โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรมพรรค

“ชัยวุฒิ” เดินตลาดปทุมฯรับเสียงสะท้อนต้องการคนทำงานปลอดผู้มีอิทธิพล พปชร.ส่งคนดีมีฝีมือเพื่อช่วยพัฒนา ปทุม ยันทำงานจริงตั้งใจพัฒนาความเจริญ

,

“ชัยวุฒิ” เดินตลาดปทุมฯรับเสียงสะท้อนต้องการคนทำงานปลอดผู้มีอิทธิพล
พปชร.ส่งคนดีมีฝีมือเพื่อช่วยพัฒนา ปทุม ยันทำงานจริงตั้งใจพัฒนาความเจริญ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ ตลาดนานาเจริญ จังหวัดปทุมธานี เพื่อช่วย ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัคร สส.หมายเลข 5 เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ หาเสียง ท่ามกลางบรรยากาศคึกคัก โดยนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ในพื้นที่จ.ปทึมธานี ประชาชนอย่างที่จะเปลี่ยน เลือกสส.ที่เข้สไปทำง่นเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ที่สำคัญพปชร. ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครของพรรค ในจังหวัดปทุมธานีล้วนแล้วเป็นคนทำงานเพื่อ ประชาชน จึงเชื่อมั่นว่าจะมาทํางานให้ชาวปทุมธานี พัฒนาแล้วให้ความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างแน่นอน “พวกใจไม่ถึง พึ่งยาก หาตัวลําบากแต่อยากเป็น “ คนปทุมไม่เลือกแน่นอน
โดยฉพาะเรื่องผู้มีอิทธิพล เชื่อว่าชาวปทุมธานีก็รับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ประชาชาต้องการเลือกคนดี เลือกคนทํางาน เพื่อให้จังหวัดปทุมธานีให้เกิดการพัฒนา ยกคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

“วันนี้ผมมาเดินที่ตลาด พ่อค้าแม่ค้าก็ค้าขายดีทุกคนเพราะว่าตลาดนี้คึกคักมาก บางร้านก็ขายหมดไปแล้ว ถือว่าวันนี้เศรษฐกิจดี ก็อยากให้สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ต่อไปด้วยความสงบสุข มีการพัฒนาที่ดีก็ช่วยกันเลือกพรรคพลังประชารัฐ ให้มาจัดตั้งรัฐบาลและเดินหน้าประเทศต่อไป ปทุมธานีก็ดีใจมีกลุ่มคนเสื้อแดงก็มาช่วยให้การสนับสนุนส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐเพราะว่าเขาอยากก้าวข้ามความขัดแย้ง อยากให้คนทํางานมาพัฒนาพื้นที่ ดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เลือกตามกระแสพรรค เลือกคนที่จะมาทํางาน แล้วทําให้บ้านเมืองสงบสุข “

ขณะที่ นาย ไพรัตน์ ยิ้มดี กรรมการชุมชนเอื้ออาทรเสมาฟ้าคราม กล่าวว่า เมื่อก่อนผมเสื้อแดง แดงจริงๆ เลือกทุกครั้งทีที่มีการเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ขอเลือกคนทํางาน ขอเลือกดอกเตอร์ เกียร์ติศักดิ์ ส่องแสง เพราะท่านเป็นคนทํางานลงพื้นที่ตลอดระยะเวลาเป็นสิบปีที่ผมเห็น ผมเสื้อแดงก็จริงแต่แดงมีความคิด แดงเปลี่ยนแปลง แดงก้าวข้ามความขัดแย้งนะครับ เลือก เกียรติศักดิ์ ส่องแสง คนทํางาน

ด้านดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครส.ส.จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ผมมีความรู้สึกว่าพี่น้องประชาชนให้ความเมตตาแล้วก็ให้ความอบอุ่นมากในครั้งนี้ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ ผมมั่นใจเพราะว่าพี่น้องให้ความเป็นธรรมแล้วก็จะให้การสนับสนุนเนื่องจากพี่น้องประชาชนเห็นผมทํางานมาตลอดไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตไหนๆ ในช่วงที่น้ําท่วมปี54 ที่ผ่านมา ช่วงโควิดที่นี่ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเหมือนกัน ในตลาดแห่งนี้ ผมก็ได้เข้ามาฉีดพ่น เอายาสมุนไพร นําข้าวกล่องมาดูแลพี่น้องโดยตลอด และในขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานแต่ง งานอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นงานของพี่น้องประชาชนทั้งงานกุศล ผมก็ดูแลพี่น้องประชาชนอยู่ตลอด พี่น้องประชาชนก็เห็น เพราะฉะนั้นวันนี้จึงได้เห็นภาพของสีเหลือง สีแดง สีน้ําเงินหรือว่าทุกสีให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ก็ต้องขอกราบขอบพระคุณไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ให้กําลังใจและก็จะเข้าคูหากา เบอร์ห้า ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง เป็นส.ส.เขต กาเบอร์ 37 ให้คุณป้อมเป็นนายกรัฐมนตรี

ด้านเป๋ คลองเตย กล่าวว่า ผมในฐานะแกนนําเสื้อแดง ในจังหวัดปทุมธานีที่มาที่นี่เพราะว่าชอบนโยบายของลุงป้อม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะว่าปทุมธานีเป็นเมืองของคนเสื้อแดงเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง เพราะฉะนั้นตอนนี้ คนเสื้อแดง จะไม่แบ่งสีแบ่งฝ่ายแล้ว จะก้าวข้ามความขัดแย้งตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถ้าปทุมอยากเปลี่ยน เลือกพลังประชารัฐทุกเขต
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายชัยวุฒิ ลงพื้นที่ ก็มีชาวบ้าน มาให้กำลังใจ เป็นเเฟนคลับที่มาซื้อกับข้าว เเละเดินตลาดเช้า โดยส่วนใหญ่ชื่นชม ที่ออกมาตอบโต้ ประเด็นการเมือง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 พฤษภาคม 2566

รวมพลแฟนคลับพปชร!!.เปิดเวทีปราศรัยลานคนเมืองดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกทม. สร้างรากฐานที่อยู่อาศัยทุกชุมชนอยู่อย่างมั่นคงต่อยอดพัฒนาอาชีพดูแลผู้สูงวัย กลุ่มเปราะบางถ้วนหน้า

,

รวมพลแฟนคลับพปชร!!.เปิดเวทีปราศรัยลานคนเมืองดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกทม.
สร้างรากฐานที่อยู่อาศัยทุกชุมชนอยู่อย่างมั่นคงต่อยอดพัฒนาอาชีพดูแลผู้สูงวัย กลุ่มเปราะบางถ้วนหน้า

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยย่อย โซนกรุงเทพกลางและตะวันออก นำโดย ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. , นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัครกทม นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ประกอบด้วย ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง เขตเลือกตั้งที่ 1 เบอร์ 11 นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขตเลือกตั้งที่ 2 เบอร์ 11 นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 ทองคำ นางนฤมล รัตนาภิบาล เขตเลือกตั้งที่ 14 เบอร์ 5 นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8 นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ เขตเลือกตั้งที่ 16 เบอร์ 12 นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 นางนาถยา แดงบุหงา เขตเลือกตั้งที่ 19 เบอร์ 10 นาย บุญรุ่ง เต๋งจงดี เขตเลือกตั้งที่ 20 เบอร์ 1

ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า เวทีครั้งนี้ได้รวมเอาผู้สมัครของ 10 เขต มาพบกับพี่น้องประชาชน และยืนยันถึงนโยบายที่จะลดค่าครองชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน คนกทม. รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งในวันนี้ได้มีการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และได้พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจของกทม. เป็นสิ่งที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคได้ทำไว้ โดยเฉพาะโครงการบ้านมั่นคง ที่ทำไว้เป็นต้นแบบ ทั้งที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยผู้สมัครได้เสนอให้พรรคทำนโยบายให้ทุกชุมชน เพื่อที่จะได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งการทำโครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ เนื่องจากมีความซ้ำซ้อนของพื้นที่ เพราะที่ดินบางแห่งเป็นที่ราชพัสดุ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือเป็นของเอกชน ดังนั้นการดำเนินโครงการนี้ จะให้เอกชน เป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการ ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยมีราคาไม่เกิน 500,000 บาท และมีสถาบันการเงินเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่าบ้าน เป็นเงินผ่อนได้บ้าน ทำให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีนโยบายการเสริมทักษะ อาชีพและเพิ่มช่องทางการค้าผ่านมือถือให้กับพี่น้องประชาชนมีช่องทางการค้าขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของพปชร. เช่นเดียวกับการทำนโยบาย บัตรสวัสดิการประชารัฐ จากเดิมที่ผู้ถือบัตรจะได้รับเงินอยู่ที่ 300 บาท ซึ่งพรรคจะเพิ่มให้เป็น 700 บาท และยังมีการประกันชีวิตอีก 200,000 บาท ดังนั้นขอฝากพี่น้องเลือก พลเอกประวิตร เบอร์ 37 ในบัตรสีเขียว ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และขอฝากผู้สมัครทั้ง 10 คนที่ขึ้นเวทีในวันนี้ด้วย

ทั้งนี้ผู้สมัครกทม. ได้สลับขึ้นเวทีเพื่อปราศรัย นำเสนอนโยบายในการดูแลพื้นที่กทม. ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และมีเป้าหมายที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ในแบบที่สอดรับกับปัญหา และความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

โดย ดร. สฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัครเขต 1 กล่าว ว่า พปชร.มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทเพื่อให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งอาเซียน ตามนโยบายของพล.อ.ประวิตร ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่เรายังพบว่าการพัฒนาบางพื้นที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ โดย พปชร.เรามีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการส่งเสริมและสนับสนุนย่านเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ไม่เพียงทำให้เป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวแต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องที่นั้นๆ
ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 กล่าวว่า ในชุมชน ยังขาดเรื่องการส่งเสริมด้านสุขภาพ โดยเฉพาะหาพื้นที่ออกกำลังกายของคนในชุมชน เป็นเรื่องที่ควรผลักดัน ซึ่งได้มีการดำเนินการทำโครงการต้นแบบ เพราะมีพื้นที่ว่าง อีกเป็นจำนวนมาก แต่เป็นของหน่วยราชการ ซึ่งตนได้ประสานหน่วยงานทำลานกีฬาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้สุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้น และเรื่องความปลอดภัย การติดไฟส่องสว่างมีความจำเป็น เพราะพบว่าในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ยังเป็นจุดเสี่ยงภัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไฟส่องสว่าง จะเป็นการป้องปรามอาชญากรรมที่ได้ผล

นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 กล่าวว่า สิ่งที่อยากทำและมุ่งมั่นสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่ในครั้งนี้ คือต้องการให้พื้นที่ของห้วยขวาง มีบรรยากาศคึกคักและสีสัน โดยเน้นการทำพื้นที่ให้เป็น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างที่ทำกิน การทำพื้นที่ให้เป็น ครีเอทีพ มาร์เกต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสร้างสรรค์ ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกกับคนในชุมชน ทั้งถนน ทางเดินทางแคบ การดูแลสวนสาธาณะที่ขาดการดูแลงอยากเข้ามาประสานและแก้ไขพัฒนาทุกอย่างให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือเรื่องสุขภาพ อยากผลักดันด้านสาธารณสุข ให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว

นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8 กล่าวว่า ทันทีได้รับเลือกตั้ง จะผลักดันให้เกิดศูนย์สุขภาพจิต และดูแลความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่ม LGBT ให้เกิดความเท่าเทียมและทั่วถึงในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต เพราะเป็นบ่อเกิดของเหตุการณ์สูญเสีย โดยเฉพาะปัญหาการฆ่าตัวตาย หากทุกคนได้รับการดูแล ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญ ดูแลความปลอดภัยให้กับคนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นปัญหา ให้สามารถมีช่องทางในการรักษา หรือการบำบัด ได้อย่างสะดวก และอยู่ใกล้บ้าน

นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 กล่าวว่า ผมขออาสาเข้าทำงานให้คลองสามวา ลาดกระบัง ให้มีความทัดเทียม เทียบเท่ากับเมืองชั้นในเพราะที่ผ่านมา ได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อ ศิริพงษ์ รัสมี ที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ที่อดีตมีแต่สะพานไม้ ให้เป็นสะพานคอนกรีตเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และจะทำต่อเนื่อง ผมขอกอดคุณพ่อ นายศิริพงษ์ รัสมี เขต 17 เบอร์ 10 เขตหนองจอก เขตคลองสามวา เข้าสภาฯเพื่อทำหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน

ปิดท้ายด้วยนายสกลธี กล่าวว่า อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไรอยากเห็น เศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอร์รัปชั่น เห็นยาเสพติดระบาดทั่วเมือง และสถาบันหลักของชาติถูกนำมาล้อเลียน และนำไปพูดอย่างสนุกปาก หรืออยากเห็นคำว่าชาติที่ไม่ใช่ศูนย์รวมของคนไทยอีกต่อไป ทุกอย่างอยู่ในมือของทุกท่าน ในวันที่ 14 พ.ค.นี้

“การเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐ เรามีดีในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ศักยภาพของพวกเราไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองไหนแน่นอน ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าผู้สมัครของเราทั้ง 33 เขตและพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปทำงาน กทม.ต้องดีกว่านี้แน่นอน”นายสกลธี กล่าว

นายสกลธี กล่าวต่อว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรคพลังประชารัฐคือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน การก้าวข้ามมันก็มีเส้นแบ่งที่ก็คงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เช่นการไปรวมกับพรรคที่ไม่เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือพรรคที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติมันล่มจม ด้วยการแจกหว่าน เพราะนักวิชาการก็บอกชัดว่า นโยบายเช่นนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายอย่างแน่นอน พรรคการเมืองควรที่จะคิดนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่นโยบายที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทำลายประเทศชาติ ด้วยการบอกว่าจะยกเลิก ม.112 ตนไม่มั่นใจว่าการยกเลิกไปแล้วจะทำให้ประชาชนรวยขึ้นอย่างไร

“ขณะนี้มีวาทกรรมออกมาจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรค แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่าเรารักใครชอบพรรคไหนเราก็เลือกตามใจของเราไม่ต้องไปกังวลว่าจะเลือกคนนั้น แล้วคะแนนจะเสียเปล่า คะแนนจะตกน้ำ เพราะทุกคะแนนเสียงของประชาชนคือกำลังใจให้กับผู้สมัครและพรรคการเมือง ๆ ขอให้ทุกคนเลือกด้วยหัวใจ เลือกในสิ่งที่เราต้องการและเราอยากได้เป็นพอ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจนำเสนอนโยบายโค้งสุดท้าย ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมศก.ไทย

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจนำเสนอนโยบายโค้งสุดท้าย
ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมศก.ไทย

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) ร่วมแถลงข่าว “สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลประชารัฐ “ นำโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ,นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรค ,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค ,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค ,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายพรรค ,นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ,ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายคณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค พปชร.

โดยได้ชูนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านเศษฐกิจตลอด 45 วันของการหาเสียง ที่ผ่านมา และวันนี้ถือเป็นโค้งสุดท้าย ที่พรรคจะใช้ในการนำเสนอ ลงพื้นที่หาเสียง ที่จะเข้าถึงประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกช่วง ให้ได้รับโอกาสที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพที่มั่นคง และพรรคพร้อมนำนโยบายที่มีอยู่ทั้งหมด สู่การลงมือทำทันที เมื่อได้แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อที่จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ซึ่งจะผ่านนโยบาย ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการพลิกโฉมการบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

“ ทั้งนี้ เป้าหมายของการ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นเป้าหมายแรก ที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนมีความรักใคร่ สามัคคี เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบสุข เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น ซี่งประชาชนทราบดีว่า การที่ประเทศมีความสามัคคี จะเกิดผลดีต่อเศรษกิจ การค้า การลงทุน ไม่หยุดชะงัก การค้าขายราบรื่น หากประชาชนไม่มีการเดินลงบนถนนเพื่อเรียกร้อง ก็จะนำไปสู่การบริหารประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในทางการเมืองแล้วเป็นสิทธิของทุกคน ใครจะอยู่พรรคไหนก็ได้ เมื่อเราเลือกผู้แทน 400 เขตเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว ก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาฯ ดำเนินการทั้งในเรื่อง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการบริหารประเทศ รัฐบาลก็จะทำหน้าที่สร้างความรุ่งเรือง เมื่อทุกอย่างไม่ติดขัดก็จะทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเชื่อว่าประชาชนทุกคนจะชอบเมื่อเศรษฐกิจกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าดีขึ้น ดังนั้น เมื่อคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะความรักใคร่ของทุกคนจะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง

พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า ทีมเศรษฐกิจของ พปชร. จะทำนโยบายที่ประกาศแล้ทันที ถ้าเป็นรัฐบาล เราจะทำทันทีทุกนโยบาย สามารถทำได้ อีกนโยบายที่ตนถือว่ามีความสำคัญคือ นโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เราจะต้องเอามารวมกัน ต้องมีการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดฟื้นฟู จะหางบประมาณก้อนหนึ่งเพื่อดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ขอยืนยันว่า ทุกนโยบายของ พปชร. จะทำทันทีถ้าเราได้เป็นรัฐบาล ฝากกับประชาชนทุกคนด้วยว่าช่วยเลือก พปชร.เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัครของ พปชร. เพื่อจะได้ดำเนินการในการตามนโยบายที่เสนอกับประชาชนไว้ หวังอย่างยิ่งว่าประชาชนคงจะให้โอกาสสนับสนุน พปชร. เราพร้อมที่จะรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน

ในส่วนของก้าวข้ามความยากจน จะเน้นในเรื่อง ที่ทำกิน และแหล่งน้ำ ซึ่งพรรคมีนโยบาย “มีเรามีน้ำไม่แล้ง” โดยดูแลเกษตรกรให้มีความาเข้มแข็ง ซึ่งตนได้ทำเรื่องน้ำมาตลอด 4 ปี จนไม่มีพื้นที่ภัยแล้ง เป็นหนี่งในผลงานความสำเร็จของการร่วมรัฐบาล ที่สามารถให้ประชาชน อยู่ดี กินดี เพิ่มมากขึ้น ฝนตกมาก ส่วนกรณีที่มีฝนตกมาก เกิดน้ำหลาก เราต้องมีการวางแผนทุกพื้นที่ที่จะรับมือ เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่เดือดร้อน ซึ่งเป็นปัญหาระยะสั้น ที่รัฐบาลได้มีมาตรการเข้าไป เยียวยา มาอย่างต่อเนื่อง

นายอุตตม กล่าวว่า พรรค มีความพร้อมที่จะนำพาให้พี่น้องประชาชนให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเริ่มจากนโยบายสำคัญคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่อยู่เหนือทุกนโยบาย ของพรรคถ้าปราศจากความขัดแย้ง ทุกอย่างก็สามารถตอบโจทย์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมมอบอนาคตที่ดีให้กับประชาชน ดังนั้นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นส่วนสำคัญ นโยบายรัฐบาล ทำหน้าที่ส่งเสริมตามภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำทันที เมื่อได้เป็นรัฐบาล ประกอบด้วย 1. กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที 2. เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ 3. เร่งรัดสร้างฐานรากการพัฒนาพลิกโฉมประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง ให้มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง โดย “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทย”

“ 3 ภารกิจหลัก ที่ต้องทำทันที กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างแท้จริง ปัญหาปากท้อง เป็นเรื่องใหญ่ของพี่น้องประชาชนหลายปีที่ผ่านมาเราเร่งรัดการวางพื้นฐานการพัฒนาให้ยั่งยืนให้คนไทยสามารถแก้ปัญหาที่สะสมมา ซึ่ง พปชร. เรามุ่งการแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ พรรคพลังประชารัฐพร้อมจะแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อความเป็นธรรม แก้ไขเรื่องหนี้สินอย่างครบวงจร เติมทุนใหม่ เพิ่มโอกาสใหม่ เพิ่มทักษะให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสที่จะทำมาหากิน เร่งขยายธุรกิจให้ความสำคัญสูงสุดในการขยายตัวตั้งแต่ฐานรากตั้งแต่ชุมชนเข้มแข็ง หมู่บ้านเข้มแข็ง ภาคเกษตรเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้เราพร้อมเติมทุนให้พี่น้องเกษตรกร 30,000 บาทต่อครอบครัว เพื่อใช้ในการลงทุนค่าใช้จ่าย เอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้คนไทยมีความเข้มแข็ง มีความเท่าเทียมทั่วถึง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ

นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า พลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากสิ่งที่ทำในสิ่งแรกจะใช้ศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่ครอบคลุม 13,000,000 คนพลังประชารัฐจะดำเนินการอยู่แล้วและเพิ่มเติมอีก 200,000 บาทเพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานรากโดยจะไปต่อยอดให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่

ภาคเกษตรมีประชากรอยู่ 10,000,000 คนที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดโดยการลดค่าใช้จ่ายแก้ปุ๋ยแพงทันที ปุ๋ย 50% เพื่อลดค่าใช้จ่ายราคาผลผลิตทางการเกษตรหากต้นทุนแพงก็จะไปไม่ได้ กองทุนก็ต้องมาดูแลเพิ่มเสถียรภาพให้มีการตั้งตัวที่ดีระยะยาว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมันจะเป็นเรื่องแรก ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เริ่มจากน้ำมัน พปชร.จะลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อ พปชร.ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้า พปชร.ได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 2.50 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย พปชร.จะทำให้ค่าครองชีพลดลง นอกจากนี้ จะผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท ทั้งนี้ เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์ 37 ด้วย

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับนโยบาย”อีสานประชารัฐ” อีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ เป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐคือ การพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี

นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของ พปชร.คือ ไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ สำหรับนโยบายระยะยาวนั้น เราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำวางแผนกันไว้แล้ว

นายธีระชัย กล่าวว่า นโยบายเหล่านี้ต้องมีการใช้เงิน หลายคนถามว่าเราจะหาแหล่งเงินมาใช้อย่างไร เรามีนโยบายที่สร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนนอกจากกลไกการลงทุน คือ วิธีไฟแนนซ์นโยบาย ได้แก่ 1.โยกมาจากงบประมาณประเภทอื่น 2.ปฏิรูปภาษี 3.มาจากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และ 4.ถ้างบประมาณไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ ในส่วนของหนี้สาธารณะยังสามารถบริหารจัดการได้ ถ้าเพิ่มไปบ้างสามารถบริหารจัดการได้ถ้าเรามีนโยบายที่เพิ่มรายได้อย่างเหมาะสม แต่เราจะต้องได้คะแนนเสียงพอเพื่อจับมือกันแก้กฎหมาย หรือยกระดับในเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะชั่วคราว

นายธีระชัย กล่าวว่า สำหรับไฟแนนซ์จากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ มีการคำนวณว่า ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน จะก่อให้เกิดการหมุนเวียน 735,336 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี นโยบาย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 3 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 2.5% ต่อปี นโยบาย 8 ล้านครอบครัว จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.4 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1.2% ต่อปี นโยบายโซลาร์รูฟทอป จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี นโยบาย 1 อบต. 1 โซลาร์ฟาร์ม จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6%ต่อปี นโยบายเปลี่ยนรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1% ต่อปี จัดตั้งองค์กรทรัพยากรพลังงานแห่งชาติ ให้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัมปทานแหล่งก๊าซและน้ำมันที่จะทยอยหมดอายุลง โดยภายใน 4 ปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปี 1 แสนล้านบาท เสริมเข้ามาเป็นงบประมาณแผ่นดิน

ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า สำหรับนโยบายเศรษฐกิจใน กทม. จากการลงพื้นที่ กทม. สิ่งที่พี่น้องกทม.ต้องการคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องไม่ใช่นโยบายหรือแผนนโยบายที่ทำระยะสั้น เปลี่ยนรัฐบาลและทิ้งเขาไป นโยบายกทม. จะต่อยอดสิ่งที่ พล.อ.ประวิตรทำเอาไว้คือ ที่อยู่อาศัย จะทำบ้านประชารัฐต่อไป โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐบาล แต่ใช้การร่วมทุนกับเอกชน ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ส่วนเรื่องการพัฒนาการยั่งยืนนั้น จะใช้กลไกกองทุนธุรกิจเพื่อสังคม สามารถทำได้ทันที จะใช้เม็ดเงินระดมทุนจากตลาดทุนส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเพื่อสังคม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ตลาดวัดแขก ช่วย “สฤษดิ์” พปชร.พร้อมช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ แนะคนเรุ่นใหม่เปิดรับความเห็นต่างได้ให้ไทยเดินหน้าผ่านนโยบายที่เป็นประโยชน์กับทุกคน

,

“ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ตลาดวัดแขก ช่วย “สฤษดิ์” พปชร.พร้อมช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ
แนะคนเรุ่นใหม่เปิดรับความเห็นต่างได้ให้ไทยเดินหน้าผ่านนโยบายที่เป็นประโยชน์กับทุกคน

วันที่ 4พ.ค.66 ที่ตลาดวัดแขก ถนนสีลมซอย20 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และเป็นรองหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่วอนขอคะแนนเสียงให้ ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัครส.ส.กทม.เขต1 เบอร์11 ซึ่งมีประชาชนร่วมขอถ่ายรูปและรับฟังปัญหา พร้อมชูนโยบาย ลดค่าครองชีพ การฟื้นตัวของการค้าขาย เศรษฐกิจ และปรับโครงสร้างพลังงาน

นายชัยวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มาเดินตลาดวัดแขก พบว่าประชาชนสนับสนุนนโยบายพรรค พปชร.ในเรื่องการลดค่าครองชีพ ค่าก๊าซหุงต้ม จะลดให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชนให้การตอบรับมาก เนื่องจากพ่อค้า-แม่ค้า ต้องใช้แก๊สในการประกอบอาหาร และมีเรื่องของค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของทุกคน ซึ่งพรรคมีนโยบายที่จะปรับลดและปรับโครงสร้างราคาพลังงาน โดยจะทำให้เหลือ 2.50 บาท/หน่วย สำหรับครัวเรือน รวมถึงค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่สำคัญจะต้องมีนโยบายเติมเงินให้กับประชาชน เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยพบกับปัญหาสินค้าราคาแพง ส่วนใหญ่ต้องเงินลงทุน เพื่อไปทำทุนเพิ่ม โดยทางพรรค พปชร.จะช่วยเหลือคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 30,000 บาท เพื่อไปทำทุน ประกอบอาชีพ

อย่างไรก็ตาม พปชร. ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน พปชร. ได้จัดให้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และลดราคาพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เรื่องนี้ประชาชนได้ประโยชน์ทุกคน ซึ่งจะนำไปสู่การ ‘ลดภาวะเงินเฟ้อ’ ดังนั้น หากประชาชนเลือก “ผู้แทน” แล้วไปทำนโยบายที่ไกลเกินไป ทำไม่ได้และทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองมีปัญหาได้ นี่คือสิ่งที่พรรค พปชร.เป็นห่วงมาก อยากให้บ้านเมืองสงบสุข พร้อมหาทางออกให้ทุกคนมาร่วมพูดคุยกัน ต้องการแก้ไขปัญหาด้านไหนก็มาพูดคุยกันดีๆ เพื่อหาทางออก ส่วนตัวเชื่อว่าคนไทยที่คิดต่างกัน สามารถหาทางออกด้วยกันได้แน่นอน และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะมาช่วยประสานให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้

ส่วนประเด็นไข่ต้ม ที่มีบางพรรคการเมือง นำมาใช้โจมตีในเวที’ดีเบต ‘เรื่องนี้มองว่าเป็นการบูลลี่หรือไม่นั้น ทุกคนมีความเชื่อที่แตกต่างกัน ส่วนตัวอยากสะท้อนให้เห็นว่า ความจริงมีหนึ่งเดียว ทุกคนรับประทานไข่ต้มทุกวัน และไข่ต้มเป็นอาหารทั่วไป ไม่มีชนชั้น แต่ก็มีการไปบูลลี่ ทำให้ไข่ต้มกลายเป็นสิ่งไม่ดี “ผมจึงออกมาเซฟไข่ต้ม” ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องการเมืองอะไร เพียงแต่ต้องการสะท้อนให้เด็กรู้จักความพอเพียง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักชีวิตที่ไม่ต้องหรูหราหรืออยู่สบายทุกวัน อยู่ง่ายกินง่าย ‘ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ควรจะสอนกันถูกไหม’แต่บางคนไปบูลลี่ ทำให้มันเป็นสิ่งที่เสียหาย ส่วนตัวอยากให้มองที่หลักคิดความเป็นคนไทย และนี่คือ concept ของไข่ต้มที่อยากให้ทุกคนเข้าใจ ‘เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ติดค่านิยม วัตถุนิยมมากเกินไป อยากให้ทุกคนช่วยกันคิดให้ประเทศชาติดีขึ้น ถ้าทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ให้ดี ประเทศเดินหน้าได้แน่นอน ด้วยความพร้อมของทรัพยากรทุกๆอย่าง ซึ่งจะทำให้ทุกคน อยู่อย่างมีความสุขได้แน่นอน ส่วนกรณีที่บางพรรคการเมืองต้องการยกเลิกมาตรา 112 เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อประชาชน แล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ไม่ควรนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม อยากฝากความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานคร ว่า พรรค พปชร.จะเป็นพรรคหลัก ที่จะมาดูแลชาวกรุงเทพฯ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น มีนโยบายดีๆหลายอย่างที่จะมาช่วยประชาชน ซึ่งมั่นใจได้ว่าพรรค พปชร.จะดูแลบ้านเมืองนี้ให้สงบสุข ประชาชนอยู่ดีกินดีและสามารถเดินหน้าไปได้อย่างแน่นอน ชัยวุฒิ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“สนธิรัตน์” ปราศรัยกาญจนบุรีบ้านเกิด ช่วย “ชูเกียรติ จีนาภักดิ์” เขต 2 เบอร์ 3 ย้ำหัวใจ “พลังประชารัฐ” ก้าวข้ามความขัดแย้ง ชู “บิ๊กป้อม” เหมาะสมนั่งนายกฯ มากที่สุด

,

“สนธิรัตน์” ปราศรัยกาญจนบุรีบ้านเกิด ช่วย “ชูเกียรติ จีนาภักดิ์” เขต 2 เบอร์ 3 ย้ำหัวใจ “พลังประชารัฐ” ก้าวข้ามความขัดแย้ง ชู “บิ๊กป้อม” เหมาะสมนั่งนายกฯ มากที่สุด

วันที่ 3 พ.ค. 2566 ที่สนามกีฬาเทศบาลท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีปราศรัยย่อย จ.กาญจนบุรี ช่วยนายชูเกียรติ จีนาภักดิ์ ผู้สมัคร ส.ส. กาญจนบุรี เขต 2 เบอร์ 3 พรรคพลังประชารัฐ โดยมีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมฟังปราศรัยเป็นจำนวนมาก โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ปราศรัยวันนี้ ตนไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ตนเดินทางปราศรัยมาทั่วประเทศ แต่วันนี้ยอมรับว่าตื่นเต้นที่จะได้มาปราศรัยที่จังหวัดบ้านเกิดของตัวเอง เพราะคนเราเกิดมาไม่ว่าจะไปเติบโตที่ไหน แต่บ้านเกิดต้องอยู่ในหัวใจ อย่างไรก็ตาม พี่น้องทุกคนมีความสำคัญต่ออนาคตประเทศไทย อาจจะมองว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้แค่ไปกาบัตร แต่รู้หรือไม่ว่าพี่น้องคือส่วนหนึ่งที่จะกำหนดอนาคตประเทศไทย หนึ่งเสียงของพี่น้องจะมีคุณค่าอย่างยิ่งต่ออนาคตลูกหลาน เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังการเลือกตั้งอาจจะยากในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคพลังประชารัฐมองเห็นปัญหาของบ้านเมืองกำลังรออยู่ ดังนั้นเราไม่ต้องการเห็นความขัดแย้ง ไม่อยากเห็นลูกหลานเดือดร้อน ไม่อยากเห็นพี่น้องประชาชนทำมาหากินลำบาก เพราะหากตีกันเมื่อไหร่เราก็เดินหน้าอะไรไม่ได้ ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐ จึงอาสามาเป็นกาวใจให้คนไม่ตีกัน เราประกาศชัดเจนว่าจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นหัวใจของพรรค เรามีหัวใจดวงเดียวกันที่จะพาประเทศออกจากความขัดแย้ง พร้อมเป็นกาวใจ และเป็นตัวเชื่อมโยงให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้

“พรรคพลังประชารัฐอาสามาเป็นตัวเลือกก้าวข้ามความขัดแย้ง และมีพรรคเดียวที่จะทำหน้าที่นี้ได้คือพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 ใครมาหาเสียงก็บอกตัวเองดี ตัวเองเด่น แต่ความมุ่งมั่นของเราจะสำเร็จไม่ได้ หากไม่มีหัวหน้าพรรค ไม่มีผู้นำพรรคที่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค วันนี้ถามว่า ในบรรดาพรรคการเมืองทุกพรรค ใครคือว่าที่นายกรัฐมนตรีที่สามารถเชื่อมโยงทุกคนได้มากที่สุด ใครคือว่าที่นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง มีบารมีสูงสุดที่จะคุยกับทุกพรรค ใครเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีที่มีประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดินยาวนานมากที่สุด และน่าเชื่อถือที่สุด นั่นคือ พล.อ.ประวิตร อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนมาเพื่อขอคะแนนความไว้วางใจพี่น้องเขต 2 และทุก ๆ เขตของ จ.กาญจนบุรี การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่จะกาพรรคอะไรก็ได้ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าตัดสินใจผิด เลือกพรรคผิด เลือกคนผิด บ้านเมืองจะกลับไปสู่ความขัดแย้ง จึงอยากขอความไว้วางใจจากพี่น้องชาวกาญจนบุรี วันที่ 14 พ.ค. กาเบอร์ 37 นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง ไปด้วยกัน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”เอ๋ บุณณดา”ลุยหาเสียงย่านกุฎีจีน ช่วย ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชนสู่การสร้างรายได้ พร้อมใช้เทคโนโลยีช่วย ปชช.เข้าถึงระบบสาธารณสุข

,

“ศ.ดร.นฤมล”ควง”เอ๋ บุณณดา”ลุยหาเสียงย่านกุฎีจีน ช่วย ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชนสู่การสร้างรายได้ พร้อมใช้เทคโนโลยีช่วย ปชช.เข้าถึงระบบสาธารณสุข

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่เขตธนบุรีเพื่อช่วยดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ หรือเอ๋ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 32 เบอร์ 6 เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี และแขวงบางยี่เรือ) เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางด้วน และแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เดินรณรงค์หาเสียง โดยได้พบปะพูดคุยกับประชาชนย่านกุฎีจีน

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พื้นที่เขตนี้ถือว่ามีความกว้างขวางพอสมควร ซึ่งเป็นการแบ่งเขตใหม่ของ กกต.โดยผู้สมัครของเราก็ได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อสอบถามปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชน ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เราพร้อมผลักดันให้เกิดการพัฒนาสร้างอาชีพให้กับประชาชน เพราะถือว่าเป็นเขตที่สามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้

นอกจากนี้พรรคพลังประชารัฐยังให้ความสำคัญไปยังการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยวันนี้การลงพื้นที่ของเราก็ตรงกับวันที่ทางชุมชนมีกิจกรรมตรวจสุขภาพของผู้กลุ่มอายุ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมาก ๆ โดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เน้นย้ำเรื่องนโยบายสาธารณสุข เพื่อให้ทั้งคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นนโยบายที่เราดำเนินการมาตั้งแต่ปี 62 โดยชื่อว่า หมอถึงบ้านพยาบาลถึงเรือน ผ่านมา 4 ปี วันนี้เทคโนโลยีก็มีการพัฒนาขึ้นมาก เราก็จะใช้เทคโนโลยีตรงนี้เข้ามาช่วยเหลือประชาชน

“นโยบาย”ลุงป้อมพาหมอไปหา เอายาไปส่ง”มีเนื้อหาระบุว่า “จะหาหมอทั้งทีต้องเดินทาง ต้องรอคิว เข้าถึงการรักษายากลำบาก แต่วันนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะพรรคพลังประชารัฐจะนำระบบ Telelmed หรือการแพทย์ทางไกลมาใช้ โดยจะทำให้ไม่ว่าประชาชนอยู่ที่ไหน ก็สามารถพบแพทย์ได้ ซึ่งเราจะมีทำคลิปสั้นๆ ฉบับลุงป้อมให้เข้าใจง่าย สามารถดูได้ที่เพจของพรรคพลังประชารัฐ”

ด้าน ดร.บุณณดา กล่าวว่า พื้นที่เลือกตั้งนี้กินบริเวณ 5 เขต 11 แขวง ซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ มีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ความเชื่อและศาสนา เป็นชุมชนเก่าที่อยู่ร่วมกันมายาวนาน ถือว่าเป็นการรวมของวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ในการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ เราก็ต้องการจะส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ และแม่บ้าน ได้มีอาชีพ โดยพรรคพลังประชารัฐจะผลักดันให้มีการฝึกอาชีพ เช่นขนมฝรั่ง ซึ่งเราจะเข้ามาส่งเสริมด้านการขาย เข้ามาช่วยเหลือทางด้านการตลาด และระบบออนไลน์ โดยให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเหลือ ก็จะสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้

“ลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนก็เปิดใจและตอบรับกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ แต่ตอนนี้ประชาชนมีความกังวลในเรื่องของการแบ่งเขตใหม่ และการเลือกตั้งโดยบัตร 2 ใบ โดยผู้สูงอายุบางส่วนก็ยังมีความสับสนในการลงคะแนน เอ๋ก็ขอเรียกร้องให้ กกต.เร่งทำความเข้าใจและชี้แจงกับประชาชนก่อนจะถึงวันลงคะแนนด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 พฤษภาคม 2566

“ธีระชัย” และ “มล.กรกสิวัฒน์” ชี้ ปัญหาราคาก๊าซหุงต้มตราบาปของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ

,

“ธีระชัย” และ “มล.กรกสิวัฒน์” ชี้ ปัญหาราคาก๊าซหุงต้มตราบาปของนายกฯ ประยุทธ์ ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งระบบ

วันนี้ (2 พ.ค.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมาการนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงข่าวความเห็นส่วนตัว ประเด็น “การปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม”
มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวถึง ก๊าซหุงต้มเป็นทรัพยากรพลังงานของชาติที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติกลางอ่าวไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพียงพอใช้สำหรับครัวเรือนไทย (โดย ปี 2565 โรงแยกก๊าซผลิตก๊าซหุงต้ม 3 ล้านตัน ขณะที่ครัวเรือนใช้เพียง 2 ล้านตัน เท่านั้น)
รัฐบาลในอดีตจึงกำหนดให้ครัวเรือนเป็นผู้ได้สิทธิใช้ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากก๊าซอ่าวไทยก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดราคาขายประชาชนได้ถูกกว่าตลาดโลกเพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ ขณะที่โรงแยกก๊าซเองก็ยังมีกำไรมาโดยตลอด
ในปี 2551 มีผู้แก้กฎด้วยการออกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มมีสิทธิ์ใช้ก๊าซอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน ก๊าซหุงต้มจะถูกส่งทางท่อจากโรงแยกก๊าซไปยังโรงปิโตรเคมีโดยตรง ทำให้ก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับครัวเรือน เป็นการผลักคนไทยให้เป็นผู้แบกรับราคาก๊าซจากแหล่งอื่นที่มีราคาสูง คือ 1) จากขบวนการกลั่นน้ำมันดิบ และ 2) นำเข้าก๊าซหุงต้มสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ที่มีราคาสูงสุดเพราะมีค่าโสหุ้ยในการนำเข้า
การสลับให้บริษัทปิโตรเคมีเข้ามาตัดหน้าครัวเรือนนั้น ทำให้คนไทยเดือดร้อนมาจนทุกวันนี้ เป็นเวลานาน 15 ปี โดยอ้างเหตุผลว่า ก๊าซหุงต้มเป็นเหมือนไม้สัก ควรเอาไปทำผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี แต่ราคาที่ปิโตรเคมีจ่ายกลับต่ำกว่าตลาดโลกมาก เรียกได้ว่า ซื้อไม้สักในราคาเศษไม้ ขณะเดียวกันก็ผลักคนไทยไปใช้ก๊าซจากแหล่งอื่นที่แพงกว่า
เรื่องนี้ มีการเตรียมชงผ่าน “คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช)” ในสมัยที่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมาสำเร็จผลในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เพียง 2 เดือน หลังจากคุณสมัครพ้นจากตำแหน่ง นับเป็นวิบากกรรมของคนไทยที่ก๊าซหุงต้มที่ผลิตจากอ่าวไทยกลายเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า น่าเสียดาย ที่นายกฯ ประยุทธ์ นอกจากไม่ได้มีการแก้กติกากลับคืนให้คนไทยได้ใช้ก๊าซจากอ่าวไทยก่อนแล้ว ยังได้มีการเพิ่มตราบาปให้แก่ประชาชน ซ้ำเติมความเดือดร้อนอีกด้วย
วิธีการซ้ำเติม ก็คือมีการปรับสูตรกำหนดราคาก๊าซสำหรับครัวเรือน โดยสมมติว่า โรงกลั่นไทยและโรงแยกก๊าซไปตั้งอยู่ในประเทศซาอุฯ โดยให้บวกค่านำเข้า ค่าประกันภัย และค่าโสหุ้ยในการนำเข้า ทั้งที่ไม่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่จริง
มีผลให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้นทันทีต่อกลุ่มทุนพลังงานอย่างเป็นกอรปเป็นกำโดยไม่ต้องแข่งขัน อันเป็นก๊าซซึ่งราคาแพงที่สุด ครัวเรือนก็ย่อมเดือดร้อน ราคาก๊าซขายปลีกพุ่งสูงขึ้นทะลุ 400 บาทต่อถัง ในบางช่วงเวลาขึ้นไปเกินกว่า 500 บาทต่อถัง แต่ใช้กองทุนน้ำมันจำนวนหลายหมื่นล้านมาปกปิดปัญหาไว้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยล่วงรู้เลย
นโยบายนี้ จึงเป็นการเพิ่มตราบาปให้แก่ครัวเรือนหนักขึ้น โดยต้องให้ประชาชนช่วยเหลือกันเอง โดยผู้ใช้น้ำมันช่วยเหลือผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม การแก้ปัญหาแบบนี้ จึงมีผลเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน ผมจึงเรียกเล่นๆ ว่า “เฉือนเนื้อคนจน ไปแปะให้คนรวย”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนไปยึดโยงกับราคาก๊าซในประเทศซาอุดีอาระเบีย ดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่หนึ่ง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 147) วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีพลังงาน ยกเลิกเพดานที่คุมราคาก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 333 ดอลล่าร์ต่อตัน หรือ 10 บาทต่อกิโลกรัม
ขั้นตอนที่สอง ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับรองลงมา) ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5) วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นรัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการ ขึ้นราคาก๊าซหุงต้มเป็น 498 ดอลล่าร์ต่อตัน หรือ 17 บาทต่อกิโลกรัม หรือขึ้นราคารวดเดียว 70%
ขั้นตอนที่สาม ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 21/2559 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 โดยพลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการ กำหนดให้คนไทยซื้อก๊าซที่ผลิตในประเทศไทยด้วยราคานำเข้าจากซาอุฯ บวกค่าโสหุ้ยเทียม ทั้งค่าขนส่ง ค่านำเข้า ค่าประกัน และค่าสูญเสียระหว่างขนส่งจากซาอุฯ
ตราบาปและมรดกสีดำที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนนี้ ยังคงฝังลึกและดำรงอยู่อย่างมั่นคงอยู่จนถึงวันนี้
แนวทางแก้ปัญหาก๊าซหุงต้มมีดังนี้
1. ยกเลิกการอ้างอิงราคาสมมติว่า โรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นไทยตั้งอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะไม่เป็นความจริง เป็นการสร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร สร้างกำไรให้เอกชนอย่างไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรมต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากร
แต่เปลี่ยนไปใช้วิธีกำหนดเพดานแทน โดยใช้ตัวเลขที่ภาคเอกชนมีกำไรพอเหมาะคุ้มกับการลงทุน
2. ยกเลิกมติ กพช ที่ 3/2551 ที่ให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทปิโตรเคมีเพียงบางกลุ่มในการซื้อก๊าซหุงต้มจากอ่าวไทยตัดหน้าประชาชน อันเป็นการคืนสิทธิ ที่ประชาชนมีอยู่แต่เดิมในทรัพยากรให้แก่ประชาชน ก๊าซหุงต้มส่วนที่เหลือขายให้แก่บริษัทปิโตรเคมี และภาคธุรกิจในราคาตลาดโลก
เป็นการสร้างความเป็นธรรมต่อประชาชน และต่อธุรกิจด้วยกันเองอย่างเท่าเทียม เพราะที่ผ่านมามีเพียงปิโตรเคมีกลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์
3. จัดตั้งองค์กรจัดการทรัพยากรพลังงาน

ให้เป็นผู้มีสิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทย สิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตในประเทศเป็นเอกสิทธิของประชาชน จึงต้องให้องค์กรฯ เป็นผู้ทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟ และค่าก๊าซลดลงได้อย่างถาวร จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและการดำรงชีวิตของประชาชน
เพียง 3 มาตรการนี้ จะสามารถปรับโครงสร้างราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มอย่างยั่งยืน เพราะมีผลต่อเนื่องไปในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาล ไม่ต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ และไม่ต้องเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเพื่อไปชดเชยแก่ผู้ใช้ก๊าซหุงต้มอีกต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”ลุยหาเสียงเขตบางซื่อช่วย” ผู้กองมาร์ค”มั่นใจ ปชช.เลือกคนพื้นที่ รู้ปัญหา ทำงานเป็น เชื่อ คนไทย ยังตัดสินใจเลือกผู้แทนฯจากนโยบายพรรค ไม่ใช่ อนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม

,

“ศ.ดร.นฤมล”ลุยหาเสียงเขตบางซื่อช่วย” ผู้กองมาร์ค”มั่นใจ ปชช.เลือกคนพื้นที่ รู้ปัญหา ทำงานเป็น เชื่อ คนไทย ยังตัดสินใจเลือกผู้แทนฯจากนโยบายพรรค ไม่ใช่ อนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม

พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ลงพื้นที่เขตบางซื่อเพื่อช่วย ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ – ดุสิต กทม. หมายเลข 12 พรรคพลังประชารัฐ เดินรณรงค์หาเสียง โดยได้พบปะประชาชนชุมชนวัดเชิงหวาย เพื่อเยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวบ้าน รวมถึงพูดคุยกับพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยบริเวณตลาดเตาปูน ซึ่งเป็นตลาดที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเขตบางซื่อ โดยระหว่างการลงพื้นที่ได้ทีแฟนคลับของ ศ.ดร.นฤมล มาขอถ่ายรูปจำนวนมาก พร้อมกับสอบถามถึงนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ และราคาพลังงานที่พรรคพลังประชารัฐได้ประกาศว่าจะมีนโยบายช่วยเหลือประชาชน

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวกับประชาชนในพื้นที่ว่า ประชาชนก็สอบถามถึงปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ผู้กองมาร์คเดินหน้าหาเสียง
เพื่อสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านเกี่ยวกับนโยบายของพรรค พปชร.ซึ่งวันนี้ที่เราลงพื้นที่ได้พบกับผู้สูงอายุจำนวนมากที่พักผ่อนอยู่ที่บ้าน โดยส่วนใหญ่พอใจกับนโนบายของพรรคในเรื่องสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เราจะทำอย่างต่อเนื่องไปตลอดทันทีที่เข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศแน่นอน ไม่ใช่ทำเพียงแค่เดือนเดียวอย่างที่ประชาชนในพื้นที่กังวล

“ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ในส่วนพื้นที่ กทม.ผู้บริหารพรรคก็แยกกันลงแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียง โดยจะต้องเน้นย้ำถึงนโนบายที่เราจะดูแลผู้ประกอบการ ผู้ทำธุรกิจ ซึ่งเรามีชุดนโยบายอยู่แล้วแต่อาจจะไม่ได้ประชาสัมพันธ์มากนัก รวมถึงพ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการรายย่อยหรือ sme โดย พรรค พปชร.มีนโยบายที่จะเข้าไปสนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อที่จะต่อยอดทางธุรกิจได้”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ผู้บริหารและผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐจะทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งเราเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน แต่เราก็หวังว่าจะได้รับความเมตตาให้โอกาสเลือกตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐอย่างน้อยก็ 12 ส.ส.ใน กทม.ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ก็ต้องขอฝากผู้สมัครคุณภาพของเรา อย่างเช่นในเขตบางซื่อ ก็มีผู้กองมาร์ค ที่อาจจะเคยสังกัดกับพรรคการเมืองอื่น แต่วันนี้เชื่อมั่นในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงแนวทางของพรรค ทั้งนี้ผู้สมัครของเราพร้อมรับใช้ประชาชนในทุกเขต ทุกพื้นที่ โดยผู้สมัครของเรามีศักยภาพทุกคน และผู้บริหารพรรคก็พร้อมผลักดันให้เกิดขึ้นจริง และพร้อมทำทันที

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีการเลือกตั้งในขณะนี้ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นการเลือกแบบแบ่งขั้วทางการเมือง ระหว่างอนุรักษ์นิยม-เสรีนิยม ว่า ตนเชื่อว่าอย่างประชาชนในพื้นที่ กทม.เขาไม่ได้คิดว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน ทุกคนไม่ได้อยากถูกตีตราว่าเราอยู่ฝ่ายไหน คำว่าอนุรักษ์นิยม หรือ เสรีประชาธิปไตย น่าจะใช้กับกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไปแล้ว ที่ยังเชื่อว่าประชาชนถูกตีกรอบและตัดสินเช่นนั้น

“เราเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศยังเลือกผู้สมัครและพรรคการเมืองโดยดูจากอุดมการณ์ที่ว่าเขาจะทำอะไรให้กับพี่น้องประชาชน เขาคงไม่ชอบที่จะมาบอกว่า ให้เขาอยู่ฝ่ายไหน ว่าจะเลือกเพราะอยู่ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ การตัดสินใจลงคะแนนในคูหานั้น แหม่มยังเชื่อว่า คนไทยจะพิจารณาว่า พรรคการเมืองไหนที่สามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความไม่มั่นคงหรือไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองได้ เขาก็จะให้โอกาสพรรคนั้น เพราะฉะนั้นพรรคพลังประชารัฐเราก็เดินหน้าในแนวทางนี้ ถ้าเลือกเราสิ่งที่ท่านจะได้ก็คือ การแก้ปัญหา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และได้เสถียรภาพทางการเมือง เพราะถ้าการเมืองนิ่งเศรษฐกิจก็จะสามารถวิ่งไปได้”

ด้าน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ หรือผู้กองมาร์ค กล่าวถึงความมั่นใจในพื้นที่ว่า ตนลงพื้นที่เขตบางซื่อมากว่า 13 ปี ได้สัมผัสกับชาวบ้าน เราได้ทำกิจกรรมรวมถึงผ่านปัญหาต่าง ๆ มาด้วยกัน ซึ่งตนเกิดและโตที่เขตนี้ เพราะฉะนั้นความผูกพันธ์จากชาวบ้านมีมากอยู่แล้ว อีกทั้งตนเชื่อมั่นว่า ทุกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐทำได้จริงและสามารถทำได้ทันที โดยเฉพาะเรื่องนโยบายเกี่ยวกับราคาพลังงาน เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประชาชน เนื่องจากหากราคาพลังงานลดลง ก็จะเป็นการลดภาระของประชาชน และธุรกิจต่าง ๆ ก็สามารถเติบโตได้เช่นกัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“ลุงป้อม” เพิ่มออฟชั่น ผู้ถือบัตรประชารัฐ 700 บาท ฝึกทักษะผ่านรับทันที 30,000 บาท หวังเสริมแกร่งผู้มีรายได้น้อยมั่นคงในอาชีพ ชูเบอร์ 37 แก้จน-ยกระดับคุณภาพชีวิต-ก้าวข้ามความขัดแย้ง

,

“ลุงป้อม” เพิ่มออฟชั่น ผู้ถือบัตรประชารัฐ 700 บาท ฝึกทักษะผ่านรับทันที 30,000 บาท หวังเสริมแกร่งผู้มีรายได้น้อยมั่นคงในอาชีพ ชูเบอร์ 37 แก้จน-ยกระดับคุณภาพชีวิต-ก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคฯ ให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มอัตราการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการลงทุนผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ ในภูมิภาคต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ

ล่าสุด ดรีมทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ ประกาศเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ถือบัตรประชารัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยนอกจากจะเติมเงินบัตรประชารัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน และให้สิทธิผู้ถือบัตรรับประกันชีวิตวงเงิน 200,000 บาท ผู้ถือบัตรประชารัฐ ยังจะได้รับสิทธิเข้ารับการอบรมเสริมทักษะพัฒนาคนไทยให้ก้าวทันโลก และเมื่อผ่านการอบรมเสริมทักษะแล้ว ผู้ถือบัตรประชารัฐจะได้รับทุนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ จำนวน 30,000 บาทต่อราย ทั้งนี้ เพื่อสร้างทักษะและสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือบัตรประชารัฐ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มรายได้ให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ และหลุดพ้นกับดักความยากจน

“พรรคพลังประชารัฐ เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง นอกจากนั้น พรรคพลังประชารัฐ ยังมุ่งเน้นการมอบอุปกรณ์ทำมาหากิน และมอบองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพ ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรประชารัฐ เพื่อสร้างทักษะและสร้างอาชีพที่มั่นคง เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และที่สำคัญ นโยบายดังกล่าว จะช่วยขจัดปัญหาความยากจนให้กลุ่มผู้ถือบัตรประชารัฐอย่างยั่งยืน” นายชาญกฤชกล่าว พร้อมฝากให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ ด้วยการกาเบอร์ 37 ลงบนบัตรเลือกตั้งสีเขียว และเลือกผู้สมัคร ส.ส.พรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ ผ่านบัตรเลือกตั้งสีม่วง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน​

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 2 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ลั่นกลางเวทีปราศรัยจ.ร้อยเอ็ดเลือก พปชร.อีสานต้องเจริญ ย้ำทุกคนจะไม่น้อยหน้าใคร แรงงานต้องรวย มีชีวิตที่ดี มีความมั่นคง

,

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

วันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 17.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร กรรมการบริหารพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และผู้สมัครส.ส.ทั้ง 8 เขต ประกอบด้วย นายพงศกรณ์ ตั้งกิตติ์ตระกูล เขต 1 เบอร์ 2 นายเอกรัฐ พลซื่อ เขต 2 เบอร์ 8 นางรัชนี พลซื่อ เขต 3 เบอร์ 2 นางกัญจน์พร วงศ์เวไนย เขต 4 เบอร์ 10 นายภาณุวัฒน์ ศิริ เขต 5 เบอร์ 6 นายเฉลิมศักดิ์ แสนปาง เขต 6 เบอร์ 2 นายศราวุธ ศรีนนท์ เขต 7 เบอร์ 5 นายใหม่ เสาวงค์ เขต 8 เบอร์ 8 เดินทางมาที่จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่จัดขึ้น ณ หอประชุมสาเกตฮอลล์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยบรรยากาศมีประชาชนมารอรับฟังนโยบายแน่นหอประชุม ทั้งภายในและนอกหอประประชุมรวมกว่า 15,000 คน พร้อมชูป้ายและส่งเสียงเชียร์เลือกเบอร์ 37 ดังการตลอดการปราศรัย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวร้อยเอ็ดทุกคน เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 8 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 8 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน และแถมวงเงินประกันชีวิตอีก 2 แสนบาท ส่วนกองทุนหมู่บ้านที่มีคนบอกว่าจะยุบทิ้ง ผมจะไม่ยุบ และจะเพิ่มให้อีกกองทุนละ 2 แสนบาท

นอกจากนี้ เรายังจะลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายเพิ่มเงินในบัญชีของประชาชนอย่าง สวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงนโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ ซึ่งอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากกว่าสามปี และเราจะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย

“พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกระดับการขนส่งคมนาคม พัฒนาภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไประบบการศึกษาที่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยนโยบายอีสานประชารัฐ และในวันที่ 1 พ.ค. ถือเป็นวันแรงงาน พรรค พปชร.มีเป้าหมายในการยกระดับภาคอีสานให้เป็นแหล่งงาน สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจ เกิดแรงงานใหม่ให้กับในพื้นที่ ลูกหลานคนอีสานจะได้ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่ที่อื่นหรือกรุงเทพฯ เพื่อประกอบอาชีพ เพราะเราจะผลักดันนโยบายอีสานประชารัฐฯ สู่การพัฒนา สร้างเมืองอีสานให้มีเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ และจะเชื่อมโยงระบบขนส่งคมนาคมที่ครอบคลุมทั้งการโดยสารและขนส่งสิงค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจภูมิภาค ต่อไปนี้ชาวอีสานจะไม่น้อยหน้าใคร เราจะดึงดูดนักลงทุนมาลงทุนที่นี่ ดังนั้นแรงงานอีสานต้องรวย มีชีวิตที่ดี มีความมั่นคง ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ”

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐเรามีสาขาภาค 4 ภาค โดยที่ภาคอีสานตั้งอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นมา นโยบายบัตรพลังประชารัฐ ตอนนี้ให้อยู่ใบละ 300 ถ้าพลเอกประวิตรได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีจะได้เพิ่มเป็นใบละ 700 บาท พร้อมให้ประกันชีวิตเพิ่มอีก 200,000 บาท ถ้าอยากจะได้ทุกอย่าง วันที่ 14 พ.ค.การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ บัตรสีม่วงขอให้เลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐทั้ง 8 เขต ส่วนบัตรสีเขียวก็ให้กาเบอร์ 37 พรรคพลังประชารัฐ

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐมาบอกข่าวดีกับพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด ที่เป็นหนี้ทั้งหลาย โดยเราต้องการส่งเสริมข้าวหอมมะลิของพี่น้องชาวจังหวัดร้อยเอ็ด แต่จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดที่น่าสงสาร เพราะว่าอยู่นอกเขตชลประทานเยอะมาก ต้องอาศัยเทวดาและกรมฝนหลวง ตอนที่ตนดูแลกรมฝนหลวง ในหน้าดำนาต้องมาทำฝนเทียมให้กับชาวนา และพบว่าปัญหาชาวนามีปัญหา 2 เรื่อง คือ เรื่องสิทธิที่ทำกิน และปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่ง พรรค พปชร.จะช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนโยบายของ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ผมผลักดันเปลี่ยนที่ สปก.ให้เป็นโฉนด ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล เราจะทำเรื่องนี้ทันที

“พอเราแก้ปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ แก้ปัญหาเรื่องน้ำ เราจะมา แก้ปัญหาให้เกษตรกรทั้ง 8 ล้านครอบครัว มีเกษตรกร 8 ล้านครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราจะเติมเงินให้ครอบครัวละ 30,000 บาท ส่วนเรื่องการดูแลกลุ่มเปราะบางกลุ่มผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท นอกจากนี้ยังจะดูแลเรื่องราคาปุ๋ย ให้ลดลงอีก 50 % นี่คือนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่สามารถจับต้องได้ไม่ต้องรอ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

,

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

วันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค เดินทางมาที่จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่จัดขึ้น ณ หอประชุมสาเกตฮอลล์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

โดยก่อนขึ้นเวทีปราศรัย พล.อ.ประวิตร พร้อมด้วยแกนนำ ได้เข้ากราบนมัสการพระครูปริยัติเจติยาภิบาล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบูรพาภิราม พระอารามหลวง และสักการะพระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ยืนที่สูงที่สุดในประเทศไทยเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่คู่เมืองของชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งประดิษฐานอยู่ ที่วัดบูรพาภิราม (วัดพระยืน) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

ทั้งนี้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสได้ให้พรพล.อ.ประวิตร ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขความเจริญประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง หากใครมาวัดพระยืน จะต้องมาสักการะพระใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของ จ.ร้อยเอ็ด และบอกเล่าประวัติความเป็นมาขององค์หลวงพ่อใหญ่ของวัดแห่งนี้ ว่าเป็นพระที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีประชาชนมากราบสักการะขอพรเยอะมากโดยเฉพาะนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนประสบความสำเร็จ ในวันนี้ถ้าปรารถนาอะไรก็ขอให้กราบขอพรจากหลวงพ่อได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“ประวิตร” ควง “สนธิรัตน์” ประชุมตัวแทนกองทุนหมู่บ้าน จ.ขอนแก่น ยัน ไม่มีนโยบายยุบ กทบ. ประกาศสานต่อภายใต้กองทุนประชารัฐ พร้อมเพิ่มงบกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 16,000 ล้านบาท

,

“ประวิตร” ควง “สนธิรัตน์” ประชุมตัวแทนกองทุนหมู่บ้าน จ.ขอนแก่น ยัน ไม่มีนโยบายยุบ กทบ. ประกาศสานต่อภายใต้กองทุนประชารัฐ พร้อมเพิ่มงบกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 16,000 ล้านบาท

วันนี้ (30 เมษายน 2566) ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติไคซ์ จ.ขอนแก่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมกับคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) จ.ขอนแก่น เพื่อรับฟังปัญหาเรื่องการดำเนินงานและนำเสนอนโยบายพรรคเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของพี่น้องชาวขอนแก่น

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวแถลงภายหลังการประชุมว่า พล.อ.ประวิตร ได้ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่มีนโยบายที่จะยุบกองทุนหมู่บ้าน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยุบ นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับโครงการพัฒนากองทุนหมู่บ้านเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐโดยจะมีแนวทางสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 79,610 ภายใต้กองทุนประชารัฐ กองทุนละไม่เกิน 200,000 บาท ภายใต้วงเงินงบประมาณ 16,000 ล้านบาท ระยะเวลาในการเบิก 6 เดือนนับจากที่จัดสรร ภายใต้ 5 วัตถุประสงค์สำคัญ คือ 1. พัฒนา และแก้ไขปัญหา การบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และเพื่อการเกษตร 2. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 3. เพื่อเสริมสร้างและส่งเสริมการพัฒนาร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้าน 4. เพื่อเสริมสร้างพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์กองทุนหมู่บ้าน 5. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนระบบขนส่งชุมชนกองทุนหมู่บ้าน และ 6. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนอาชีพของเยาวชน ให้เป็นผู้ประกอบการชุมชน

“ผมขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมสานต่อโครงการกองทุนหมู่บ้าน เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชนชาวรากหญ้า และเป็นรากฐานการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง อย่างยั่งยืน ผมขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เคยมีนโยบายจะยุบกองทุนหมู่บ้าน มีแต่จะพยายามสนับสนุนให้กองทุนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566