โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

“สนธิรัตน์” ประกาศนโยบายพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศไทย// เร่งยกระดับเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิม เพิ่มเติมเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่// ย้ำ ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาล นำทุกนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้สำเร็จ

,

“สนธิรัตน์” ประกาศนโยบายพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศไทย// เร่งยกระดับเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิม เพิ่มเติมเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่// ย้ำ ขอก้าวข้ามความขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาล นำทุกนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้สำเร็จ

วันที่ 9 มี.ค. 2566 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์สู่สนามเลือกตั้งปี 2566 ในงาน IBusiness Forum 2023 “The Next Thailand’s Future : จุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน”

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปบริหารเศรษฐกิจของประเทศหลังการเลือกตั้ง ต้องนำ 4 เครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาเน้นย้ำ ได้แก่ การท่องเที่ยวการส่งออก การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยการท่องเที่ยว จะเป็นเครื่องจักรสำคัญในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายของพรรคพลังประชารัฐคือจะใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วเติมเข้าไป ไม่ใช่เฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงเรื่องคุณภาพของการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงหรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเชื่อมโยงการท่องเที่ยวชุมชนกับการท่องเที่ยวเชิงมหภาคด้วย

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐเคยผลักดันมาแล้วตั้งแต่การก่อตั้ง EEC และการขับเคลื่อนโครงสร้างการส่งออกที่ไปอยู่ในเครื่องยนต์ใหม่ ๆ เพิ่มความสามารถของเศรษฐกิจใหม่ๆ ภายใต้การขับเคลื่อน 3 เรื่องเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ Innovation Economy, Digital Economy และ BCG ที่เรามีอยู่แล้ว โดย BCG ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะสอดรับกับจุดแข็งของประเทศไทยที่เป็นประเทศเกษตร ซึ่งการส่งออกต้องเปลี่ยนผ่านโครงสร้างของการส่งออกในประเทศไทยทั้งภาคเกษตร และอุตสาหกรรม รวมทั้งเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันให้ได้

นอกจากนี้ นายสนธิรัตน์ ยังได้กล่าวถึง 5 นโยบายเร่งด่วนที่สำคัญที่พรรคพลังประชารัฐจะทำประกอบด้วย 1. แก้หนี้ เติมทุน เพิ่มทักษะ สร้างโอกาส 2. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มวงเงินบัตรประชารัฐ ทำให้เกิดประโยชน์ให้ประชาชนมากขึ้น ยืนยันเดินหน้าต่อยอด เป็นนโยบายหลักของพรรค 3. สิทธิที่ดินทำกิน 4. การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และป้องกันน้ำท่วม และ 5. การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย

“พรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีคือเรื่องกองทุนประชารัฐ SMEs Wallet และศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจ SMEs ครบวงจร รวมถึงการเปลี่ยนบทบาทของรัฐในการส่งเสริมเอสเอ็มอี โดยเฉพาะสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.) ที่ต้องปรับบทบาทครั้งใหญ่ หากกลไกของรัฐใน สสว. และกระทรวงต่าง ๆ ไม่ปรับบทบาทจะไม่สามารถขับเคลื่อนได้ สสว. ควรเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เชิงนโยบบาย ทำหน้าที่ดูแลงบประมาณ และประเมินผล” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ในเรื่องพลังงาน นายสนธิรัตน์ ระบุว่า มี 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องเปลี่ยนแปลง 1. เรื่องน้ำมัน พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายชัดเจนคือปฏิรูปโครงสร้างน้ำมัน ทำให้ได้ราคาที่เป็นธรรม รวมถึงลดการใช้น้ำมัน โดยจะใช้นโยบายการเปลี่ยนผ่านสู่อีวีเต็มรูปแบบ เปลี่ยนรถเก่าเป็นรถพลังงานอีวี 2. เรื่องไฟฟ้า มีนโยบายชัดเจนคือจะลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชน เน้นการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาเรือน รวมถึง Net Metering หากทำเรื่องนี้ได้จะเพิ่มรายได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและ 3. โรงไฟฟ้าชุมชน จะเป็นอีกนโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐด้วย ทั้งหมดคือสิ่งที่เราต้องเร่งยกระดับเครื่องยนต์เดิม เพิ่มศักยภาพเครื่องยนต์ใหม่ ทั้งเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยว เกษตรและเทคโนโลยี เรื่องการเกษตร นโยบายของพรรคเราต้องเปลี่ยนผ่านเกษตรสู่เกษตรพลังงาน ไบโอเจ็ท หรือน้ำมันเครื่องบินจากพืชพลังงาน

“ผมขอเน้นย้ำว่า ไม่ว่านโยบายใดจะดีแค่ไหนอย่างไร หากประเทศมีการเมืองที่ไม่มั่นคง มีการเมืองเชิงความขัดแย้ง สิ่งที่เป็นนโยบายทั้งหลายนั้นก็เป็นเพียงนโยบายในการหาเสียง แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้ วันนี้ พรรคพลังประชารัฐจึงได้ประกาศแล้วว่า จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และพร้อมนำพาประเทศไทยให้มีความสมดุลทางการเมือง และนำทุกนโยบายที่เราได้หาเสียง ไปสู่การปฏิบัติให้สำเร็จ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มีนาคม 2566

“ศ.ดร.นฤมล”เผย 18 มี.ค.เปิดเวทีกลางกรุงพบประชาชน เปิดโฉม 33 ว่าที่ผู้สมัครเคาะประตูชูนโยบายเข้าถึงทุกพื้นที่

,

“ศ.ดร.นฤมล”เผย 18 มี.ค.เปิดเวทีกลางกรุงพบประชาชน เปิดโฉม 33 ว่าที่ผู้สมัครเคาะประตูชูนโยบายเข้าถึงทุกพื้นที่

วันที่ 9 มี.ค. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการเปิดปราศรัยใหญ่ใน กทม. ของพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ เวลา 17.00น. ลานคนเมือง กทม. ว่า เป็นการเปิดตัว ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขต โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาร่วมสร้างขวัญและกำลังใจ พร้อมด้วยการนำเสนอนโยบายของพรรคสำหรับ คนกทม. ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวกทม.แต่ละเขต เพราะด้วยความปัญหาและความแตกต่างของบริบทพื้นที่ ซึ่งพรรคพร้อม รับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน ผ่าน 33 ว่าที่ผู้สมัครพปชร.ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มีประสบการณ์ในพื้นที่จริง และพร้อมทำด้วยหัวใจ

ทั้งนี้ หลังจากจัดเวทีปราศรัยใหญ่ในกทม. จะจัดมีการจัดเวทีปราศรัยย่อยในแต่ละพื้นที่ใน กทม. ทั้งในกทม.ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะนำเสนอนโยบายให้สอดรับกับพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ได้วางตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เกือบครบทุกเขตแล้ว ซึ่งยังมีเพียงบางพื้นที่ที่ทาง กกต.มีการแบ่งเขตใหม่ คือลด 4จังหวัดและเพิ่ม 4 จังหวัดรวมถึงในกทม. อย่างไรก็ตามพรรคตั้งเป้าจะได้ส.ส.กทม.มากว่าเดิม หลังจากรอบที่แล้วได้ ส.ส.มา 12 คน เพราะเชื่อมั่น ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคที่มี มีของดีอยู่ในตัว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มีนาคม 2566

พปชร.ดันนโยบาย”บ้านประชารัฐ 360 องศา” ลดปัญหาเหลื่อมล้ำคนเมือง ส่งว่าที่ผู้สมัครทุกเขตสแกนความต้องการปชช. สร้างความมั่นคงที่อยู่อาศัย

,

พปชร.ดันนโยบาย”บ้านประชารัฐ 360 องศา” ลดปัญหาเหลื่อมล้ำคนเมือง ส่งว่าที่ผู้สมัครทุกเขตสแกนความต้องการปชช. สร้างความมั่นคงที่อยู่อาศัย

วันที่ 9 มีนาคม พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) จัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของว่าที่ผู้สมัครและตัวแทนชุมชนเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย พปชร. ภายใต้หัวข้อ “บ้านประชารัฐ 360 องศา เข้าใจ เข้าถึง ทำได้จริง” โดยมีศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครกทม. พปชร. นักวิชาการ และตัวแทนชุมชน ประกอบด้วย นางสาวชญาภา ปรีฎาพากย์ ว่าที่ผู้สมัครสส.เขตบางคอแหลม ยานนาวา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ว่าที่ผู้สมัครสส.กรุงเทพ อ.สุนีย์ ไชยรส รองคณบดีฝ่ายพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ นายศุ บุญเยี่ยม เลขาชุมชนเชื้อเพลิง 2 ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนำเสนอมุมมองและปัญหาที่ของคนกรุงเทพที่เกิดขึ้น ที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยในเวทีครั้งนี้ได้นำเสนอประเด็นปัญหาเรื่องของที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่พรรคมีความเข้าใจปัญหาเมืองในทุกมิติ จากการเข้าถึงข้อมูล ด้วยการศึกษา วิจัย และ สามารถทำได้ จริงทั้งด้านการเงิน และให้อยู่ได้ภายใต้กรอบของ กฎหมาย ผ่านว่าที่ผู้สมัครทั้ง 33 เขต ที่ได้ลงพื้นที่มาอย่างยาวนาน เพื่อรวบรวมข้อมูล และสะท้อนปัญหาที่แท้จริงของประชาชน สู่นโยบายของกทม. ให้สอดรับกับนโยบายกลางของพรรคในนโยบาย “มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน”

“ เราอยากทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยจะมีโมเดล บ้านประชารัฐ ที่เราจะทำเพิ่มเติม ในแต่ละเขต ซึ่งจะหาเขตที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากเขตเอกมัย 19 ซึ่งการทำโมเดล พัฒนาบนพื้นฐาน ทำแบบเข้าใจ เข้าถึงและทำได้จริง มีความเป็นไปได้ทางการเงิน กฎหมาย จะทำอย่างไร เพื่อให้คนกทม.มีบ้าน มีหลักค้ำประกันชีวิต สำหรับครอบครัว ทำให้สังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ในกทม.ที่ดีขึ้น โดยเริ่มต้นจากเวทีนี้เป็นเวทีแรก และเวทีต่อไปวันที่ 16 มีนาคม 2566 ที่จะมีประเด็นทางด้านมิติสังคม ตามสโลแกนของพรรค “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่” โดยเฉพาะในเรื่องคำว่าก้าวข้าม เป็นก้าวข้ามในมิติด้านใดบ้าง ที่ต้องการแก้ไขปัญหากับประชาชน สังคม และประเทศ”

นางสาวชญาภา กล่าวว่า ภายหลังจากการได้ลงพื้นที่เป็นระยะเวลาหลายเดือน พบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของคนฐานรากที่เรื้อรังมานาน โดยในปัจจุบันที่ดินในเขตยานนาวามีมูลค่าที่แพงขึ้นมาก ทำให้คนฐานรากซึ่งเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนแรงงาน รับจ้าง หาบเร่แผงลอย ไปจนถึงกลุ่มคัดแยกขยะ ที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใกล้แหล่งงานได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยในเขตยานนาวามีชุมชน 23 ชุมชน ถูกขับไล่ 6 ชุมชน ชาวบ้านต้องไร้ที่อยู่ และบางกลุ่มที่เคยเช่าอยู่ในราคาถูกเมื่อหมดสัญญาก็ไม่ได้รับการต่อสัญญาอีก และมีแนวโน้มอาจถูกขับไล่ ซึ่งปัญหานี้รัฐและเอกชนต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากประชาชนยังไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ปัญหาจะตามมาอีกมาก ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยดูแลบ้านเมือง
“พรรคพลังประชารัฐได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างมาก หากประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน โอกาสด้านต่างๆ จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา คุณภาพชีวิตต่างๆ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น และสังคมที่ดีขึ้นตามมา”

นายภูวกร กล่าวว่า จาการสำรวจพื้นที่อยู่อาศัยของแต่ละชุมชน ในเขตวัฒนาหลายแห่งมีปัญหาถูกไล่รื้อ จากการลงพื้นที่ริมคลอง และ ริมทางรถไฟ มองว่าสามารถนำโมเดลบ้านประชารัฐมาต่อยอดได้ แต่เราต้องใช้การออกแบบยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ คือ ต้องสำรวจสมาชิกในชุมชนว่าเป็นกลุ่มใดบ้าง ทั้งเด็ก และ ผู้สูงอายุ เพื่อการออกแบบบ้านให้ทุกคนในสังคมอยู่กันอย่างเท่าเทียม และต้องออกแบบให้เหมาะสมกับท้องถิ่นเข้ากับบริบทชุมชนและสังคม โดยมีการระดมสมองจากทุกภาคส่วน อาจมีการจัดประกวดออกแบบบ้านจากนักศึกษา นักศึกษาต้องไปทำการบ้านกับชุมชน โดยเน้นย้ำการ “อัพเกรดคุณภาพชีวิต” ของประชาชนในชุมชนเมือง รวมถึงการทำสิ่งแวดล้อมในชุมชนให้ดีขึ้น เช่น การบำบัดน้ำสีย เราเชื่อว่าถ้าบ้านดี สังคมจะดีตามมา

นายระพีพัฒน์ กล่าวว่า เรื่องที่อยู่อาศัยมีหลายมิติ สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ต้องมีพื้นที่สันทนาการ สิ่งแวดล้อม และ สาธารณูปโภค เรามองว่าในส่วนของบ้านประชารัฐ คือ แผนระยะสั้น ส่วนแผนระยะยาวเราอยากปฏิรูปที่ดิน จัดสรรใหม่ โดยนำที่ดินธนารักษ์มาช่วยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ทำกิน สำหรับบ้านประชารัฐอาจมีการปฏิรูปใหม่โดยสร้างเป็นตึกและต้องตอบโจทย์การทำกิน มีที่จอดรถซึ่งเป็นเครื่องมือที่เขาใช้ทำมาหากิน นอกจากนี้เราจะทำที่พักผ่อนหย่อนใจพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้กลายเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน ทำให้เป็นพื้นที่ที่ทำคนในสังคมเมืองใช้ร่วมกัน โดยมองว่าปัจจุบันนี้มีกฎหมายการลงทุนของรัฐกับเอกชนแล้ว เราสามารถเอาที่ดินของรัฐมาปฏิรูปให้เอกชนมาลงทุนแล้วจัดพื้นที่ทำกิน จัดให้เป็นพื้นที่กิจกรรมงานศิลปะเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาเกิดการค้าขายให้เงินไหลเวียน โดยจะต้องหา 1 พื้นที่ 1 เขต จะผลักดันให้โมเดลนี้เกิดขึ้นกระจายทุกเขต เพื่อเป็นต้นทุนชีวิตให้เราทุกคน

นายตรีสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องที่อยู่อาศัยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 15 ฉบับ ทำให้หลายครั้งนโยบายเรื่องที่อยู่อาศัยเกิดการติดขัด และไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะทำหากได้รับเลือกเข้าไปในสภา คือ เราจะรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วไปผลักดันนโยบายต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา ทั้งกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้วแต่สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม และ กลุ่มที่ไม่มีที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะการอุดหนุนงบประมาณผ่านกองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยของกทม. โดยจากเดิมที่กทม.ได้งบประมาณเพียง 1 หมื่นล้านบาท ก็จะอุดหนุนเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท พร้อมกับนำที่ดินธนารักษ์ที่คาดว่ามีอยู่ในกทม.ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่ มาพัฒนาเพื่อให้คนเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และวันนี้พลังประชารัฐก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ว่า ผู้ว่าฯกทม.จะเป็นใคร เราสามารถทำงานโดยก้าวข้ามความขัดแย้งอย่างแน่นอน
ด้าน อ.สุนีย์ ไชยรส รองคณบดีฝ่ายพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต มาร่วมให้ความคิดเห็นในเวทีนี้ด้วย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าปัญหาคนไม่มีที่ทำกิน ส่วนมากเกี่ยวข้องกับที่ของรัฐ และ ปัญหาก็คือกฎหมายการไล่รื้อจับ มองว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต้องเร่งสำรวจภาพรวมว่าใครอยู่ในสถานการณ์อะไร ข้อมูลต้องชัด การวางแผนพื้นที่ทั้งหมดว่าสถานการณ์ ออกแบบการแก้ปัญหาให้นึกถึงระยะยาว ไม่ใช่แค่มีบ้าน จำเป็นต้องมีสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต เช่น ศูนย์เลี้ยงเด็กคุณภาพใกล้ชิดชุมชน เป็นต้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 มีนาคม 2566

“ดร.สฤษดิ์” ลุยพื้นที่จริง สร้างความเข้าใจให้ปชช. ต่อนโยบายพรรคในเขตดุสิต พบปัญหาท้องไม่พร้อม ก่อนดันเรื่องสู่พรรคเพื่อสร้างนโยบายแก้

,

“ดร.สฤษดิ์” ลุยพื้นที่จริง สร้างความเข้าใจให้ปชช. ต่อนโยบายพรรคในเขตดุสิต พบปัญหาท้องไม่พร้อม ก่อนดันเรื่องสู่พรรคเพื่อสร้างนโยบายแก้

ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตดุสิต พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ในเขตดุสิต เพื่อนำนโยบายของพรรคสร้างการรับรู้และเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยได้นำเสนอนโยบายเพิ่มเงินช่วยเหลือในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อไว้ใช้จ่ายในครัวเรือน เพิ่มสิทธิประโยชน์สวัดิการ เช่น ค่ารถเมล์ รถไฟ ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ รวมถึงนำเสนอนโยบายการดูแลผู้สูงวัย คือเพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน
รวมถึงสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในนโยบายล่าสุด คือ นโยบาย “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” เป็นการสนับสนุนเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด เริ่มตั้งแต่อายุครรภ์ 4 เดือน จนถึง 9 เดือน และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ เพื่อใช้ในการเลี้ยงดูบุตรและธิดา

โดย ดร.สฤษดิ์ กล่าวว่า จากปัญหาในการลงพื้นที่ ได้พบปัญหาในเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ในวัยรุ่นทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ เช่น การขาดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร นี่ทำให้เห็นว่าเราควรมีสวัสดิการในการช่วยเหลือกรณีท้องไม่พร้อม ให้มีระบบและหน่วยงานเข้าไปดูแล นอกจากนี้ยังได้มุ่งรับฟังปัญหาต่าง ๆ จากประชาชน เพื่อนำปัญหามาสู่การทำนโยบาย ที่สามารถแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 มีนาคม 2566

พปชร.พอใจผลโพลย้ำยังมีเวลาทำคะแนนเสียงเพิ่ม “มั่นใจนโยบายโดนใจ-ปฏิบัติได้เข้าถึงปชช.ทุกกลุ่ม”

,

พปชร.พอใจผลโพลย้ำยังมีเวลาทำคะแนนเสียงเพิ่ม
“มั่นใจนโยบายโดนใจ-ปฏิบัติได้เข้าถึงปชช.ทุกกลุ่ม”

4 มีนาคม 2566 นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่แอพพลิเคชั่น Line Today ทำกิจกรรมแบบสอบถาม ในห้วข้อ ” ใกล้เลือกตั้งปี 2566 คุณจะเลือกลงคะแนนให้ “พรรคการเมือง” ใด ? เพื่อให้ผู้ทำแบบสอบถามโหวตโดยเปิดทำการสำรวจตั้งแต่วันที่ 10.-28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยผลการสำรวจพบว่า พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้คะแนน 45,436 คะแนนมาเป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 27.38 % นับว่าเป็นผลโหวตที่น่าพอใจ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของประชาชนยังนิยมในพปชร.และมั่นใจว่าในระยะเวลาที่เหลือก่อนที่จะมีการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงพ.ค.นี้พปชร.ยังสามารถที่จะเดินหน้าลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนและนำเสนอนโยบายต่างๆ ของพรรคให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการตัดสินใจเลือกพปชร.เพิ่มขึ้น
“ ด้วยสโลแกนของพรรค พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง แก้ไขปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ซึ่งสะท้อนผ่านนโยบายต่างๆ ของพรรคที่ออกมาในการดูแลประชาชนทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท (ป้อม 700) นโยบายดูแลทุกช่วงวัย “เบี้ยผู้สูงอายุ” 3 4 5 และ 6 7 8” นโยบายดูแลทุกช่วงวัย “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” นโยบายแก้ปัญหาที่ดินทำกิน “มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน” นโยบายแก้ปัญหาน้ำ “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” ซึ่งหลายนโยบายเราได้ดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและพร้อมสานต่อควบคู่ไปกับการต่อยอดนโยบายใหม่ๆ ให้ครอบคลุมถึงความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น” นายอรรถกร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 มีนาคม 2566

“ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พปชร.”ยื่นหนังสือเสนอนโยบายสตรีและกลุ่ม LGBTQ+ผ่าน”ศ.ดร.นฤมล” หนุนลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มความเท่าเทียมเพศชาย-เพศทางเลือกสังคมไทย

,

“ว่าที่ผู้สมัคร กทม.พปชร.”ยื่นหนังสือเสนอนโยบายสตรีและกลุ่ม LGBTQ+ผ่าน”ศ.ดร.นฤมล”
หนุนลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มความเท่าเทียมเพศชาย-เพศทางเลือกสังคมไทย

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ได้รับหนังสือเสนอนโยบายเกี่ยวกับผู้หญิงและความหลากหลายทางเพศ จากตัวแทนกลุ่มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ เนื่องวันสตรีสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคที่พร้อมเปิดกว้าง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกคน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในทุกมิติ สอดรับกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญในการก้าวข้ามความขัดแย้ง แก้ไขปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ เพื่อให้สังคมไทยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งรวมไปถึงการให้ความสำคัญสตรี ในฐานะแม่ ที่ต้องเลี้ยงดูบุตร ธิดา เพื่อให้มีพัฒนาการที่ดีและเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ

โดยในวันนี้ ทาง น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ว่าที่ผู้สมัครกทม(เขตบึงกุ่ม คันนายาว) ได้นำหนังสือข้อเรียกร้องขององค์กรสตรี ผ่านตัวแทนพรรคการเมืองที่เข้าร่วมเวทีเสวนาในวันสตรีสากลเข้ามามอบให้กับพรรค เพื่อนำข้อเรียกร้องมาสู่การพิจารณา เพื่อจัดทำนโยบายด้านสตรีและเด็ก ซึ่งพรรคพร้อมให้การสนับสนุน เพราะมีข้อมูลหลายด้านมาสู่การประกาศเป็นนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับ แม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ประสบปัญหาจากการหย่าร้าง รวมไปถึงการลดภาระ ให้เพศหญิงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเราต้องการให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญสิทธิสตรี และความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

“ทางกลุ่มผู้สมัคร ส.ส. กทม.ได้มีแนวทางเดียวกันในการให้ความสำคัญสตรีและเด็ก และเพศทางเลือก จึงนำข้อเสนอดังกล่าว มายื่นต่อคณะผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ ผ่าน ศ.ดร.นฤมล เพื่อนำไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายขับเคลื่อนของพรรค เพื่อร่วมศึกษาเพิ่มเติม และวางนโยบายร่วมกันอีกครั้งต่อไป “

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”เปิดตลาดท่องเที่ยวเมืองปากน้ำ เตรียมพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และ การท่องเที่ยวใกล้ กทม.ด้าน ประชาชนแห่ต้อนรับคึกคัก พร้อมอวยพรขอให้เป็นนายกฯคนต่อไป

,

“พล.อ.ประวิตร”เปิดตลาดท่องเที่ยวเมืองปากน้ำ เตรียมพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และ
การท่องเที่ยวใกล้ กทม.ด้าน ประชาชนแห่ต้อนรับคึกคัก พร้อมอวยพรขอให้เป็นนายกฯคนต่อไป

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานเปิดตลาดเชิงท่องเที่ยวศูนย์กลางจำหน่ายผลผลิตทางการประมงและศูนย์ส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ,นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และนางประภาพร อัศวเหม นายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน
รวมไปถึงนายสุนทร ปานแสงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมไปถึงส.ส.สมุทรปราการ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพลังประชารัฐ ได้แก่ นายจาตุรนต์ นกขมิ้น นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ นายอัครวัฒน์ อัศวเหม นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก น.ส.ภริม พูลเจริญ นายแสน บานแย้ม นายยงยุทธ สุวรรณบุตร นายต่อศักดิ์ อัศวเหม และนายวรพร อัศวเหม ให้การต้อนรับอย่างคับคั่ง

โดยพลเอกประวิตร กล่าวบนเวทีว่า มีความยินดี เป็นอย่างมากที่ได้มาเป็นประธานเปิดกิจกรรม”พบปะ พี่น้อง ประชาชน” ณ ตลาดเชิงท่องเที่ยวศูนย์กลางจำหน่ายผลผลิต ทางการประมง และ ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจ จังหวัด สมุทรปราการ” ในวันนี้ขอชื่นชม การดำเนินงานของทุกภาคส่วน ในจังหวัดสมุทรปราการ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ทุกท่าน ที่ได้ช่วยกันทำให้จังหวัดสมุทรปราการสวยงาม น่าอยู่ คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ วัฒนธรรม รวมไปถึงวิถีชีวิต ของชาวปากน้ำให้คงอยู่

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่า การพบปะพี่น้องประชาชนในวันนี้จะทำให้ทุกภาคส่วน เข้าใจถึงความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น และถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเยี่ยมชมตลาดแห่งนี้ที่จะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ช่วยให้พี่น้องชาวสมุทรปราการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรปราการต่อไป ผมในนามของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอฝากพรรคพลังประชารัฐไว้กับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดสมุทรปราการทุกท่านด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านกำนันผู้ใหญ่บ้านนายกเทศมนตรี นายก…ทั้งหลายแหล่ ขอบคุณครับ”พลเอกประวิตร กล่าว

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานมีประชาชนมารอต้อนรับจำนวนมาก โดยพลเอกประวิตรได้ขึ้นรถกอล์ฟ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชนอย่างอารมณ์ดี ซึ่งได้รับคำอวยพรให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และบางคนได้เข้าสวมกอดด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”เตรียมกำลังพลสู้ศึกเลือกตั้ง ปี66 มั่นใจพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตอบโจทย์ปัญหา ปชช.

,

“พล.อ.ประวิตร”เตรียมกำลังพลสู้ศึกเลือกตั้ง ปี66
มั่นใจพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตอบโจทย์ปัญหา ปชช.

วันที่ 1 มีนาคม 2566 เวลา 16.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จำนวน 50 คน และกล่าวต้อนรับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เลือดเก่า และ ส.ส.เลือดใหม่ ที่มีอุดมการณ์เดียวกันและเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ พร้อมที่จะเป็นตัวแทน พปชร. ซึ่งจะมีการทำงานเพื่อประชาชนอย่างเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่งและบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ณ ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ ส.ส.เก่าของพรรคทุกคนที่อยู่ร่วมกันมาตลอดสี่ปี รวมถึงขอบคุณว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ย้ายมาจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมทำงานกับพรรคเรา และผู้สมัครหน้าใหม่ทุกคนที่มาสร้างชื่อเสียงให้กับพรรคต่อไป ในวันนี้รู้สึกตื้นตันใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.เก่าที่ยังอยู่ร่วมกับพรรคและไม่ไปไหน

“ถือเป็นโอกาสที่ดีอีกวันหนึ่งที่เราได้เปิดตัวผู้สมัครทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่าที่ไม่ย้ายไปอยู่กับพรรคการเมืองอื่นถึงแม้เราจะโดนดูดไปเยอะ แต่ก็ไม่เป็นไร พรรคเราถือว่าเป็นพรรคที่โดนดูด ส.ส.ไปมากที่สุด แต่เราก็มีความเข้มแข็งที่จะจับมือกันทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป” พล.อ.ประวิตร กล่าว

สำหรับผู้สมัครที่ย้ายมาจากพรรคอื่น พปชร.ยินดีต้อนรับทุกคน เพราะทุกคนถือเป็นกำลังสำคัญของพรรค และคาดหวังว่าจะได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง เพราะการเลือกตั้งเมื่อปี 62 เราได้ ส.ส.มากเป็นอันดับที่ 2 แต่จะได้เท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับทุกคนที่จะร่วมกันทำงาน

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ยินดีที่จะรับใช้ทุกคนที่เข้ามาสู่บ้านพลังประชารัฐโดยผู้สมัครหน้าใหม่สามารถถาม ส.ส.ทุกคนได้ว่า ตนดูแลพวกเราทุกคนอย่างไร และยืนยันว่าตนเองจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเลยแม้แต่คนเดียว และขอฝากความหวังไว้กับทุกคนในการที่จะเป็น ส.ส.ของพรรคเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชนในปี 66 โดยพรรคจะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ผู้สมัครทุกคน ตนก็ต้องขอฝากเอาไว้ด้วย

ด้านนายสันติ กล่าวว่า เป็นอีกวันหนึ่งที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ได้มาต้อนรับว่าที่ผู้สมัครทุกคนทั้ง ส.ส.ปัจจุบัน และผู้สมัครใหม่ โดยทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนที่มีอุดมการณ์จะทำงานเพื่อประชาชนและเป็นตัวแทนของประชาชนเพื่อที่จะทำงานพัฒนาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจะพัฒนาให้ประเทศไทยทันกับทั่วโลก และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับเยาวชนลูกหลานของเรา

สำหรับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่เปิดตัวครั้งนี้ ประกอบด้วย กทม. คือ นายศิริพงศ์ รัศมี ส.ส.กทม. กำแพงเพชร ได้แก่ นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร นายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร นายปริญญา ฤกษ์หร่าย ขอนแก่น คือ นายสมศักดิ์ คุณเงิน ส.ส.ขอนแก่น นายบัลลังก์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น มาจากพรรคเพื่อไทย จ.ฉะเชิงเทรา คือ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา จ.ตรัง คือ นายนิพนธ์ ศิริธร ส.ส.ตรัง จ.นครราชสีมา ได้แก่ นายเกษม ศุภรานนท์ ส.ส.นครราชสีมา นายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.นครราชสีมา

จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ นายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ส.ส.นครศรีธรรมราช จ.นราธิวาสคือ นายสมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส จ.พะเยา ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา นายจิรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา จ.พิจิตร คือ พรชัย อินทร์สุข ส.ส.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ ได้แก่ น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ ส.ส.เพชรบูรณ์ นายจักรัตน์ พั้วช่วย ส.ส.เพชรบูรณ์ นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ ส.ส.เพชรบูรณ์ นายเอี่ยม ทองใจสด ส.ส.เพชรบูรณ์

จ.ภูเก็ต ได้แก่ นายสุทา ประทีป ณ ถลาง ส.ส.ภูเก็ต นายนัทธี ถิ่นสาคู ส.ส.ภูเก็ต จ.แม่ฮ่องสอน คือ นายปัญญา จีนาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน จ.ยะลาคือ นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา จ.ราชบุรี คือ นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี นายชัยทิพย์ กมลพันธุ์ทิพย์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ นายจตุพร กมลพันธุ์ทิพย์ จ.สมุทรสาคร คือ น.ส.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ส.ส.สมุทรสาคร จ.สระแก้ว ได้แก่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว นายสุรศักดิ์ ชิงนวรรณ์ ส.ส.สระแก้ว จ.สระบุรี คือ น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี จ.สิงห์บุรีคือ นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี

จ.สมุทรปราการ ได้แก่ นายจาตุรนต์ นกขมิ้น นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ นายอัครวัฒน์ อัศวเหม ส.ส.สมุทรปราการ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.สมุทรปราการ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ นายแสน บานแย้ม ที่ปรึกษา รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายยงยุทธ สุวรรณบุตร ส.ส.สมุทรปราการ นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวรพร อัศวเหม จ.ชลบุรี ได้แก่ นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา ร.อ.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี นายประมวล เอมเปีย นายโอฬาร์ ปัญญปิติพัฒน นายบรรจบ รุ่งโรจน์ นายนิพนธ์ แจ่มจรัส นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ ส.ส.ชลบุรี และนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ อดีต ส.ส.ชลบุรี

จ.ชัยนาท คือ นายธนบดี คุ้มชนะ อดีตนายก อบจ.ชัยนาท จ.ชัยภูมิ ได้แก่ นายสุขสันต์ ชื่นจิตร และนายอัครแสนคีรี โล่วีระ จ.สุรินทร์ ได้แก่ นายสิตกวิน เตียวเจริญโสภา นายเสรษฐิพณ แท่นดี จ.นครราชสีมา คือ นายณัฐพล ชวนกระโทก จ.ขอนแก่นคือ นายพิพัฒน์พงศ์ พรหมนอก จ.พิจิตร ได้แก่ นางณริยา บุญเสรฐ นายเอกวิชญ์ เรืองมาลัย และจ.กระบี่ คือ นายอนันต์ เขียวสด จ.สุพรรณบุรี คือ นายยุทธนา โพธสุธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุพรรณบุรี จ.ปัตตานี คือ นายอันวาร์ สาละ อดีต ส.ส.ปัตตานี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 มีนาคม 2566

“สนธิรัตน์”ร่วมเวทีถก”อนาคตพลังงานไทย” ย้ำพปชร.ทำเพื่อประชาชนหยุดประโยชน์กลุ่มทุน

,

“สนธิรัตน์”ร่วมเวทีถก”อนาคตพลังงานไทย”
ย้ำพปชร.ทำเพื่อประชาชนหยุดประโยชน์กลุ่มทุน

“สนธิรัตน์” ชี้ ปฏิรูปพลังงานต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน ยก “บิ๊กป้อม” ผู้นำการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงาน พิสูจน์ 37 วันนั่งรักษาการณ์ ประกาศนโยบาย “Net Metering” เผยนโยบายพลังงาน “พปชร.” ฟื้น “โรงไฟฟ้าชุมชน – รื้อโครงสร้างราคาพลังงาน – สานต่อ EV” ผลักดันตั้งองค์กรจัดการทรัพยากรพลังงานของชาติ หยุดประโยชน์กลุ่มทุน

วันที่ 28 ก.พ. 2566 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ และการเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมโชว์วิสัยทัศน์ด้านพลังงาน ในงานเสวนา พรรคการเมืองตอบประชาชน “อนาคตพลังงานไทย” ที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พลังงานคือปัญหาใหญ่ของประเทศไทย นโยบายพลังงานจะเป็นนโยบายที่ชี้ขาดการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะพลังงานเป็นต้นทุนชีวิต และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะปฏิรูปพลังงานไทยได้ต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งกล้า และชัดเจน และที่สำคัญ คือผู้นำของพรรคที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงาน ซึ่งตรงนี้พิสูจน์ แล้วว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานจากการนั่งรักษาการนายกรัฐมนตรีเพียง 37 วัน โดยการประกาศเรื่อง Net Metering ซึ่งที่ผ่านมาการส่งเสริมโซล่าเซลล์ ไม่เคยประสบความสำเร็จ ไม่เคยถึงประชาชน แต่หากสานต่อเรื่อง Net Metering ก็จะทำให้เกิดขึ้นได้จริง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ในสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทำนโยบายพลังงานที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งมาหลายเรื่อง ได้แก่ การตั้งคณะทำงานเพื่อพลังงานที่เป็นธรรม การดำเนินการลดราคาหน้าโรงกลั่น 50 สตางค์ การคืนค่ามัดจำมิเตอร์ไฟฟ้า และการผลักดันนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน แต่น่าเสียดายตนทำได้เพียง 1 ปี หลังจากออกมานโยบายต่าง ๆ ก็ไม่ได้คืบหน้า โดยเฉพาะเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางของพี่น้องประชาชน ผ่านมา 2 ปี ยังไม่ก่อเกิดผลลัพธ์ของพลังงานประชาชน อย่างที่คาดหวัง อย่างไรก็ตาม นโยบายทั้งหมดจะยังคงเป็นนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐจะสานต่ออย่างแน่นอน

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นโยบายพลังงานที่พรรคพลังประชารัฐจะขับเคลื่อน จะเป็นนโยบายพลังงานของประชาชน เพื่อประชาชน โดยจะครอบคลุมการบูรณาการ การแก้ปัญหาให้มีความเป็นธรรมอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องน้ำมัน ไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ เช่น การปฏิรูปโครงสร้างราคาน้ำมัน ยกเลิกราคาสมมติ ทำความร่วมมือกับเอกชนแก้ไขสิ่งที่มีความไม่เป็นธรรมซ่อนอยู่ ซึ่งต้องดูว่าเอาเปรียบประชาชนตรงไหน และอย่างไร การผลักดันเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยานยนต์ EV ผลักดันการแปลงรถยนต์สันดาบให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการสนับสนุนของรัฐ เพื่อส่งเสริมการใช้รถ EV และเร่งสร้างแรงจูงใจการใช้รถ EV รวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังจะมีการบริหารจัดการพืชพลังงานให้สอดรับกับกระแส Green Energy ของโลก เช่น การส่งเสริมการใช้พืชพลังงานผลิตน้ำมันเครื่องบิน หรือที่เรียกว่า Biojet

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขณะที่ด้านไฟฟ้า จะผลักดันนโยบายไฟฟ้าของประชาชน เพื่อประชาชน เช่น ต่อยอดนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน การส่งเสริมโซล่าภาคประชาชน และ Net Metering เพื่อให้ประชาชนเป็นทั้งผู้ผลิตพลังงานใช้เอง และเป็นผู้ขายพลังงาน สร้างรายได้ทั้งในส่วนของครัวเรือนและชุมชน นอกจากนี้ นายสนธิรัตน์ ยังให้ความเห็นต่อการแก้ปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้าแพง โดยแนะให้หยุดการทำสัญญาโรงไฟฟ้าใหม่ เพื่อไม่ให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และเป็นภาระค่าไฟฟ้าที่มาจากค่าพร้อมจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน

“จะแก้เรื่องไฟฟ้าส่วนเกิน ค่าไฟฟ้าส่วนเกินวันนี้คือสัญญาที่ทำไปแล้ว สิ่งแรกที่ท่านต้องเรียกร้อง และพูดให้ดังคือคัดค้านการเซ็นต์สัญญาโรงไฟฟ้าใหม่ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อไม่ให้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินเพิ่มขึ้นมาจากการที่กลุ่มเอกชนจะเซ็นต์สัญญาไฟฟ้าใน 2-3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ไม่อย่างนั้นค่าไฟฟ้าส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาตินั้น ก๊าซของชาติ ประชาชน ต้องได้รับประโยชน์ก่อนภาคอุตสาหกรรมจะต้องมีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซให้เป็นธรรม ซึ่งราคาก๊าซหุงต้มเป้าหมายราคา 350 บาทต่อถังมีความเป็นไปได้ สุดท้ายสิ่งที่จะต้องทำคือการจัดตั้งองค์กรจัดการทรัพยากรพลังงานของชาติ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรทางพลังงานของชาติถูกจัดการเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชน ไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในมือของกลุ่มทุน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 มีนาคม 2566

“เลขาสันติ ควง รองวิรัช”ระดมว่าที่ผู้สมัครเสริมอาวุธ ชูนโยบายเพื่อปชช. เน้นลงพื้นที่เข้าถึงนโยบายทำได้จริง เพื่อเลือกพปชร. ชู พล.อ.ประวิตร นั่งนายกฯ

,

“เลขาสันติ ควง รองวิรัช”ระดมว่าที่ผู้สมัครเสริมอาวุธ ชูนโยบายเพื่อปชช.
เน้นลงพื้นที่เข้าถึงนโยบายทำได้จริง เพื่อเลือกพปชร. ชู พล.อ.ประวิตร นั่งนายกฯ

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ได้ร่วมให้ความรู้และอบรม เตรียมความพร้อมว่าที่ผู้สมัครทั่วประเทศ ในการลงพื้นที่ เพื่อเสนอนโยบายของพรรคที่ได้ออกมา 5 นโยบาย ทั้งนโยบายเพิ่มเงินสวัสดิการบัตรประชารัฐ ทบทวนกฎเกณฑ์และเตรียมความพร้อม
เรื่องกฎหมาย และนโยบายพรรค สู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ

นายสันติกล่าวว่า พรรคได้ออกนโยบาย เพื่อให้ว่าที่ผู้สมัคร ไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน เพื่อให้พรรคเข้าถึงใจ และมีความเชื่อมั่นว่าพรรค ที่นำโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ได้ทำนโยบาย เพื่อช่วยเหลือประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำให้ประชาชนได้อย่างแน่นอน ตั้งแต่นโยบายเพิ่มเงินช่วยเหลือในบัตรประชารัฐ นโยบายที่ทำกิน นโยบายน้ำ ที่หัวหน้าพรรคได้ดำเนินมาตลอด 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล และนโยบายล่าสุด นโยบายจากครรภ์มารดา สู่บุตร ธิดา ประชารัฐ “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ”
หากเลือก พปชร.ได้จัดตั้งรัฐบาล และยกมือในสภาผู้แทนเพื่อให้พล.อ.ประวิตร เป็นนายก เราจะทำทันที

นอกจากนี้ ยังได้ย้ำให้ว่าที่ผู้สมัครลงพื้นที่อย่างเข้มแข็ง รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น เพื่อนำมาสู่การทำนโยบาย เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง และมองเห็นอนาคต ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญว่าที่ผู้สมัครต่างรู้ถึงปัญหาในแต่ละพื้นที่เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเครื่องชี้ชัดว่าพรรคเรามีความจริงใจกับประชาชน และที่สำคัญตัวว่าผู้สมัครจะเป็นตัวช่วยสร้างพรรคได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามนโยบายใหม่ที่ออกมา เพื่อดูแลผู้สูงวัย และนโยบายดูแลสตรีมีครรภ์และเด็ก เพราะขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และจำนวนเด็กเกิดน้อยลง เพราะด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ค่าเลี้ยงดูสูง พปชร.เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อที่จะส่งเสริมในการเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศอย่างมีคุณภาพ ให้กับประชาชน และที่สำคัญจะส่งเสริมให้โรงพยาบาลระดับตำบลมีแพทย์ โดยการให้จังหวัดมีการตั้งกองทุนเพื่อจัดหาเด็กเรียนดีในจังหวัดเข้าเรียนแพทย์ และกลับมาทำงานในท้องถิ่นตนเอง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทาง ให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่

นายวิรัชกล่าวว่า การอบรมเพิ่มเติมให้กับว่าที่ผู้สมัครตั้งแต่รุ่น 1-4 เพื่อมารับทราบนโยบายเพิ่มเติม เพื่อลงพื้นที่ รวมทั้งรับฟังความเห็นของว่าที่ผู้สมัครไปรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน เพื่อมาแลกเปลี่ยนข้อมูล ในการหาเสียง เพราะระยะเวลาการเลือกตั้งกำลังจะมาถึงอีกไม่นานนี้

“การจัดอบรบครั้งนี้ จึงเป็นการเพิ่มเครื่องมือให้กับว่าที่ผู้สมัคร และมาทำความเข้าใจในนโยบายของพรรคที่จะนำเสนอต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย ป้อม 700 มีน้ำไม่มีแล้ง ไม่มีจน มีที่ทำกินไม่มีจน นโยบายดูแลผู้สูงอายุ 3-4-5-6-7-8 และนโยบายแม่-บุตร -ธิดา ประชารัฐ วันนี้ เราให้เครื่องมือเพื่อไปบอกกับประชาชน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ขยาย พรก.ฉุกเฉิน ต่อ 3เดือน ปรับลดพื้นที่ อ.มายอ ผ่านเกณฑ์ กำชับเตรียมดูแลช่วงการเลือกตั้ง พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ทุ่มเท เสียสละ เพื่อส่วนรวม

,

“พล.อ.ประวิตร” ขยาย พรก.ฉุกเฉิน ต่อ 3เดือน ปรับลดพื้นที่ อ.มายอ ผ่านเกณฑ์ กำชับเตรียมดูแลช่วงการเลือกตั้ง พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ทุ่มเท เสียสละ เพื่อส่วนรวม

1 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 1/2566 ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. กล่าวว่า โดยที่ประชุมได้รับทราบ ผลการปฎิบัติงานตาม พรก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ห้วง 20 ธ.ค.65 -23 ก.พ.66 และแนวโน้มสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จชต. หลังจากนั้นได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ ตามที่ กอ.รมน.ภาค4 เสนอโดยขอให้ปรับลดพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เนื่องจากผ่านเกณฑ์การประเมินผล และขอให้นำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาบังคับใช้แทน พร้อมเห็นชอบ ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงใน 3 จชต. ยกเว้น อ.ศรีสาคร ,อ.สุไหงโก-ลก ,อ.แว้ง และอ.สุคิริน จ.นราธิวาส ยกเว้น อ.ยะหริ่ง ,อ.มายอ ,อ.ไม้แก่น และอ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา ยกเว้น อ.เบตง ,อ.กาบัง ออกไปอีก 3เดือน ตั้งแต่ 20 มี.ค.66 ถึง 19 มิ.ย.66 โดยเป็นการขยายเวลา ครั้งที่ 71 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ป้องกันและระงับยับยั้งสถานการณ์ให้ได้ อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบ ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ด้วย

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ,ตำรวจภูธรภาค 9 เร่งหามาตรการทางกฎหมายปกติ ทดแทน พรก.ฉุกเฉิน เพื่อสร้างบรรยากาศเชิงบวกในพื้นที่ และให้สอดรับกับทิศทางของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข พร้อมเน้นย้ำ ฝ่ายความมั่นคง ประสานการปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัย และเฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งในและนอกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องเตรียมการดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้ขอบคุณกำลังพลทุกนาย ของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละ เพื่อส่วนรวม สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี กระทั่งปรับลด อ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นอำเภอที่10 ได้เป็นผลสำเร็จ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 มีนาคม 2566

การรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

,

การรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 มีนาคม 2566