โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรมพรรค

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

,

“พล.อ.ประวิตร” กราบพระใหญ่ เอาฤกษ์ชัยก่อนขึ้นเวทีอีสาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้พรชนะการเลือกตั้ง

วันที่ 1 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค เดินทางมาที่จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่จัดขึ้น ณ หอประชุมสาเกตฮอลล์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด

โดยก่อนขึ้นเวทีปราศรัย พล.อ.ประวิตร พร้อมด้วยแกนนำ ได้เข้ากราบนมัสการพระครูปริยัติเจติยาภิบาล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบูรพาภิราม พระอารามหลวง และสักการะพระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ยืนที่สูงที่สุดในประเทศไทยเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่คู่เมืองของชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งประดิษฐานอยู่ ที่วัดบูรพาภิราม (วัดพระยืน) อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

ทั้งนี้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสได้ให้พรพล.อ.ประวิตร ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขความเจริญประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง หากใครมาวัดพระยืน จะต้องมาสักการะพระใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของ จ.ร้อยเอ็ด และบอกเล่าประวัติความเป็นมาขององค์หลวงพ่อใหญ่ของวัดแห่งนี้ ว่าเป็นพระที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีประชาชนมากราบสักการะขอพรเยอะมากโดยเฉพาะนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนประสบความสำเร็จ ในวันนี้ถ้าปรารถนาอะไรก็ขอให้กราบขอพรจากหลวงพ่อได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“ประวิตร” ควง “สนธิรัตน์” ประชุมตัวแทนกองทุนหมู่บ้าน จ.ขอนแก่น ยัน ไม่มีนโยบายยุบ กทบ. ประกาศสานต่อภายใต้กองทุนประชารัฐ พร้อมเพิ่มงบกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 16,000 ล้านบาท

,

“ประวิตร” ควง “สนธิรัตน์” ประชุมตัวแทนกองทุนหมู่บ้าน จ.ขอนแก่น ยัน ไม่มีนโยบายยุบ กทบ. ประกาศสานต่อภายใต้กองทุนประชารัฐ พร้อมเพิ่มงบกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 16,000 ล้านบาท

วันนี้ (30 เมษายน 2566) ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติไคซ์ จ.ขอนแก่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมกับคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) จ.ขอนแก่น เพื่อรับฟังปัญหาเรื่องการดำเนินงานและนำเสนอนโยบายพรรคเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของพี่น้องชาวขอนแก่น

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวแถลงภายหลังการประชุมว่า พล.อ.ประวิตร ได้ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่มีนโยบายที่จะยุบกองทุนหมู่บ้าน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยุบ นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับโครงการพัฒนากองทุนหมู่บ้านเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐโดยจะมีแนวทางสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 79,610 ภายใต้กองทุนประชารัฐ กองทุนละไม่เกิน 200,000 บาท ภายใต้วงเงินงบประมาณ 16,000 ล้านบาท ระยะเวลาในการเบิก 6 เดือนนับจากที่จัดสรร ภายใต้ 5 วัตถุประสงค์สำคัญ คือ 1. พัฒนา และแก้ไขปัญหา การบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และเพื่อการเกษตร 2. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 3. เพื่อเสริมสร้างและส่งเสริมการพัฒนาร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้าน 4. เพื่อเสริมสร้างพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์กองทุนหมู่บ้าน 5. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนระบบขนส่งชุมชนกองทุนหมู่บ้าน และ 6. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนอาชีพของเยาวชน ให้เป็นผู้ประกอบการชุมชน

“ผมขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมสานต่อโครงการกองทุนหมู่บ้าน เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชนชาวรากหญ้า และเป็นรากฐานการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง อย่างยั่งยืน ผมขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เคยมีนโยบายจะยุบกองทุนหมู่บ้าน มีแต่จะพยายามสนับสนุนให้กองทุนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 พฤษภาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพ พปชร. เยือนถิ่นอีสานเปิดเวทีปราศรัยใหญ่จ.ขอนแก่น ประกาศไม่ยุบกองทุนหมู่บ้าน พร้อมเพิ่มเงินให้กองทุนละ 2 แสนบาท ชูนโยบายสร้างประโยชน์ให้ชาวอีสานก้าวสู่เมืองอุตสาหกรรมทันสมัย

,

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพ พปชร. เยือนถิ่นอีสานเปิดเวทีปราศรัยใหญ่จ.ขอนแก่น ประกาศไม่ยุบกองทุนหมู่บ้าน
พร้อมเพิ่มเงินให้กองทุนละ 2 แสนบาท ชูนโยบายสร้างประโยชน์ให้ชาวอีสานก้าวสู่เมืองอุตสาหกรรมทันสมัย

วันที่ 30 เมษายน เวลา 18.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยแกนนำ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานแผนยุทธศาสตร์การเมือง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ เดินทางมาที่จังหวัดขอนแก่นเพื่อขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่พบปะประชาชนชาวอีสาน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครทั้ง 11 เขตของพรรค ประกอบด้วย ดร.อัษฎางค์ แสวงการ เขต 1 เบอร์ 2 ดร.พัฒนา นุศรีอัน เขต 2 เบอร์ 2 นายปัญญา ศรีปัญญา เขต 3 เบอร์ 2 นายณรงค์เลิศ สุรพล เขต 4 เบอร์ 1 นายสมใจ ชาญจระเข้ เขต 5 เบอร์ 10 นายสำราญ ศรีภา เขต 6 เบอร์ 7 นายสมศักดิ์ คุณเงิน เขต 7 เบอร์ 4 นพ.กันณพงศ์ อัครไชยพงศ์ เขต 8 เบอร์ 10 นายพิพัฒน์พงศ์ พรหมนอก เขต 9 เบอร์ 2 นายบัลลังก์ อรรณนพพร เขต 10 เบอร์ 2 และ ร.อ.สมรักษ์ คำสิงห์ เขต 11 เบอร์ 3 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติไคซ์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยบรรยากาศมีประชาชนชาวอีสานมารอต้อนรับฟังการปราศรัยรวมกว่า 11,000 คน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวขอนแก่นทุกคน เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของประชาชน จึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 11 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน ขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครทั้ง 11 คนที่ยืนอยู่ตรงนี้

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน และแถมวงเงินประกันชีวิตอีก 2 แสนบาท ส่วนกองทุนหมู่บ้านที่มีคนบอกว่าจะยุบทิ้ง ผมจะไม่ยุบ และจะเพิ่มให้อีกกองทุนละ 2 แสนบาท

นอกจากนี้ เรายังจะลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายเพิ่มเงินในบัญชีของประชาชนอย่าง สวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงนโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ ซึ่งอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากกว่าสามปี และเราจะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินทำกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย

“พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกระดับการขนส่งคมนาคม พัฒนาภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยนโยบายอีสานประชารัฐ เราจะพัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออกให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ – ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรือมาบตาพุด – สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับโครงการอีอีซี โดยทางรถไฟจะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่อ 11 จังหวัดได้แก่ จังหวัดหนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ มหาสารคาม และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม. โดยเราจะสร้างเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเราสำรวจเส้นทางกันมาเรียบร้อยแล้ว”

ด้านนายวิรัช กล่าวปราศรัยว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐมุ่งเน้นไปที่การ ช่วยให้พี่น้องประชาชนผลจากความยากจนรวมถึงต้องการแบ่งเบาภาระ ค่าครองชีพในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย รวมถึงบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือนด้วย นโยบายดีเช่นนี้ เราจะไม่เลือกได้หรือ ทันทีที่เราเข้าไปเป็นรัฐบาล เราจะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า วันนี้คนไทยโดยเฉพาะชาวบ้านฐานรากประสบปัญหากันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน หนี้ ธกส.เช่นเดียวกับชาวขอนแก่นที่อยู่ที่นี่ ตนรู้ถึงปัญหาดี เนื่องจากช่วงที่ตนปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตนลงมาพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอยู่เป็นประจำ เพื่อมาแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องที่ดินทำกิน รวมไปถึงการส่งเสริมอาชีพ และครอบครัวพลังประชารัฐทุกคนต่างก็มีความสุขที่ได้มาเยือนจังหวัดขอนแก่นพบกับพี่น้องประชาชนอีกครั้ง

“วันนี้ผมมีข่าวดีมาบอกพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพราะ พปชร.ออกโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ต้องการช่วยเหลือเกษตกรทุกครัวเรือน ทันทีที่จัดตั้วรัฐบาลเสร็จ พปชร พร้อมทำทันทีต่อทุนให้เกษตรกรครอบครัวละจำนวน 30,000 บาท”

ด้าน ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยว่า เราให้ความสำคัญกับชาวอีสานด้วยการออกนโยบายอีสานประชารัฐ ที่เราจะทำให้ภาคอีสานเจริญ เกิดการลงทุน ไม่ใช่ทำแต่การเกษตรอย่างเดียว อีสานจะต้องมีอุตสาหกรรมทันสมัยเกิดขึ้น อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และที่สำคัญเฉพาะตัวเมืองขอนแก่นนี้ พล.อ.ประวิตรต้องการให้เกิดเมืองอัจฉริยะ เป็นต้นแบบของภาคอีสาน เพราะขอนแก่นมีความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ภูมิศาสตร์ และบุคลากร เพราะมีคนที่มีความรู้ ความสามารถในจังหวัดขอนแก่นจำนวนมาก

“พรรคพลังประชารัฐจะทำให้ขอนแก่นเป็นเมืองอัจฉริยะเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน วันที่ 14 พ.ค.การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ บัตรสีม่วงขอให้เลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐทั้ง 11 เขต ส่วนบัตรสีเขียวก็ให้กาเบอร์ 37 พรรคพลังประชารัฐ แล้วเราจะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

ในส่วนผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ อาทิ นายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้สมัคร ส.ส.จ.ขอนแก่น เขต 7 เบอร์ 4 กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคเดียวที่ดูแลพี่น้องชาวอีสานมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารจัดการน้ำมาตลอด 4 ปีของพล.อ.ประวิตร ทำให้สามารถแก้ปัญหาน้ำแล้งให้เกษตรกรชาวอีสาน จนสามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี ส่งผลให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น หนี้สินลดลง

“การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยังให้ความสำคัญกับชาวอีสานเช่นเดิม ด้วยการกำหนดให้ปัญหาเรื่องน้ำเป็นนโยบายหลักของพรรค “มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน”จะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินทำกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน ท่านจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย ถ้าพี่น้องอยากมีชีวิตที่กินดี อยู่ดี ไม่ต้องลำบากเหมือนที่ผ่านมา ก็ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

“พล.อ. ประวิตร” ถวายบายศรีปิดทองศาลหลักเมืองขอนแก่น ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่พบปะชาวอีสาน

,

“พล.อ. ประวิตร” ถวายบายศรีปิดทองศาลหลักเมืองขอนแก่น ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่พบปะชาวอีสาน

วันที่ 30 เมษายน เวลา 16.19 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรคเดินทางมาที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อเปิดเวทีปราศรัยใหญ่พบปะชาวอีสาน ได้เข้าสักการะ “ศาลหลักเมืองขอนแก่น” ซึ่งพร้อมถวายบายศรีทั้ง 4 ทิศโดยมีผู้ทำพิธีนำภาวนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และจากนั้นได้ทำพิธิปิดทองศาลหลักเมืองเพื่อความเป็น ศิริมงคล เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวขอนแก่น ที่มีการก่อสร้างโดยนำเอาวัฒนธรรมจีนและไทยมารวมกันและส่วนประกอบงานศิลป์เป็นการอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมที่สำคัญของ ท้องถิ่นอีสาน คนจีนเรียกว่า “ศาลหลักเมืองกง” ส่วนคนไทยเรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาสุขใจ ใจกลางเมือง จ.ขอนแก่น ก่อนเดินทาง เข้าร่วมประชุมกองทุนหมู่บ้านชาวจังหวัดขอนแก่นและขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ

โดยก่อนเดินทางออกจากศาลหลักเมือง พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นการจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าพรรคพลังประชารัฐยังไม่มีสูตรเรื่องนี้ เมื่อสื่อมวลชนถามยํ้าว่าแสดงว่ารอหลังเลือกตั้งอย่างเดียวใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ใช่ครับ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

“สกลธี” ชู Soft Powre ชุมชน ดึงนักท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

,

“สกลธี” ชู Soft Powre ชุมชน ดึงนักท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

​เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคฯ ได้ลงพื้นที่ตลาดสดพัฒนาการ เขตประเวศ และชุมชนทับช้างคลองบน ค่ายมวยไชยา บ้านช่างไทย เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ ร่วมกับ น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 21 (ประเวศ-สะพานสูง) หมายเลข 2 เพื่อพบปะประชาชน
​ก่อนลงพื้นที่ นายสกลธีกล่าวถึงกรณีที่มีคลิปการแจกเงินซื้อเสียงที่จังหวัดนครราชสีมาว่า ต้องใช้วิจารณญาณว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะมีการทุจริต แต่คนทำผิดกลับสวมเสื้อพรรคยืนแจกเงินพร้อมแนบป้ายหาเสียงอยู่ชัดเจนให้คนถ่ายคลิปง่ายๆ ซึ่งเรื่องนี้ยังมีสื่อวิเคราะห์ไว้ว่าน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายจากพรรคการเมืองคู่แข่ง ตนจึงอยากให้ กกต.เข้ามาดูแลป้องกันการใช้วิชามารแบบนี้โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันสูง ในส่วนของพรรคฯ และผู้สมัครก็ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการแจ้งความให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว
​จากนั้นนายสกลธี และ น.ส.แพรว ได้ลงพื้นที่ตลาดสดพัฒนาการ โดย น.ส.แพรวกล่าวว่า ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอย เพราะชุดนโยบายด้านเศรษฐกิจปากท้องของพรรคพลังรัฐตอบโจทย์เรื่องการลดค่าครองชีพ-เพิ่มเงินในกระเป๋า ทั้งการลดค่าไฟฟ้าค่าแก๊ส ลดค่าน้ำมัน รวมไปถึงการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ที่จะทำให้ทุกคนมีเงินมาทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
​ด้านนายสกลธีกล่าวว่า นอกเหนือจากการช่วยเหลือเรื่องปากท้องซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนการ การสร้างย่านเศรษฐกิจใหม่ๆ ในกรุงเทพ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเริ่มทำทันที โดยเฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยวจะเข้ามาอยู่ในกรุงเทพนานประมาณ 4 วัน หากเราสร้างแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจเพิ่มเติม ก็จะยืดระยะเวลาการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติให้นานขึ้น เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ฐานราก เช่นในเขตสะพานสูง มีชุมชนทับช้างคลองบนเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ชาวบ้านมีวิถีชีวิตการจับปลาด้วยการใช้ยอ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ และยังสามารถพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลาเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งทั้งรัฐบาลและท้องถิ่นต้องช่วยกัน โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท มาทำตรงนี้
​จากนั้นนายสกลธีได้ร่วมต่อยมวยที่ค่ายมวยไชยา บ้านช่างไทย โดยนายสกลธีกล่าวว่า มวยเป็น Soft Power ที่มีพลังของประเทศไทยอยู่แล้ว โดยเฉพาะมวยไชยาที่มีเอกลักษณ์พิเศษ หากได้รับการส่งเสริมที่ถูกต้องก็จะสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนได้มากขึ้นไปอีก จึงอยากจะขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่อย่าง น.ส.แพรว หมายเลข 2 เข้ามาช่วยทำงานนี้ เพราะเป็นคนพื้นที่ตั้งแต่เกิด รู้คุณค่าของศิลปวัฒนธรรมในเขตประเวศ เขตสะพานสูงที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

“สนธิรัตน์” เดินสายพบปะแกนนำชาวสวนปาล์มภาคใต้ สร้างความมั่นใจนโยบายพปชร. มุ่งเพิ่มราคาปาล์มยั่งยืน

,

“สนธิรัตน์” เดินสายพบปะแกนนำชาวสวนปาล์มภาคใต้
สร้างความมั่นใจนโยบายพปชร. มุ่งเพิ่มราคาปาล์มยั่งยืน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง เปิดเผยถึงผลการประชุมร่วมกับแกนนำชาวสวนปาล์ม 5 จังหวัดภาคใต้ว่า ได้มีการพบกับแกนนำชาวสวนปาล์มน้ำมันภาคใต้ 5 จังหวัดและหารือประเด็นเพื่อยกระดับราคาปาล์มน้ำมัน และหาแนวทางพลิกชีวิตที่ยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวภาคใต้ โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้น้ำมันปาล์มเข้าสู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ น้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ ที่จะสร้างมูลค่าต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้แผนในระยะสั้นทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลจะนำ B10 กลับมา เพื่อให้พี่น้องชาวเกษตรกรมีผลตอบแทนจากปาล์มน้ำมันที่มีราคาดีขึ้น ขณะเดียวกันจะมีการมอบทุนให้ครอบครัวละ 30,000 บาท เพื่อใช้ลงทุนในเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิต เช่น ระบบน้ำหยด เครื่องวัดคุณภาพดิน และนำไปสู่การใช้ปุ๋ยสั่งตัดอย่างมีประสิทธิภาพ หรือใช้ลงทุนแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมันที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น นำน้ำมันปาล์มาผลิตเป็นเครื่องสำอาง และอาหารเสริม ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะทำให้ชาวส่วนปาล์มน้ำมันมีรายได้ที่ยั่งยืน

“ทั้งหมดเราประกาศทำนโยบายทันทีที่พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลราคาปาล์มน้ำมันจะต้องไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 6 บาท ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราได้พูดคุยกัน และเป็นนโยบายเบื้องต้นของพรรค ซึ่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 ผมจะลงพื้นที่ภาคใต้อีกครั้งเพื่อนำเสนอประเด็นเรื่องปาล์มน้ำมันโดยเฉพาะ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องเกษตรกรสามารถยืนบนขาของตัวเองได้ และมั่นใจถึงอนาคตที่จะส่งมอบปาล์มน้ำมันไปถึงลูกหลานถ้าประเทศไทยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพจากปาล์มน้ำมัน น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ น้ำมันหล่อลื่นชีวภาพ ที่มีความต้องการในตลาดโลกรวมนับร้อยล้านตัน และสามารถดำเนินการตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐได้ แม้จะปลูกปาล์มทั้งประเทศก็ไม่พอ ต่อความต้องการของโลก ในขณะที่เรามีน้ำมันปาล์มเพียงปีละ 3.5 ล้านตันในปัจจุบัน โดยเราจะมีการตั้งเขตเศรษฐกิจปาล์มน้ำมัน เพื่อการแปรรูปน้ำมันปาล์มขึ้นในภาคใต้” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

ชาวนา ต้องไม่จนอีกต่อไป! “ลุงป้อม” เติมเงินช่วยลดต้นทุนทำนาสูงสุด 30,000 บาท หวังยกระดับชีวิตชาวนา พร้อมชู 3 นโยบายสร้างรายได้เกษตกรไทย หลุดพ้นกับดักความยากจน

,

ชาวนา ต้องไม่จนอีกต่อไป! “ลุงป้อม” เติมเงินช่วยลดต้นทุนทำนาสูงสุด 30,000 บาท หวังยกระดับชีวิตชาวนา พร้อมชู 3 นโยบายสร้างรายได้เกษตกรไทย หลุดพ้นกับดักความยากจน

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคฯ ให้ความสำคัญกับเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีจำนวนมากที่สุด มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมากจากผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ อาทิ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และยางพารา เป็นต้น แต่เมื่อพิจารณาถึงรายได้ของเกษตรกรไทยแล้ว กลับเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าอาชีพอื่นๆ ขาดความมั่นคง ก่อให้เกิดปัญหาคุณภาพชีวิต อีกทั้ง มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง

พรรคพลังประชารัฐจึงออกนโยบายเฉพาะเพื่อเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ โดยเริ่มจากนโยบายที่ 1 นโยบายเติมเงินทุนช่วยเหลือเกษตรกร ครัวเรือนละ 30,000 บาท นโยบายที่ 2 นโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งภาครัฐจะช่วยเหลือค่าปุ๋ย 50% และล่าสุด นโยบายที่ 3 นโยบายเพิ่มเงินช่วยเหลือต้นทุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวให้ชาวนา อัตราไร่ละ 2,000 บาท จำนวนไม่เกิน 15 ไร่ เป็นเงิน 30,000 บาทต่อราย

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน รัฐบาลให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว อัตราไร่ละ 1,000 บาท จำนวนไม่เกิน 20 ไร่ เป็นเงิน 20,000 บาทต่อราย ซึ่งการปรับลดจำนวนพื้นที่เหลือ 15 ไร่ ไม่ได้ทำให้ชาวนาเสียประโยชน์ ในทางกลับกัน ชาวนาจะได้รับเงินช่วยเหลือต้นทุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวที่มากขึ้น อีกทั้ง รัฐบาลจะสามารถให้ความช่วยเหลือชาวนารายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ และจูงใจให้ชาวนาเพาะปลูกข้าวสายพันธุ์คุณภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัว

“ทั้ง 3 นโยบายด้านการเกษตร ที่พรรคพลังประชารัฐประกาศออกมา ทางดรีมทีมเศรษฐกิจของพรรคฯ มั่นใจว่า จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับกลุ่มเกษตรกรแบบ 360 องศา อาทิ ช่วยเติมทุนการเพาะปลูก ช่วยลดต้นทุนการผลิต ช่วยเพิ่มผลผลิตเกษตร และช่วยให้จำหน่ายในราคาสูง ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน เพราะเกษตรกรจะมีรายได้สูงขึ้น หลุดพ้นกับดักความยากจน ไม่เป็นหนี้สิน ซึ่งเกษตรกรจะเป็นอีกกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากและการบริโภคภายในประเทศ พร้อมฝากประชาชนพิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร สส. พรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน” นายชาญกฤช กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพหลวงเปิดเวทีใหญ่ภาคใต้ คนแน่นเต็มลานหน้าเมือง ขอความรักคนเมืองคอนฯ เลือก พปชร.ทั้ง 10 เขตร่วมก้าวข้ามความยากจน

,

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพหลวงเปิดเวทีใหญ่ภาคใต้ คนแน่นเต็มลานหน้าเมือง ขอความรักคนเมืองคอนฯ เลือก พปชร.ทั้ง 10 เขตร่วมก้าวข้ามความยากจน

วันที่ 29 เมษายน 2566 เวลา 18.30 น. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ภาคใต้ ณ สนามหน้าเมือง ถนนราชดำเนิน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายพรรค

พร้อมด้วยผู้สมัครส.ส.ทั้ง 10 เขตในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยนายรงค์ บุญสวยขวัญ เขต 1 เบอร์ 1 นางสุภาพ ขุนศรี เขต 2 เบอร์ 6 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง เขต 3 เบอร์ 5 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เขต 4 เบอร์ 6 นายสุชาติ จิตติศักดิ์ เขต 5 เบอร์ 2 นายสุธรรม จริตงาม เขต 6 เบอร์ 5 นายคมเดช มัชฌิมวงศ์ เขต 7 เบอร์ 3 นายสุนทร รักษ์รงค์ เขต 8 เบอร์ 1 นายพิชาญศักดิ์ บุญมาศ เขต 9 เบอร์ 1 และนายชุ้น กังสุกุล เขต 10 เบอร์ 6 ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยประชาชนเข้าร่วมรับฟังนโยบายเต็มพื้นที่ กว่า 20,000 คน โดยประชาชนต่างโบกธงให้กำลังใจ พร้อมประสานเสียงโห่ร้องเชียร์ เบอร์ 37 อย่างต่อเนื่อง

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวนครศรีธรรมราชทุกคนให้มีความเจริญรุ่งเรือง เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของชาวนครฯจึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 10 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน จึงขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส ค่าไฟฟ้าลงทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายเพิ่มเงินในบัญชีของประชาชนอย่าง สวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงนโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท ในเดือนที่ 5 เดือน จนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ ซึ่งอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากกว่าสามปี และเราจะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่อาศัย มีที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย

นายสันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะความขัดแย้งเป็นตัวบ่อนทำลายและขวางการพัฒนาประเทศ นโยบายของพล.อ.ประวิตรจึงเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศที่จะสร้างให้พ่อแม่พี่น้องอยู่ดีกินดี นอกจากนี้เรายังมีนโยบายที่จะก้าวข้ามความยากจนที่จะพัฒนาให้ความช่วยเหลือดูแลลงมายังประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

“จากการที่กระทรวงการคลังได้ดำเนินการบัตรประชารัฐให้ประชาชนจำนวน 14.59 ล้านคน พล.อ.ประวิตร จึงเติมเงินเข้าไปในบัตรประชารัฐเป็น 700 บาท เรายังคำนึงถึงการสร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนที่มีบัตรประชารัฐต้องมีที่ทำกิน มีฝีไม้ลายมือ ในการประกอบอาชีพ พรรคพลังประชารัฐจึงจะเติมเงินให้ไปเป็นทุนอีกรายละ 30,000 บาท เพื่อให้ทุกคนได้นำไปตั้งต้นประกอบอาชีพ ทั้งนี้เราจะส่งเสริมให้มีการฝึกอาชีพก่อนเพื่อให้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญที่จะไปประกอบอาชีพในอนาคตด้วย”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ของพี่น้องชาวนครฯ ตนเชื่อว่าเวทีแห่งนี้ไม่เคยมีพรรคใดทำยิ่งใหญ่เหมือนครอบครัวพลังประชารัฐ ที่นี่คือเมืองหลวงของปักษ์ใต้ ดังนั้นพรรคของเราเล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ให้มีความเจริญเช่นเดียวกับภาคตะวันออก

“การเลือกตั้งเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐได้รับเกียรติและโอกาสจากชาวนครศรีธรรมราชทุกคน ส่งผู้สมัครของเราเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้อง ซึ่งทุกคนก็ทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิใจ เต็มศักยภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่ผลประโยชน์ของชาวนครฯ ครั้งนี้เรากลับมาขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง และเราพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า พปชร.เรามีความตั้งใจ ตั้งมั่นที่จะรับใช้คนไทยทั้งประเทศ”

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า เราจะมาพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ทั้ง 5 จังหวัด ได้แก่ สตูล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สงขลา จะผลักดันให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบเดียวกันกับภาคตะวันออก ที่จะเห็นว่าปัจจุบันเศรษฐกิจเติบโตเป็นเท่าตัว โดย พล.อ.ประวิตรได้มีการคุยกับนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งร่วมกันแล้ว

“เมื่อ พปชร.ได้จัดตั้งรัฐบาล เราจะเปิดเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อสร้างให้ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเป็นพื้นที่ ๆ มีศักยภาพ สามารถสร้างรายได้ และอาชีพ โดยนโยบายดี ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพี่น้องประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เลือกพล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30”

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พปชร. กล่าวปราศรัยว่า จ.นครศรีธรรมราช เป็นหนึ่งในจังหวัดที่จะชี้ชะตาการเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้มีพรรคการเมืองเดียวที่จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจชองชาวภาคใต้ โดยเป็นตัวแปรให้ผ่านพ้นการต่อสู้และขัดแย้ง ก็คือ พปชร.ซึ่งเราเป็นพรรคที่จะสามารถรวมทุกฝ่าย พี่น้องประชาชนกำลังชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย หากตัดสินใจผิด เลือกพรรคผิด เลือกผู้แทนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ของรัฐบาล จะไม่มีใครดูแลประชาชน ดังนั้นขอให้เลือก ส.ส.ของ พปชร.ทั้ง 10 เขต และเลือก พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ เพราะเป็นคนเดียวที่มีบารมีการเมืองมากที่สุด เชื่อมโยงคนทุกฝ่ายได้ เป็นคนเดียวที่มีประสบการณ์การเมืองยาวนานที่สุด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” สักการะศาลหลักเมืองคอน เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ พร้อมขอบคุณคนใต้อีกครั้งบนเวทีใหญ่ ปชช.กว่า 2 หมื่นคนแห่ต้อนรับ

,

“พล.อ.ประวิตร” สักการะศาลหลักเมืองคอน เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ พร้อมขอบคุณคนใต้อีกครั้งบนเวทีใหญ่ ปชช.กว่า 2 หมื่นคนแห่ต้อนรับ

​ วันที่ 29 เมษายน เวลา 16.44 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยคณะ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายธรรมนัส พรมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายพรรค เดินทางมาที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่พบปะประชาชนชาวใต้ ได้เข้าสักการะศาลหลักเมืองสวดบทบูชาองค์พ่อ พระคาถาบูชาจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างเวทีปราศรัย และจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัย 10,000 นัด เพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนขึ้นเวทีปราศรัย

โดยมี ผู้สมัครส.ส.ทั้ง 10 เขตในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยนายรงค์ บุญสวยขวัญ เขต 1 เบอร์ 1 นางสุภาพ ขุนศรี เขต 2 เบอร์ 6 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง เขต 3 เบอร์ 5 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เขต 4 เบอร์ 6 นายสุชาติ จิตติศักดิ์ เขต 5 เบอร์ 2 นายสุธรรม จริตงาม เขต 6 เบอร์ 5 นายคมเดช มัชฌิมวงศ์ เขต 7 เบอร์ 3 นายสุนทร รักษ์รงค์ เขต 8 เบอร์ 1 นายพิชาญศักดิ์ บุญมาศ เขต 9 เบอร์ 1 และนายชุ้น กังสุกุล เขต 10 เบอร์ 6 และพี่น้องประชาชนชาวใต้รอให้การต้อนรับรวมกว่า 20,000 คน ส่งเสียงเชียร์ลั่นบริเวณสนามหน้าเมือง ถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช

ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวกับประชาชนที่มารอต้อนรับเพื่อปลุกพลังส่งกำลังใจให้ พล.อ ประวิตร พร้อมนำประชาชนตะโกนให้กำลังใจ “ลุงป้อมนายกฯ ของประชาชน” และขอให้ประชาชนเข้าไปช่วยแชร์และกดไลค์เพจเฟซบุ๊กของพรรคพลังประชารัฐ เลือกพล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย และกล่าวย้ำกับประชาชนว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาลจะเดินหน้าแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชน รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันแพง

พล.อ. ประวิตร ได้ทักทายประชาชนด้วยสีหน้าที่มีความสุขภายหลังสักการะศาลหลักเมืองและองค์พ่อจตุคามรามเทพ ว่า พบกันเป็นวันที่ 2 แล้วขอขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ พร้อมที่จะเข้ามาทำงานรับใช้ประชาชน และจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ฝากพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และฝากผู้สมัครทั้ง 10 เขต ของพรรคพลังประชารัฐให้ช่วยลงคะแนนด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ”สักการะพระบรมธาตุ เมืองคอน ขอปักธงพปชร.เป็นรัฐบาล มั่นใจคะแนนนิยม พล.อ.ประวิตร เป็นนายก พร้อมสานต่องานเพื่อประชาชน

,

“ชัยวุฒิ”สักการะพระบรมธาตุ เมืองคอน ขอปักธงพปชร.เป็นรัฐบาล

มั่นใจคะแนนนิยม พล.อ.ประวิตร เป็นนายก พร้อมสานต่องานเพื่อประชาชน

​ เมื่อเวลา 15.20 น.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยได้เดินทางมา กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ทำพิธีห่มผ้ารอบพระบรมธาตุ และสวดอิติปิโส ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเปิดเวทีปราศรัยที่บริเวณสนามหน้าเมือง ถนนราชดำเนิน ในช่วงเย็น

นายชัยวุฒิ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ในขณะนี้อาจจะดีกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ประชาชนในพื้นที่นครศรีธรรมราชก็ให้ความรักทั้งลุงตู่และลุงป้อมอยู่แล้ว ดูจากการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ที่ผ่านมา ก็ได้รับ ส.ส.ถึง 4 คน วันนี้เมื่อทั้ง 2 ลุงแยกกันทำงาน ตนก็เชื่อมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐก็ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจจนประชาชนมีความเชื่อมั่นและรัก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือ ลุงป้อม และอยากให้เขาไปทำงานให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน

กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ขอแรงสนับสนุนจากชาวเมืองคอนในฐานะสะใภ้เมืองคอน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ลุงป้อมก็เป็นนายหัวเมืองคอน ทำงานเพื่อประชาชน ช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชจะมีปัญหาอะไร พล.อ.ประวิตรก็ลงมาดูแลโดยตลอด ตนมั่นใจว่า คะแนนนิยมดีกว่าแน่นอนส่วนจะได้ ส.ส.กี่คนนั้น ก็คงจะระบุได้ยาก รู้เพียงแค่ว่าพล.อ.ประวิตร สู้ทุกที่ สู้ทุกเขต เพราะเราเป็นพรรคใหญ่และที่ผ่านมาก็เป็นแกนนำรัฐบาล เราก็สู้ทุกเขตทั่วประเทศ

นายชัยวุฒิ ได้เข้าขอพรให้ชนะเลือกตั้ง ให้ประชาชนรักและศรัทธาในพรรคพลังประชารัฐ เลือกพรรคพลังประชารัฐให้เข้าไปเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่เพื่อประชาชน

ส่วนกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศพร้อมลาออกจากหัวหน้าพรรค หากเพื่อไทยจับมือร่วมรัฐบาลกับ พปชร.หรือ รทสช.นายชัยวุฒิ กล่าวว่า จริงๆ ก็ไม่อยากให้ นพ.ชลน่าน ลาออก ก็เห็นใจท่านแต่ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเห็นหัวหน้าพรรคลาออกมาแล้ว เพราะหัวหน้าพรรคก็อาจจะคิดไม่ตรงกับพรรคก็ได้ ทั้งนี้ก็คงต้องดูผลการเลือกตั้ง ไม่อยากให้รีบตัดสินว่า ใครจะจับมือกับใคร ที่สำคัญวันนี้นโยบายหรืออุดมการณ์บางอย่างของเรากับเขา ก็อาจจะไม่ตรงกัน แต่ถ้าหากมีการจับมือร่วมกันทำงาน ก็คงต้องมีการพูดคุย ทำข้อตกลงร่วมกัน แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว ไม่สามารถจับมือกันได้ ก็คงต้องแยกย้ายกันทำงาน

“การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะทุกพรรคก็มีนโยบายที่แตกต่างกัน ผู้สมัครก็แตกต่างกันประชาชนก็คงเลือกผู้สมัครที่มาทำงานรับใช้ได้ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เราก็พร้อมที่จะทำงานรับใช้ชาวนครฯทุกคน ขอให้ทุกคนเลือกพรรคที่รัก เลือกคนที่ใช่คนที่ชอบ อย่าไปยึดติดกับฝ่าย เพราะภายหลังการเลือกตั้ง มันไม่มีผ่านหรอกครับ ก็สลายกันไปหมด ต่างฝ่าย ต่างอาจจะมาจับมือกันร่วมรัฐบาลไป ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้หมด”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“สกลธี” จี้ กกต.เร่งทำความเข้าใจเรื่องบัตรเลือกตั้ง

,

“สกลธี” จี้ กกต.เร่งทำความเข้าใจเรื่องบัตรเลือกตั้ง

​เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่สวนพฤกษชาติคลองจั่น ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพ ร่วมกับนางนฤมล รัตนาภิบาล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 14 (บางกะปิ-วังทองหลาง) หมายเลข 5 เพื่อพบปะประชาชน
​โดยนางนฤมลกล่าวว่า ตนเป็น ส.ก.มา 3 สมัย จึงรู้ปัญหาและความต้องการของคนในพื้นที่ดี เขตบางกะปิเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่น จึงมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ขาดพื้นที่สีเขียว และปัญหาน้ำท่วมเพราะท่อตัน อีกทั้งยังมีการจราจรหนาแน่น ซึ่งแม้จะมีรถไฟฟ้าเข้ามา 2 เส้นทางคือสายสีส้มและสายสีเหลือง แต่ยังขาดการเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกมากอย่างที่ควร
​“ปัญหาเหล่านี้จะหวังพึ่งท้องถิ่นอย่าง กทม.อย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีงบประมาณไม่พอ และบางปัญหาบางพื้นที่ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายหน่วยงาน หากดิฉันได้รับโอกาสให้เข้าไปทำงานในฐานะ ส.ส. จะสามารถประสานงานกับทุกหน่วยงานและแก้ไขปัญหาใหญ่ๆ ให้พี่น้องประชาชนได้มากกว่าเดิม จึงอยากขอโอกาสจากชาวบางกะปิ วังทองหลางด้วย”
​ด้านนายสกลธีกล่าวว่า แม้เขตนี้จะมีคู่แข่งหลายคน แต่ตนมั่นใจว่านางนฤมลก็มีความผูกพันกับคนในพื้นที่มานาน และพรรคพลังประชารัฐก็มีชุดนโยบายที่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง ทั้งการลดราคาน้ำมัน ลดค่าแก๊สค่าไฟฟ้า รวมถึงการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะเพิ่มเงินในกระเป๋าให้มีการจับจ่ายใช้สอยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมีเงินจากกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท ใช้สร้างย่านเศรษฐกิจใหม่ทุกเขตในกรุงเทพเพื่อให้มีเงินจากนักท่องเที่ยวเข้าถึงทุกๆ พื้นที่ได้ดีขึ้น
​ในส่วนของการทำงานของ กกต.นั้น นายสกลธีกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ทุกวันพบว่าประชาชนยังสับสนกับการเปลี่ยนมาใช้บัตร 2 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ รวมถึงการที่บัตรเลือก ส.ส.เขตไม่มีชื่อผู้สมัคร ตนมองว่า กกต.ทำงานแบบเน้นความสะดวกของตนเอง เพราะต้องการพิมพ์บัตรแบบเดียวเพื่อใช้ได้ทั่วประเทศ แต่สร้างความลำบากให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เสี่ยงที่จะมีการกาผิดไม่ได้เลือกคนที่อยากได้จริงๆ ซึ่งการทำงานของราชการควรปรับเข้าหาประชาชนมากกว่านี้ ตนจึงจะขอให้ กกต.เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเรื่องบัตรเลือกตั้งให้มากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” ทำทีมใหญ่ล่องภาคใต้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ จ.สงขลา ชูนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ขอเสียงกวาดทั้ง 9 เขต ลั่นพร้อมรับใช้ ปชช.

,

“ไพบูลย์”แถลง พปชร.ประชุมใหญ่สามัญพรรคฯรับรองการดำเนินงานในรอบปีงบการเงินพรรค รับรอง 20 นโยบายสำคัญของพรรค “ 3 ลด ค่าใช้จ่าย 7 เพิ่มเงินปชช.”

วันที่ 28 เมษายน 2566 เวลา 18.00 น. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่ จ.สงขลา เปิดเวทีปราศรัยใหญ่แห่งแรกของภาคใต้ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติสงขลา นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายพรรค นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำภาคใต้ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส. จ.สงขลา ทั้ง 9 เขต ได้แก่ นายภวัต นิตย์โชติ เขต1 เบอร์ 7 นายอดิสัณห์ ชัยวิวัฒน์พงศ์ เขต 2 เบอร์ 6 นายอาทิตย์ สุวิทย์ เขต 3 เบอร์ 5 นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว เขต 4 เบอร์ 1 นายญาณพง เพชรบูรณ์ เขต 5 เบอร์ 6 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ เขต 6 เบอร์ 5 นายธเนศ ล่องนาวา เขต 7 เบอร์ 7 นายธีรพงศ์ ดนสวี เขต 8 เบอร์ 3 และนายล่องหิ้น ทิพย์แก้ว เขต 9 เบอร์ 2 ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยประชาชนในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง เข้าร่วมรับฟังนโยบายเต็มพื้นที่ กว่า 8,000 คน เต็มความจุศูนย์ประชุม เพราะครั้งนี้ถือเป็นการปราศรัยใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้เป็นครั้งแรก ประชาชนต่างโบกธงให้กำลังใจ พร้อมประสานเสียงโห่ร้องเชียร์ เบอร์ 37 อย่างต่อเนื่อง

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันทีที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายดูแลทุกช่วงวัย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ เพื่อให้สตรีมีขวัญกำลังใจในการช่วยกันเพิ่มประชากร และอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากว่าสามปี ได้ทำให้น้ำบนดิน น้ำใต้ดิน น้ำบ่อ น้ำตื้นต่างๆ เช่นเดียวที่ดินกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจน

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า ถ้าเลือกพรรคพลังประชารัฐวันนี้ หมายความว่าพี่น้องประชาชนเลือกตัวแทนที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาลที่จะมาดูแลพวกเราอย่างเต็มศักยภาพ และทำให้ชีวิตของชาวใต้ยกระดับขึ้น ขอให้ทุกคนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เราจะได้รับอะไรคืนมา

“ประเทศไทยวันนี้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พรรคพลังประชารัฐจึงเล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุในประเทศไทยทุกคน ด้วยการมอบสวัสดิการดูแลเป็นรายเดือน รวมไปถึงอนาคตของลูกหลานของเรา ก็ต้องได้รับการดูแลตั้งแต่คลอดออกมา และต้องมีการศึกษาที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปอย่างมีศักยภาพและจะเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศไทยของเราต่อไป ซึ่งคนทั้ง 2 กลุ่มถือว่าเป็นกลุ่มเปาะบางที่พรรคพลังประชารัฐต้องปกป้องให้พวกเขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็ง”

ด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวปราศรัยว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐยกทัพใหญ่มาจังหวัดสงขลาเพราะเรามั่นใจว่าเราจะได้รับความเมตตาจากพี่น้องที่นี่ ผู้สมัครครั้งนี้แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น การเลือกตั้งครั้งนี้ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายที่จะเข้ามาดูแลสวัสดิการของประชาชนแต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐเราเป็นพรรคแรกที่พูดแล้วทำจริง ๆ ตั้งแต่ปี 62 และครั้งนี้ก็เช่นกัน บัตรประชารัฐของเราในครั้งนี้ลุงป้อมจะเพิ่มเงินจาก 300 บาทเป็น 700 บาทและยังมีวงเงินประกันชีวิตอีกรายละ 200,000 บาทด้วย

“เราต้องการจะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเด็กเกิดมาก็ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างประชาชนทั่วไปก็ต้องได้รับการส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อที่เขาจะสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองให้ได้ สิ่งนี้ภาครัฐก็จะต้องเข้าไปดูแลเช่นกัน นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องของสวัสดิการประชารัฐไม่ใช่เพียงแค่บัตรประชารัฐเท่านั้น”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก แต่ครั้งนี้หลังจากวันที่ 14 พ.ค.เมื่อเราเข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศต่อ เราจะพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้โดยผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้พื้นที่ภาคใต้มีความเจริญมากขึ้น ขอฝากให้พี่น้องประชาชนพิจารณาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 9 คน 9 เขตด้วย

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐพูดเสมอว่า เราเป็นพรรคของประชาชน ชื่อพรรคก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นการรวมกันของพลังของคน 2 กลุ่ม นั่นก็คือ การร่วมพลังของประชาชนทั้งแผ่นดินทั้ง 77 จังหวัด ภายใต้การดูแลของรัฐ ก็คือรัฐบาล ประเทศไทยของเรามีโครงสร้างเป็นฐานพีระมิด เริ่มจากฐานรากหญ้า คือ พี่น้องประชาชน นโยบายที่พรรคนำเสนอออกมา คือ ต้องการทำให้คนฐานรากมีความเข้มแข็ง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้ทางการเมืองมีพี่น้องหลายท่านติดคุกติดตาราง หลายท่านมีคดีติดตัว หลายท่านต้องเสียลูก เสียเมีย เสียผู้นําครอบครัว ถ้าถามว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ถามว่าคนไทยได้อะไร ตอบได้ทันทีว่ามีแต่เพิ่มความบอบช้ำ เกิดความแตกแยกความสามัคคี บ้านใดเมืองใดไม่มีความสามัคคี อย่าหวังเลยว่าประเทศชาติจะเกิดความมั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน มีแต่ประชาชนอดอยากปากแห้งทั้งนั้น

“จึงเป็นที่มาของนโยบายสำคัญในเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง ต่อจากนี้คนไทยจะร่วมเป็นหนึ่งเดียวไม่มีการแบ่งแยกสี เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน พูดภาษาเดียวกัน แม้จะนับถือศาสนาที่แตกต่างกันแต่เราจะเลิกทะเลาะ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมพลังของคนไทยทั้งแผ่นดิน รวมเป็นหนึ่งเดียว”

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวต่อถึง นโยบายบริหารจัดการที่ดินทำกิน-น้ำ โดย พปชร.จะสานต่อนโยบายการบริหารจัดการน้ำ ยกระดับทั้งระบบ และปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกินให้ประชาชน เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด พร้อมจัดที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คนไร้ที่ทำกินกว่า 2 ล้านคน ทันทีที่เราเข้าไปบริหารประเทศในฐานะรัฐบาล

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายเศรษฐกิจ พปชร. กล่าวว่า วันนี้หัวหน้าพรรคให้ช่วยมาดูเศรษฐกิจภาคใต้ว่าจะสามารถช่วยพัฒนาได้อย่างไร ซึ่งภาคใต้ประกอบไปด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ สตูล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ที่พรรคจะผลักดันให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบเดียวกันกับภาคตะวันออก ที่จะเห็นว่าปัจจุบันเศรษฐกิจเติบโตเป็นเท่าตัว ซึ่งภาคใต้ถือเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นรากแก้วที่ต้องทำให้เกิดการฟื้นตัว โดยหัวหน้าพรรคได้มีการคุยกันอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งร่วมกัน

เมื่อพรรคพลังประชารัฐได้จัดตั้งรัฐบาลสิ่งที่ทีมของเราจะทำคือการดูแลเรื่องสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวทั้งระบบ ท่าเรือ รวมถึงการเปิดเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสงขลามีชายหาดยาวกว่า 200 กิโลเมตร เราจะเอาเศรษฐกิจลงไปช่วยเรื่องการท่องเที่ยวโดยจะพัฒนาเป็นแลนด์บิดเชื่อมติดกับอันดามันและฝั่งอ่าวไทย รวมถึงอีกหลายแห่ง เช่น สุราษฎร์ธานี กระบี่ และจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักที่สำคัญ เพื่อสานต่อโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ดให้ทั้ง 14 จังหวัดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะยกระดับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะเป็นอนาคตสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับลูกหลานต่อไป

“ถ้าอยากจะให้เราทำและให้เป็นอนาคตของลูกหลานต่อไปขอความกรุณาเลือกพรรคพลังประชารัฐเลือกพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566