โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

Blog

“พล.ต.อ.พัชรวาท” สั่งระดมทีมเกาะติดปัญหาฝุ่นPM2.5 พื้นที่กทม.-ปริมณฑลเกินมาตรฐาน เสนอแนวคิดนำนวัตกรรมแก้ปัญหาเร่งด่วน เปิดเอกชนร่วมแก้ไข

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท” สั่งระดมทีมเกาะติดปัญหาฝุ่นPM2.5 พื้นที่กทม.-ปริมณฑลเกินมาตรฐาน
เสนอแนวคิดนำนวัตกรรมแก้ปัญหาเร่งด่วน เปิดเอกชนร่วมแก้ไข

ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้รับรายงานสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ในเขต กทม.และปริมณฑล พบว่ามีค่าเกินมาตรฐาน จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.อภิรัต นิยมการ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีการประชุมด่วนเพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
ทั้งนี้ในการประชุม พล.ต.ท.อภิรัต ในฐานะประธานและมี นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อย่างพร้อมเพียง ได้มีหารือถึงสภาพปัญหาโดยเฉพาะพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ประชุมได้สะท้อนปัญหาว่า ช่วงนี้เป็นช่วงอากาศปิด ทำให้ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ประกอบกับสภาพการจราจร ที่มีปริมาณการใช้รถใช้ถนนจำนวนมาก สำหรับปัญหาควันจากการเผา จะขอความร่วมมือในพื้นที่ปริมณฑลไม่ให้มีการเผาในพื้นที่โล่ง และขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เสนอให้มีการใช้นวัตกรรมร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่น เช่น การติดตั้งพัดลมยักษ์ตามจุดต่างๆ ในพื้นที่ของกลุ่มเปราะบาง และตามสถานศึกษา เพื่อให้เป็นเซฟโซน ทำให้เกิดอากาศหมุนเวียน พร้อมกันนี้ยังได้เปิดรับฟังข้อเสนอของภาคเอกชน เชิญชวนให้มาร่วมนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถบรรเทาและแก้ปัญหาได้ และยังเป็นการระดมสมองเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาระดับชาติต่อไป และได้นำเรียนผลการประชุมรายงาน พล.ต.อ.พัชรวาท แล้ว
“ท่านรองนายกฯ และ รมว.ทส.ห่วงใยสุขภาพของประชาชนอย่างมาก ได้เร่งรัดให้ทุกฝ่ายแก้ไขปัญหาให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนเกิดความสบายใจ ไม่ให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ” ร.อ.รชฏ กล่าวว่าเร็วๆ นี้จะลงพื้นที่สถานการณ์ในจุดที่เป็นต้นกำเนิดฝุ่น ตามที่ พล.ต.อ.พัชรวาท สั่งการเพื่อหามาตรการแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาวต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566

“พล.อ.ประวิตร”รับหนังสือเนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรี เผย พปชร.พร้อม สนับสนุน และพัฒนากลุ่มสตรี เพื่อเป็นกำลังหลักของชาติ

,

“พล.อ.ประวิตร”รับหนังสือเนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรี เผย พปชร.พร้อม สนับสนุน และพัฒนากลุ่มสตรี เพื่อเป็นกำลังหลักของชาติ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รับหนังสือข้อเสนอประเด็นจริยธรรมทางเพศ จากมูลนิธิเพื่อนหญิงและภาคีเครือข่ายกลุ่มที่ทำงานขับเคลื่อนด้านสิทธิสตรี เนื่องในวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล (International Day for the Elimination of Violence against Women) จาก ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ตัวแทนพรรคฯ ซึ่งไปร่วมงานเสวนาทางวิชาการเรื่องผู้หญิงส่งเสียงถามหาจริยธรรมทางเพศของพรรคการเมือง โดยทางเครือข่ายเพื่อนหญิงได้มีการส่งข้อเสนอผ่านตัวแทนไปยังหัวหน้าพรรคการเมืองหลายพรรค เพื่อนำมาเป็นนโยบายสำหรับการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร สส. นอกจากตรวจสอบประวัติอาชญากรรมแล้ว ต้องมีการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมทางเพศด้วย

อีกทั้งวาระนี้พรรคพลังประชารัฐได้ส่งตัวแทนไปร่วมเสวนาเรื่อง “ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง จากผู้มีอำนาจทางการเมือง” โดย ดร.บุณณดา กล่าวถึงงานเสวนาว่า วัตถุประสงค์ของการระดมความคิดนี้ สืบเนื่องมาจากปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงยังคงถูกกระทำ แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปผู้หญิงได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้นแต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงอีกจำนวนมากยังคงถูกทำร้ายคุกคามทั้งในเรื่องเพศ และเรื่องจิตใจ โดยปัญหาสำคัญคือความไม่เสมอภาคเชิงอำนาจที่แตกต่างกันโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่ามักใช้ความได้เปรียบในการคุกคามต่อผู้หญิง หรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้ในวงเสวนาได้มีการตั้งประเด็นถึงกรณีการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นโดยนักการเมือง แต่พรรคการเมืองต้นสังกัดกลับได้นำข้อมูลการตรวจสอบที่ควรจะเป็นความลับมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ส่วนผู้กระทำผิดกลับไม่ได้มีมาตรการลงโทษที่จริงจัง เพียงแค่ตัดเรื่องจบ ผู้กระทำผิดยังคงได้ไปต่อ ในขณะที่ผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือทางจิตใจจากการที่ข้อมูลการเสียหายได้ถูกเผยแพร่ไปแล้ว

“ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เราเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ตั้งแต้ต้น ผู้แทนของพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้แทนที่ใกล้ชิด เข้าใจ และให้เกียรติพี่น้องประชาชน ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้นกับพรรคของเรา โดย
ทางหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้กำชับเรื่องการให้เกียรติซึ่งกันและกันมาโดยตลอด อีกทั้งยังสนับสนุนนโยบายด้านการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และพัฒนากลุ่มสตรี เพื่อเป็นกำลังหลักของชาติเช่นกัน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 พฤศจิกายน 2566

สันติ รมช.สธ.ห่วงคนไทยเป็นโรคอ้วน-เบาหวาน-ความดัน แนะปรับพฤติกรรมออกกำลังกายยกระดับบริการสาธารณสุข

,

สันติ รมช.สธ.ห่วงคนไทยเป็นโรคอ้วน-เบาหวาน-ความดัน แนะปรับพฤติกรรมออกกำลังกายยกระดับบริการสาธารณสุข

“รมช. สันติ” มอบนโยบายกรมอนามัย เร่งส่งเสริมประชาชนออกกำลังกาย ป้องกันโรค NCDs หรือโรคติดต่อไม่เรื้อรัง ชี้สาเหตุพบ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูงค่อนข้างมากในคนไทย หนุนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยกระดับสุขภาพร่างกาย จิตใจแข็งแรง มุ่งลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยประหยัดงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โชว์ความสำเร็จ โครงการก้าวท้าใจ season 5สร้างเครือข่ายประชาชนร่วมออกกำลังกายกว่า 5 ล้านคน สะสมแต้มแลกรางวัล เดินหน้า season 6 เชิญชวนคนไทยร่วมออกกำลังกาย ปลอดโรค

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 66 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ “การดำเนินงานการขับเคลื่อนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย” ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายด้วยกลไลพื้นที่” โดยมี นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อไปสู่การดำเนินการโครงการก้าวท้าใจ เป็นความมุ่งมั่นของกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการให้ประชาชนได้มีสุขภาพที่ดี และส่งเสริมให้ประชาชนมีการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง เพื่อห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ ที่เกิดจากการดำรงชีวิต โดยอาจไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย หรือการดูแลสุขภาพ

ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคตั้งแต่ต้นทาง ได้มอบหมายให้กรมอนามัยเร่ง แผนส่งเสริมให้ประชาชน มาใส่ใจในการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง ก่อให้เกิดโรคที่เกิดจากพฤติกรรม หรือกลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (หรือ NCDs ) เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มจำนวนผู้ป่วยประเภทนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการใส่ใจในเรื่องการบริโภคและเน้นการออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตใจที่ดีแล้ว ยังช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยประหยัดงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลของประเทศได้อีกด้วย

ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องการส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพต้านออกกำลังกายของประชาชนไทย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายการส่งเสริมการออกกำลังกายระดับชาติตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งจัดทำโครงการก้าวท้าใจมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ Season 1 – 5 ล่าสุดตั้งเป้าหมาย Season 5 ชวนคนไทยร่วมกันท้า 150 วัน 150 ล้านแต้มสุขภาพ พร้อมทั้งมอบโถ่เชิดชูเกียรติให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมขับเคลื่อนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายผ่านก้าวท้าใจ กว่า 145 รางวัล

“สำหรับก้าวท้าใจ season 5 ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ร่วมกันท้า 150 วัน 150 ล้านแต้มสุขภาพในปีนี้ ได้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง วันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีสมาชิกรวมกว่า 5 ล้าน 2 แสนคน มีแต้มสุขภาพสะสม 67,726,574 แต้ม สามารถเผาผลาญพลังงานรวมมากกว่า 3,510 ล้านกิโลแคลอรี ระยะทางสะสมรวมกว่า 41 ล้านกิโลเมตร ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้เกิดการออกกำลังกายของประชาชน ที่จะถูกแปลงเป็นแต้มสุขภาพหรือ Health Point และสามารถนำไปแลกของรางวัลบนแอพพลิเคชั่นก้าวท้าใจได้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ประชาชนมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ” นายสันติ กล่าว

ทุกท่านสามารถติดตามกิจกรรมและแคมเปญใน season ต่อไปได้ รวมถึงกติกาการแลกของรางวัลต่างๆ ของก้าวท้าใจได้ทาง FACEBOOK FANPAGE : ก้าวท้าใจ และ Line@ THNVR รวมถึงในแอพพลิเคชั่น ก้าวท้าใจ ในระบบ IOS และ ระบบ ANDROID

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566

“สส.ไผ่ ลิกค์” นำ พปชร.จับมือหลายภาคส่วน มอบเครื่องกีฬาสนับสนุนเยาวชนไทยให้เข้าถึงกีฬา ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด

,

“สส.ไผ่ ลิกค์” นำ พปชร.จับมือหลายภาคส่วน มอบเครื่องกีฬาสนับสนุนเยาวชนไทยให้เข้าถึงกีฬา ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด

24 พ.ย. 2566 นายไผ่ ลิกค์ สส.จังหวัดกำแพงเพชร เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้ร่วมกับพรรคเพื่อไทย, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, คณะกรรมกรรมาธิการการกีฬา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรม “โครงการสนับสนุนและส่งเสริมการตื่นตัวและการมีส่วนร่วมของการเล่นกีฬาและออกกำลังกายของประชาชน ผ่านกิจกรรมหรือบริการทางการกีฬา” (CSR) โดยกิจกรรมในวันนี้ได้นำอุปกรณ์การกีฬาต่างๆ และกีฬามวย มามอบให้กับทางโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่อ.เมือง จ.กำแพงเพชร อาทิ โรงเรียนบ้านวังทอง ต.วังทอง อ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน และเพิ่มทักษะทางด้านกีฬาให้กับเยาวชน

สำหรับการจัดกิจกรรมในวันนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันและในทิศทางเดียวกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดให้ประชาชนใน จ.กำพงเพชร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการออกกำลังกายและห่างไกลจากยาเสพติด ควบคู่การตื่นตัวกับการส่งเสริมให้เยาวชนไทยโดยฉพาะเด็กๆ ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร มีสุขภาพอนามัยที่ดีจากการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและศักยภาพทางด้านกีฬาที่ชื่นชอบ เพื่อค้นหานักกีฬาฝีมือดีให้กับประเทศ เพื่อสานฝันให้เด็กไทยก้าวสู่การเป็นนักกีฬาสมัครเล่น นักกีฬาทีมชาติ และนักกีฬาอาชีพในอนาคต

นายไผ่ กล่าวต่อว่า ตนยังได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสระว่ายน้ำ อบจ.กำแพงเพชร (ริมปิง) เพื่อผลักดันและขอสนับสนุนงบประมาณในการสร้างสระว่ายน้ำให้เป็นสระว่ายน้ำมาตรฐานของ จ.กำแพงเพชร เพื่อเป็นสถานที่ออกกำลังการและใช้ฝึกสอนให้กับนักกีฬาว่ายน้ำด้วย

“ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ที่ผ่านมาผมได้พยายามส่งเสริมทางด้านการกีฬาทุกมิติ เพื่อให้เด็กไทยมีทักษะทางด้ายนกีฬาที่ดี และวันนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมมือกันในการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการกีฬาให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดกำพำแพงเพชร และเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านกีฬาทุกประเภทให้กับเยาวชน โดยจะร่วมกันปรับปรุงสนามกีฬาให้มีมาตรฐาน รวมถึงกีฬาเอ็กซ์ตรีม เพื่อสร้างโอกาสให้กับเยาวชนและการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ โดยเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด“

ทั้งนี้ งานดังกล่าวได้มี นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ดร.สุปราณี คุปตาลา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ นายนายปริญญา ฤกษ์หร่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกำแพงเพชร เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะคณะกรรมกรรมาธิการการกีฬา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมพิธีเปิดด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 พฤศจิกายน 2566

“ชนนพัฒฐ์” ลุยลงพื้นที่ช่วยเหลือ ปชช.อย่างหนัก หลังสงขลาอ่วม! ฝนถล่ม แถมน้ำทะเลสาบหนุนท่วมบ้าน 4 อำเภอ

,

“ชนนพัฒฐ์” ลุยลงพื้นที่ช่วยเหลือ ปชช.อย่างหนัก หลังสงขลาอ่วม! ฝนถล่ม แถมน้ำทะเลสาบหนุนท่วมบ้าน 4 อำเภอ

นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนและให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูฝน ทำให้มีฝนตกหนักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั่วพื้นที่ของภาคใต้ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ มีน้ำเอ่อล้นท่วมพื้นที่การเกษตรบางส่วน และบ้านเรือนประชาชน โดยเฉพาะบริเวณ 4 อำเภอลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และฝั่งอ่าวไทย ทั้ง อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ อ.กระแสสินธุ์ และ อ.ระโนด ซึ่งมีตำบลที่อยู่ริมทะเลสาบได้รับความเสียหาย โดยที่บ้านบางหลังไม่สามารถอยู่อาศัยได้ สัตว์เลี้ยงต้องอพยพไว้ที่สูง

นายชนนพัฒฐ์ กล่าวต่อว่า ตนได้ประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ และซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในที่พักอาศัยอาศัยของประชาชนกว่า 200 คนถึง 300 ครัวเรือนในพื้นที่ พร้อมทั้งประสานขอรับหน่วยงานเอกชนนำข้าวสารอาหารแห้งและน้ำดื่มแจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น

”ในขณะนี้ด้วยสถานการณ์ฝนตกหนัก ส่งผลให้มีน้ำท่วมขัง พื้นที่บริเวณบ้านพักอาศัย พื้นที่การเกษตร ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขต 4 ของเรา และยังมีความกังวลว่าอาจจะมีน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ไปจนถึงวันที่ 23 พ.ย.นี้ ผมจึงขอให้พี่น้องประชาชนทุกคน ดูแลรักษาสุขภาพ และขนย้ายสิ่งของที่จำเป็นขึ้นบนที่สูง รวมถึงติดตามประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิดด้วย“นายชนนพัฒฐ์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2566

“พล.ต.อ พัชรวาท” รุกแก้ “ฝุ่นพิษ“ ใช้มาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหา พร้อมรายงานทุก 30 วัน ตั้ง “ปลัดทส.” ประธานอนุฯจัดการมลพิษ ร่วม 17 ผู้ว่าฯ ดึง 3 แม่ทัพภาค นั่งผอ.ศูนย์ระดมดับไฟป่า

,

“พล.ต.อ พัชรวาท” รุกแก้ “ฝุ่นพิษ“ ใช้มาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหา พร้อมรายงานทุก 30 วัน ตั้ง “ปลัดทส.” ประธานอนุฯจัดการมลพิษ ร่วม 17 ผู้ว่าฯ ดึง 3 แม่ทัพภาค นั่งผอ.ศูนย์ระดมดับไฟป่า

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อความยั่งยืน ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.พัชรวาท เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดพื้นที่การเผาไหม้ซ้ำซาก ในพื้นที่ 10 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่การเกษตรเผาไหม้ และการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง ได้แก่ การพิจารณาสิทธิประโยชน์หรือแรงจูงใจให้ภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 การกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตการเผาและการบริหารจัดการการเผา การเร่งรัดการนำระบบการรับรองผลผลิตทางการเกษตรแบบไม่เผามาใช้กับการปลูกอ้อย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาตรการไม่รับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบ การพิจารณาเพิ่มเงื่อนไขเรื่องการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรในการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และการผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 และรายงานทุก 30 วัน
ขณะเดียวกันได้เห็นชอบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ที่มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2567 คำสั่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และ 5 จังหวัดปริมณฑล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เพื่อเป็นกลไกการแก้ไขปัญหาและบังคับใช้กฎหมายเชิงพื้นที่ เฝ้าระวัง แจ้งเตือน สร้างการรับรู้ และเผยแพร่ข้อมูลในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และคำสั่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการดับไฟป่า โดยมีแม่ทัพภาค 3 เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อบูรณาการการดับไฟป่า.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 พฤศจิกายน 2566

“2 สส. นราธิวาส พปชร.เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดน้ำท่วมหนัก อ.สุไหงโก – ลก ซ้ำรอยปี 65 ลั่น เพราะความห่วงใย มันรอไม่ได้

,

“2 สส. นราธิวาส พปชร.เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดน้ำท่วมหนัก อ.สุไหงโก – ลก ซ้ำรอยปี 65 ลั่น เพราะความห่วงใย มันรอไม่ได้

นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการทำบุญอุมเราะห์ ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ตนได้เดินทางกลับประเทศไทยทันที และรีบลงพื้นที่ร่วมกับ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 2 พร้อมด้วย นายอำเภอสุไหงโก-ลก,ผอ.ชลประทาน,รองผู้การนราธิวาส และผู้กำกับ สภ.สุไหงโก-ลก เพื่อสังเกตุการณ์ระดับนํ้าในเขตพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก บ้านมูโนะ และเทศบาลตำบลบูเก๊ะตา เนื่องจากขณะนี้มีปริมาณน้ำฝนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่ฝนตกหนักมาหลายวัน

นายสัมพันธ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ไปจนถึง ธ.ค.ของทุกปี พื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้จะต้องเผชิญกับมรสุมฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก อย่างเมื่อตอนปี 65 ที่ผ่านมา ในอำเภอสุไหงโก-ลก มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนกว่า 5,000 ครัวเรือน จำนวนประมาณ 20,000 คน ในปีนั้นน้ำท่วมบริเวณตลาดมูโนะเต็มพื้นที่หลังจากที่พนังกั้นน้ำเก่า ริมฝั่งแม่น้ำโก-ลกแตก ทำให้กระแสน้ำได้ท่วมเพิ่มสูงขึ้น และขยายวงกว้าง รวมทั้งกระแสน้ำไหลแรงและเชี่ยว บางจุดมีระดับน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร

“หากเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ พื้นที่จังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมสูงมาก ถือเป็นความเสียหายอย่างหนักต่อพี่น้องประชาชน อีกทั้งพื้นที่แห่งนี้น้ำมีความเชี่ยวกราก ส่งผลทำให้ตลิ่งชำรุดและเกิดความเสียหาย ดังนั้น เราจึงต้องเฝ้าระวังเหตุอุทกภัย และเตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ในยามเกิดเหตุ โดยขณะนี้ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเฝ้าสังเกตุการณ์ และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแล้ว เพราะความห่วงใย..มันรอไม่ได้ ”นายสัมพันธ์ กล่าว

ด้านนายอามิทร์ กล่าวว่า การลงพื้นที่วันนี้เพื่อรับฟังและบรรยายสรุปเรื่องปริมาณน้ำ รวมถึงแผนรับมือของกรมชลประทาน และการป้องกันน้ำท่วม แบริเออชั่วคราว ที่บ้านตันหยงมะลิ เพื่อการป้องกันน้ำเข้าท่วม ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโกลก จากการที่ได้ดูและสำรวจ เบื้องต้นเชื่อว่าปีนี้มาตรการทางเทศบาลเมืองสุไหงโกลก ได้มีมาตรการป้องกันไว้อย่างรัดกุม และเชื่อว่าเราน่าจะผ่านวิกฤตน้ำท่วมในปีนี้ไปได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 พฤศจิกายน 2566

พล.ต.อ. พัชรวาท รองนายกฯ และ รมว.ทส. สั่งกรมทรัพย์สร้างความเชื่อมั่นปชช. หลังเกิดแผ่นดินไหวในภาคเหนือ เร่งศึกษานำเทคโนโลยีทันสมัยแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงภัย

,

พล.ต.อ. พัชรวาท รองนายกฯ และ รมว.ทส. สั่งกรมทรัพย์สร้างความเชื่อมั่นปชช.
หลังเกิดแผ่นดินไหวในภาคเหนือ เร่งศึกษานำเทคโนโลยีทันสมัยแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงภัย

สืบเนื่องจากแผ่นดินไหวสองครั้งที่รับรู้ได้ในประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 เวลา 08.37 น.เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 เกิดจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนเชียงตุง มีจุดเหนือศูนย์เกิดอยู่บริเวณรัฐฉาน ประเทศเมียนมาและมีแผ่นดินไหวตามจำนวน 34 ครั้ง แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ สุโขทัย ลำปาง ลำพูน น่าน พะเยา อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน อุดรธานี ขอนแก่น สกลนคร นนทบุรีและอาคารสูงในกรุงเทพฯ รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว มีอาคารแตกร้าวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย น่านเชียงใหม่ และสกลนคร และต่อมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566 เวลา 03.07 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.0 มีจุดเหนือศูนย์เกิดอยู่บริเวณตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เกิดจากการเลื่อนตัวของรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน แต่ไม่มีรายงานความเสียหายโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ จึงได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณีเร่งทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวและข้อปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เพื่อลดความตระหนกของพี่น้องประชาชนให้มีความสบายใจในการอยู่อาศัยในพื้นที่ และเร่งรัดให้กรมทรัพยากรธรณีดำเนินการสำรวจศึกษา และติดตั้งเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว พร้อมทั้งนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการจัดทำแผนที่แสดงภัยพิบัติแผ่นดินไหว และแผนที่แสดงจุดปลอดภัยสำหรับเป็นจุดรวมพลชั่วคราวและอพยพกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว จัดทำแผนการซักซ้อมอพยพภัยแผ่นดินไหวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนประสานงานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองให้นำแผนที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ไปใช้ประกอบการจัดทำ “กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564”

กรมทรัพยากรธรณีได้ศึกษารอยเลื่อนมีพลัง กำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวเพื่อใช้ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและลดผลกระทบ ประเทศไทยมีกลุ่มรอยเลื่อนมีพลังทั้งหมด 16 กลุ่มรอยเลื่อน พาดผ่าน 23 จังหวัด โดยรอยเลื่อนมีพลังและพื้นที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่สำคัญส่วนใหญ่ที่สามารถก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางที่ประชาชนรู้สึกได้ วางตัวอยู่ในภาคเหนือ เช่น กลุ่มรอยเลื่อนแม่จัน กลุ่มรอยเลื่อนแม่ลาว กลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา และกลุ่มรอยเลื่อนพะเยา ภาคตะวันตก อาทิ กลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ และกลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และภาคใต้ ประกอบด้วย กลุ่มรอยเลื่อนระนอง และกลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณี ดำเนินการดังต่อไปนี้

  • ติดตามข้อมูลผลกระทบจากแผ่นดินไหว พร้อมส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจ ตรวจสอบ และประเมินผลกระทบในพื้นที่ พร้อมให้คำแนะนำแก่ประชาชน และจัดทำรายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวด่วนเสนอ ผู้บริหาร ทธ. ทส. เผยแพร่สู่เครือข่ายภาคประชาชน และสื่อมวลชนให้ทราบข้อเท็จจริง และแนะนำแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องในการรับมือ
  • มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของกรมทรัพยากรธรณี ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนขี้แจงถึงสาเหตุและวิธีปฏิบัติตนเกี่ยวกับแผ่นดินไหวให้กับประชาชนได้เข้าใจ เพื่อสร้างการรับรู้และลดความตื่นตระหนก
  • สั่งการให้กรมทรัพยากรธรณี นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจวัดแผ่นดินไหว และติดตามการเกิดแผ่นดินไหวตาม (aftershock) เพื่อแจ้งข่าวให้กับประชาชนทราบสถานการณ์

ทั้งนี้ ได้มีข้อแนะนำให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว ดังนี้

  • ตรวจสอบว่าพื้นที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติแผ่นดินไหวระดับใด หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูง ต้องก่อสร้างอาคารให้แข็งแรงสามารถต้านแรงแผ่นดินไหว ตามมาตรฐานของกรมโยธาฯ และดูแลอาคารให้อยู่ในสภาพดี มั่นคงแข็งแรง
  • ศึกษาความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว ศึกษาแผนปฏิบัติการและการซักซ้อมอพยพหนีภัยแผ่นดินไหว เข้าร่วมการซักซ้อม และหากเผชิญเหตุแผ่นดินไหวให้ปฏิบัติตนอย่างมีสติตามที่ได้รับข้อแนะนำจากกรมทรัพยากรธรณี
  • หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุตุนิยมวิทยา และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย จึงกลับเข้าไปยังอาคารบ้านเรือนได้

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณีได้เร่งดำเนินการตามข้อสั่งการอย่างเร่งด่วนในการทำความเข้าใจกับประชาชน โดยจัดทำเอกสารเผยแพร่ในการสร้างความรู้ความเข้าใจ และเผยแพร่ผ่านทางช่องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ของกรมทรัพยากรธรณีทั้งทางเว็บไซต์ www.dmr.go.th และเฟซบุ๊ค กรมทรัพยากรธรณี ตลอดจนเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสารมวลชน พร้อมทั้งได้ดำเนินการการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวผ่านทาง Facebook Live กรมทรัพยากรธรณี ในรายการ “ธรณีชวนคุย ตอน แผ่นดินไหวเชียงตุง ว้าวุ่นถึงสกลนคร :อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวอย่างไรให้ปลอดภัย” เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัยกรมทรัพยากรธรณี หมายเลขโทรศัพท์ 02 621 9500

“อยู่ในพื้นที่เสี่ยงธรณีพิบัติภัย ทำอย่างไรให้ปลอดภัย อย่างยั่งยืน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566

“สันติ รมช.สธ.” ดันนโยบายผลิตแพทย์ป้อน รพ.สต.แห่งละ 3 คน ทั่วประเทศ ปี 68 คัดเด็กนร.หัวกระทิในพื้นที่รับโควต้า มอบ สบช.เร่งทำหลักสูตรการเรียนการสอน

,

“สันติ รมช.สธ.” ดันนโยบายผลิตแพทย์ป้อน รพ.สต.แห่งละ 3 คน ทั่วประเทศ ปี 68 คัดเด็กนร.หัวกระทิในพื้นที่รับโควต้า มอบ สบช.เร่งทำหลักสูตรการเรียนการสอน

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แนวทางการผลิตแพทย์ป้อนให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แห่งละ 3 คน เพื่อลดผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ในการเดินทางมาพบแพทย์ และยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ให้มีสุขอนามัยที่ดีขึ้น และมีประสิทธิในการให้บริการด้านสาธารณสุขที่เพียงพอและคุ้มค่า
เนื่องจากในขณะนี้ประชาชนในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน ระดับตำบลมีความเดือดร้อนในการเดินทางไปพบแพทย์ในตัวจังหวัด แต่ละครั้งต้องใช้เงินค่าเดินทางจำนวนมาก ซึ่งหากคำนวณว่า 1 คนเดินทางราวๆ 2 พันบาท ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตั้งแต่ต้นทาง จึงมีแผนการยกระดับรพ.สต.ให้มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น โดยมีการหารือในที่ประชุมผู้บริหารกระทรวง และมีการคำนวณภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้วว่า ทุนในการผลิตแพทย์ 1 คน จะใช้ราวๆ 5 ล้านบาท เรียน 6 ปี หากผลิตให้ รพ.สต.แห่งละ 3 คน ก็เท่ากับว่าต้องผลิตแพทย์ทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นคน เมื่อการเรียนแพทย์ต้องใช้เวลานาน 6 ปี หารแล้วปีหนึ่งจะผลิตได้ 5,000 คน รวมแล้วใช้งบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

“นักเรียนที่จะมาเรียนแพทย์ตามโครงการนั้น จะเป็นระบบโควต้าในแต่ละจังหวัด เช่น หากในจังหวัดมีรพ.สต. 100 แห่ง 1 แห่งจะใช้ให้มีแพทย์ 3 คน ก็จะได้ 3 พันคน หารด้วยจำนวนปีที่ต้องเรียน คือ 6 ปี ปีละ 50 คน โดยคัดคนที่เรียนจบมัธยมปลายที่มีคะแนนสูงสุดของจังหวัดนั้นๆ เข้าเรียน เมื่อเรียบจบก็กลับมาเป็นแพทย์ในจังหวัดของตนเอง โดยยืนยันว่า การผลิตแพทย์นี้จะป้อนเข้า รพ.สต. ทั้งที่ยังอยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และที่มีการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้วทั้งหมด”

การผลิตแพทย์ให้ได้ตามจำนวน รพ.สต.ที่มีอยู่ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1.5 แสนล้าน เป็นงบผูกพันปีละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ไม่มาก เมื่อเทียบกับค่ารถที่ประชาชนต้องเดินทางไปหาหมอโดยตั้งสมมุติฐานว่า ประชาชน 1 คน เดินทางไปพบแพทย์เฉลี่ย 1 ครั้งต่อปี ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1 แสนล้านบาท จึงเป็นที่มาของการผลักดันการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้มีการหารือกับสำนักงบประมาณ ซึ่งที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุขมีความเข้าใจในแนวทางดังกล่าวแล้ว โดยให้สถาบันพระบรมราชชนก (สบช.) เป็นหน่วยงานดำเนินการต่อไป

สำหรับแนวทางการบรรจุโครงการเข้าสู่ปีงบประมาณ เดิมพยายามที่จะเริ่มในปี 2567 แต่งบปี 67 ค่อนข้างตึงตัว แต่ก็พยายามผลักดัน อย่างช้าที่สุดคือปี 2568 ซึ่งขณะนี้ได้มอบให้ สบช.เร่งจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนของพยาบาลชั้นสูง และนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้คนเหล่านี้อบรม เรียนอีกประมาณ 3-4 ปี ออกมาเป็นแพทย์ เพื่อไปประจำรพ.สต.ระยะเร่งด่วนก่อน

นอกจากนี้ยังพบว่าคุณภาพของแพทย์ไทยเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก โดยสังเกตจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เข้ามาประเทศไทยเพื่อรักษาสุขภาพโดยเฉพาะ ดังนั้นหากเราตั้งใจผลิตแพทย์ที่ทั่วโลกยอมรับ ในอนาคตเมื่อแพทย์พอเพียงแล้ว ก็จะไม่มีการจำกัดให้แพทย์ไปทำงานที่ต่างประเทศ เพราะเท่าที่ศึกษาแพทย์ไทยทำงานต่างประเทศจะมีรายได้เดือนละเกิน 1 ล้านบาท เมื่อไปทำงานต่างประเทศก็จะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศอีกด้วย

“ตอนนี้ผู้บริหารกระทรวงเห็นด้วยว่า มีความจำเป็น ที่สำคัญที่สุด ได้มาหารือกับหัวหน้าพรรค ท่านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เห็นด้วยกับแนวทางที่ต้องเร่งผลิตแพทย์ให้เพียงพอ ต่อจำนวนประชากร ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากในระยะยาว ” นายสันติ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาท”กำชับกรมอุทยาน-ป่าไม้-ทรัพยากรทางทะเล ดูแลความปลอดภัย-จัดสถานที่เหมาะสม”รับท่องเที่ยวไฮซีซั่น”

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท”กำชับกรมอุทยาน-ป่าไม้-ทรัพยากรทางทะเล
ดูแลความปลอดภัย-จัดสถานที่เหมาะสม”รับท่องเที่ยวไฮซีซั่น”

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงมาตรการเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวนี้ว่า ขณะนี้ได้เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ในแต่ละปีจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงได้กำชับไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะหัวหน้าอุทยานให้เตรียมความพร้อมเรื่องสถานที่ การดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ที่พักสะอาด ลานกางเต้นท์เป็นระเบียบ ขณะเดียวกันในช่วงวันหยุดยาวคาดว่าจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ได้เน้นย้ำการบริหารจัดการเพื่อจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับพื้นที่ นักท่องเที่ยวได้สัมผัสแห่งความสุข ไม่อยากให้เกิดภาพความความแออัด ให้ท่องเที่ยวอย่างความสะดวก ปลอดภัย ขณะเดียวได้เน้นย้ำให้เข้มงวดเรื่องห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปที่พักเขตอุทยาน และให้มีการกำจัดขยะ เพื่อให้เป็นการท่องเที่ยวควบคู่กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสม

“รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ความสำคัญเรื่องการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ดังนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นกระทรวงที่สามารถสร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม ก็อยากให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัส และเกิดความประทับใจหลังจากเดินทางกลับ”

สำหรับอุทยานแห่งชาติที่อยากแนะนำให้เดินทางไปในช่วงฤดูหนาว โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้คัดเลือกที่สุดแหล่งท่องเที่ยวโดดเด่นมีทั้งทางบกและทางทะเล อาทิ ศาลาดุสิตาอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง, จุดชมวิวยอดดอยผ้าห่มปกอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก, โมโกจูอุทยานแห่งชาติแม่วงก์, สันหนอกวัว อุทยานแห่งชาติเขาแหลม, หุบเขาแห่งดอกไม้ หรือพญาเสือโคร่งภูลมโล อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า,ป่าเปลี่ยนสีอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว, เกาะแปดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันและหาดท้ายเหมือง อุทยานแห่งชาติเขาลําปี – หาดท้ายเหมือง เป็นต้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 พฤศจิกายน 2566

“สันติ” รมช.สธ. ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร

,

“สันติ” รมช.สธ. ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ให้กับวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กทม. นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราขทานผ้าพระกฐินในปีนี้ โดยมีข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (สส.) จ.เพชรบูรณ์ ประกอบด้วย นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ นายวรโชติ สุคนธ์ขจร นายอัคร ทองใจสด ตลอดจนประชาชนเข้าร่วมพิธี

ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้บวงสรวงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด ถวายภัตตาหารอพลแด่พระสงฆ์-สามเณร ทั้งพระอาราม จากนั้นประกอบพิธีถวายผ้ากฐินพระราชทาน เสร็จพิธีได้มอบทุนการศึกษาแก่โรงเรียนวัดหงส์รัตนาราม และเยี่ยมพบปะประชาชน ก่อนเดินทางกลับ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 พฤศจิกายน 2566

”วรโชติ“สส.เพชรบูรณ์ ลงพื้นที่ร่วม สส.วันเพ็ญ สำรวจอ่างเก็บน้ำห้วยจั๊กจั่น เตรียมขยายอ่างบรรจุน้ำ ชงเข้างบปี 68 เพื่อให้เกษตรกรมน้ำใช้ โดยไม่ต้องพึ่งแต่น้ำฝน

,

”วรโชติ“สส.เพชรบูรณ์ ลงพื้นที่ร่วม สส.วันเพ็ญ สำรวจอ่างเก็บน้ำห้วยจั๊กจั่น เตรียมขยายอ่างบรรจุน้ำ ชงเข้างบปี 68 เพื่อให้เกษตรกรมน้ำใช้ โดยไม่ต้องพึ่งแต่น้ำฝน

นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า ตนและ ท่านวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 5 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พร้อมด้วย นายธนาวุฒิ สินประเสริฐ สมาชิกสภาจังหวัด(สจ.),ผอ.กรมชลประทานที่ 10 ลพบุรี ลงพื้นที่ตำบลบ่อไทย อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อสำรวจอ่างเก็บน้ำห้วยจั๊กจั่น เพื่อนำโครงการเพิ่มความจุน้ำเข้าแผนปีงบประมาณ 2568 และโครงการขุดลอกคลองปู่เจ้าพร้อมสะพาน​ ฝายกั้นน้ำ และฝายระบายน้ำให้เชื่อมโยงกับโครงฝายกุดขนวน เพื่อให้เกิดประโยชน์ ​และแก้ปัญหา​น้ำท่วมให้กับ​พี่น้อง​เกษตรกร​

นายวรโชติ กล่าวต่อว่า จังหวัดเพชรบูรณ์มีพื้นที่อยู่ในลุ่มน้ำถึง 5 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำโขง แต่จะมีส่วนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักมากที่สุดถึงร้อยละ 70 ของจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีแม่น้ำป่าสักที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ยาวประมาณ 350 กิโลเมตร ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดเพชรบูรณ์ เผชิญทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม โดยพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม จะอยู่สองฝั่งของแม่น้ำป่าสัก แบ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมปานกลาง และเสี่ยงสูง ส่วนพื้นที่เผชิญภัยแล้ง มักพื้นที่ลาดชัน และภูเขาสูง โดยร้อยละ 60 ของพื้นที่ ถือว่ามีปัญหาภัยแล้งระดับต่ำ และอีกร้อยละ 35 มีปัญหาภัยแล้งระดับปานกลาง ที่เหลือเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับสูง

“ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งเพื่ออุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตร ซึ่งถ้าสามารถขยายอ่างเก็บน้ำห้วยจั๊กจั่นได้สำเร็จ จะช่วยให้ราษฎรในตำบลนี้และใกล้เคียงมีน้ำทำการเกษตรและน้ำอุปโภคบริโภคด้วย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงทำสวน ทำไร่ โดยอาศัยน้ำฝนเพียงพออย่างเดียว“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 พฤศจิกายน 2566