว

พปชร.พร้อมเป็นที่พึ่งของเกษตรกร ไม่เพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังมีแนวทางปฏิรูปตลาดทางการเกษตร ป้องกันการถูกกดราคาสินค้า เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและเศรษฐกิจฐานรากไทย

พปชร.หนุนยกเลิก MOU 2543–2544

, ,

พปชร.หนุนยกเลิก MOU 2543–2544

พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมผลักดัน ย้ำผลประโยชน์ของชาติและประชาชนต้องมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยพรรคสนับสนุนการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 อย่างชัดเจน พร้อมขอบคุณนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี และทุกฝ่ายที่ยืนหยัดเพื่อประเทศ

ขอชี้ว่า MOU ทั้งสองฉบับมีข้อบกพร่องร้ายแรง ทั้งการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบทางการเจรจา รวมถึงการเปิดช่องให้ไทยต้องแบ่งผลประโยชน์ใต้เกาะกูดให้แก่กัมพูชา ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทยโดยชอบธรรม

พรรคขอย้ำว่าประเทศไทยสามารถประกาศยกเลิก MOU ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดอ้างข้อจำกัดที่ไม่มีอยู่จริง ที่สำคัญที่สุดคือการบริหารบ้านเมืองต้องตั้งอยู่บนรากฐานของ “ชาติและประชาชน” ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือครอบครัว เพราะหากประเทศชาติสูญเสีย ประชาชนก็จะเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง