โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“สส.สุธรรม”ข้องใจคนในครอบครัวนายกฯ โอนหุ้นอัลไพน์ไปมา-หวงแหนที่ดินธรณีสงฆ์ แนะ หากจะยุบสภาควรคืนที่ธรณีสงฆ์ให้วัด ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคเพื่อล้างบาป

,

“สส.สุธรรม”ข้องใจคนในครอบครัวนายกฯ โอนหุ้นอัลไพน์ไปมา-หวงแหนที่ดินธรณีสงฆ์ แนะ หากจะยุบสภาควรคืนที่ธรณีสงฆ์ให้วัด ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคเพื่อล้างบาป

เมื่อเวลา 13.00 น.นายสุธรรม จริตงาม สส.พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน และสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ จึงเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุที่ตั้งข้อกล่าวหารุนแรงมาจากพฤติการณ์ของนายกรัฐมนตรี ที่ได้หากินในที่ดินธรณีสงฆ์ซึ่งเป็นสมบัติของวัดธรรมิการาม ด้วยการถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์กอล์ฟ แอนด์สปอร์ตคลับจำกัด ซึ่งศาลตัดสินแล้ว ควรถึงเวลาที่จะคืนที่ดินให้วัดตามเจตนารมณ์ของผู้ยกที่ดินให้กับทางวัด

นายสุธรรม กล่าวว่า ในฐานะชาวพุทธไม่สบายใจที่มีผู้มาหากินกับทรัพย์สินของทางวัด และถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีเป็นการขัดกันของผลประโยชน์ เพราะหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วต้องถือหมวก 2 ใบ คืนในฐานะ นายกรัฐมนตรี และลูกที่เพิ่งโอนหุ้นให้กับมารดาของตนเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทนี้มีการโอนหุ้นกันไปมาภายในครอบครัว โดยไม่ทราบว่าพฤติกรรมของครอบครัวนี้ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ทั้งที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินเป็นหมื่นล้านบาท เพราะเหตุใดจึงหวงแหนที่แปลงนี้ จึงถือเป็นเรื่องส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ต้องชี้แจงด้วยตนเอง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องศีลธรรมและความซื่อสัตย์ แต่ไม่อยากต่อว่ามากเพราะตอนที่นายกรัฐมนตรีถือหุ้นบริษัทอัลไพน์ยังเด็ก และไม่ทราบเรื่องราวภายในครอบครัวนี้ แต่ก็ย่อมปฏิเสธพฤติกรรมในอดีตไม่ได้ จึงถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม
คนที่เป็นนายกฯ ของประเทศไทยไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเสื่อมเสียเกียรติ

“หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาหรือลาออก ควรจะพูดคุยกับคนในครอบครัว คืนที่ดินแปลงนี้ให้กับวัดเพื่อลบล้างบาปผลกรรมที่ทำไว้กับทางวัดมายาวนาน”นายสุธรรม กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พล.อ.ประวิตร“ลงนามตั้งศูนย์ประสานงานข้อมูลเขต 77 จังหวัด ตั้งเป้ารวบรวมข้อมูล แต่ละพื้นที่ หนุนงาน สส.เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง 2570

“พล.อ.ประวิตร“ลงนามตั้งศูนย์ประสานงานข้อมูลเขต 77 จังหวัด ตั้งเป้ารวบรวมข้อมูล แต่ละพื้นที่ หนุนงาน สส.เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง 2570

เมื่อวันที่ 19 มี.ค.  2568.  นายไพบูลย์ นิติตะวัน  เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  เปิดเผยว่า  พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ได้ลงนามในคำสั่งพรรคพลังประชารัฐ ที่ 9/2568 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เรื่อง จัดตั้งศูนย์ประสานข้อมูลเขตเลือกตั้ง 77 จังหวัด โดยอาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 5 พ.ศ.2566 ข้อ 17 (1) (จ) (ซ) ระเบียบพรรคพลังประชารัฐว่าด้วยการจัดโครงสร้างและแบ่งหน่วยงานภายในสำนักงานเลขาธิการพรรคการเมือง พ.ศ.2567 ข้อ 8 ประกอบมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ครั้งที่
10/2567 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 และ ครั้งที่ 5/2568 วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 จึงให้จัดตั้ง
ศูนย์ประสานข้อมูลเขตเลือกตั้ง 77 จังหวัด ประกอบด้วย
1.นายภัครธรณ์ เทียนไชย รองเลขาธิการพรรค เป็นผู้อำนวยการศูนย์
2.นายมนูญ พรหมลักษณ์ เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์
3.นายดารศักดิ์ สุทธิโภชน์ เป็นเจ้าหน้าที่
4.นางสุภาวดี ขีดขิน เป็นเลขานุการศูนย์

โดยมีหน้าที่และอำนาจ
1.จัดเก็บข้อมูลในเขตเลือกตั้งแต่ละจังหวัด เพื่อนำมาสนับสนุนการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและทีมงานของพรรคในการสร้างคะแนนนิยมในแต่ละพื้นที่
2.สนับสนุนข้อมูลแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคและทีมงานของพรรค เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำงานในสภาและในพื้นที่
3.จัดเก็บข้อมูลผู้ที่สมควรลงสมัครผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประกอบการพิจารณาให้กับคณะกรรมการบริหารพรรคหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
4.ดำเนินการและปฏิบัติงานอื่นใดตามที่หัวหน้าพรรคมอบหมาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 ทั้งนี้ นายภัครธรณ์ เทียนไชย ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และก่อนที่จะมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีและผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว      

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“สส.คอซีย์” ถามความชัดเจน ปมงบประมาณสนับสนุนโรงเรียนตาดีกา จากกระทรวงมหาดไทย ชี้ ต้องสร้างความเข้าใจให้ครอบคลุม จังหวัดชายแดนใต้

“สส.คอซีย์” ถามความชัดเจน ปมงบประมาณสนับสนุนโรงเรียนตาดีกา จากกระทรวงมหาดไทย ชี้ ต้องสร้างความเข้าใจให้ครอบคลุม จังหวัดชายแดนใต้

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 68 นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมกับสภาผู้แทนราษฎรว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากชมรมตาดีกา ประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา เนื่องจากโรงเรียนตาดีกา จัดตั้งขึ้นโดยมัสยิดต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการเรียนการสอนความรู้พื้นฐานด้านศาสนาให้กับเด็ก แต่ปัจจุบันมีปัญหาขาดความพร้อมในด้านบุคลากร ด้านสถานที่ และด้านสื่อการเรียนการสอน ต่อมาจังหวัดสตูลได้มีหนังสือสอบถามประเด็นดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นว่าจะสามารถสนับสนุนงบประมาณให้กับมัสยิด เพื่อพัฒนาโรงเรียนตาดีกาหรือโรงเรียนปอเนาะได้หรือไม่

นายคอซีย์ กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทยหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตอบข้อหารือว่า องค์กรท้องถิ่นอาจสนับสนุนการพัฒนาการเรียนการสอนเป็นค่าอาหาร ค่าจ้างครูผู้สอนได้ตามระเบียบที่ได้กำหนดให้องค์กรท้องถิ่น โดยผู้ขอรับสนับสนุนต้องเป็นมัสยิดที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ตนจึงได้มีหนังสือขอนำคณะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอนำประธานชมรมโรงเรียนตาดีกา จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าพบเพื่อให้กระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนการตอบรับข้อหารือ เป็นการสร้างความเข้าใจในวิธีปฏิบัติและวิธีดำเนินการให้ครอบคลุมทุกจังหวัดชายแดนใต้

“โดยมีคำถามว่า หน่วยงานตรวจสอบมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินงานอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือไม่ และยังมีองค์กรท้องถิ่นที่ยังไม่เข้าใจการดำเนินการ เนื่องจากเป็นเพียงการตอบข้อหารือของจังหวัดสตูล ควรมีวาระการขยายผลเพื่อความชัดเจน เนื่องจากเห็นว่า ปัญหาการยกระดับการเรียนการสอนด้านศาสนาให้มีมาตรฐานและถูกต้อง เป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมมีความต้องการ“ นายคอซีย์ กล่าว

นายคอซีย์ กล่าวต่อว่า ตนขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จัดเวทีประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจในการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนตาดีกา โดยมีผู้เข้าร่วมรับทราบแนวทางดำเนินการที่ถูกต้องประกอบด้วยผู้บริหารท้องถิ่น ปลัดองค์กรท้องถิ่น ผู้อำนวยการกองการศึกษา ชมรมตาดีกา และองค์กรท้องถิ่นชายแดนใต้ หวังว่าการพัฒนาการศึกษาที่ดีต่อลูกหลานมุสลิมจะเป็นการพัฒนาความเจริญที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ดีต่อชายแดนใต้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พล.อ.ประวิตร“ลงนามตั้ง“สุธรรม จริตงาม”นั่งรองเลขาธิการ พรรคพลังประชารัฐ

“พล.อ.ประวิตร“ลงนามตั้ง“สุธรรม จริตงาม”นั่งรองเลขาธิการ พรรคพลังประชารัฐ

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2568 นายไพบูลย์ นิติตะวัน  เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามในคำสั่งพรรคพลังประชารัฐ ที่ 10/2568 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เรื่อง แต่งตั้งรองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยมีเนื้อหาว่า เพื่อให้การบริหารงานของพรรคพลังประชารัฐเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ บรรลุตามอุดมการณ์ วัตถุประสงค์ และนโยบายของพรรค จึงอาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ17(1) (ช) และข้อ 17(2) แต่งตั้งนายสุธรรม จริตงาม สส. นครศรีธรรมราช เขต 6 เป็นรองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ปัจจุบัน นายสุธรรม  ยังดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค และมีบทบาทสำคัญ ในการเป็นตัวแทนพรรค ในฐานะวิป พรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พปชร.” เตือนรัฐบาล กฎหมายศูนย์กลางการเงินจะทำลายความน่าเชื่อถือ ธปท.และระบบการเงินของประเทศ คาด เอื้อภาคการเมืองเพิ่มปริมาณเงินตามที่ต้องการ

,

“พปชร.” เตือนรัฐบาล กฎหมายศูนย์กลางการเงินจะทำลายความน่าเชื่อถือ ธปท.และระบบการเงินของประเทศ คาด เอื้อภาคการเมืองเพิ่มปริมาณเงินตามที่ต้องการ

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.เวลา 14.25 น.นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการ แถลงข่าวเตือนรัฐบาลว่า ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลาง การประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … จะทำลายระบบการเงินของประเทศ ตามที่เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบนเวทีงาน “MFC’s 50th Anniversary -The World’s Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคต”ว่าพรรคเพื่อไทยอยากให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่ จึงจะดำเนินการ 3 เรื่อง คือ (ก) ออกเงินดิจิทัลในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (ข) จัดทำแซนบ็อกซ์ที่ภูเก็ตเพื่อใช้คริปโตเคอเรนซี่เป็นสกุลเงินในการแลกเปลี่ยน (ค) ออกเงินดิจิทัลแบบสเตเบิ้ลคอยน์ stable coin โดยเตรียมแผนไว้ให้ดำเนินการได้ภายใน
3 เดือน นั้น

นายธีระชัย เปิดเผยว่า แผนดำเนินการสามเรื่องดังกล่าวภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบันจะต้องผ่านการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องกฎหมายเงินตราและในเรื่องกฎหมายระบบการชำระเงิน แต่กลับไม่แถลงว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยได้มีการปรึกษาหารือกับ ธปท. แต่อย่างใด
จึงบ่งชี้ว่ารัฐบาลจะไม่ดำเนินการภายในกรอบกฎหมายปัจจุบัน

“การที่ท่านอดีตนายกทักษิณออกมากล่าวเช่นนี้ บ่งชี้ว่ารัฐบาลมุ่งจะผ่านร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลาง การประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ.เพื่อออกใบอนุญาตบริษัทการเงินรายใหม่ให้สามารถทำธุรกิจเข้ามาในตลาดภายในประเทศ แต่จะมีการตัดอำนาจของ ธปท.กลต.คปภ. ออกไป โดยจะจัดตั้งเป็นสำนักงานขึ้นมาใหม่ที่รวบอำนาจการพิจารณาออกใบอนุญาต และการออกกติกากำกับธุรกิจแทนองค์กรเหล่านี้”นายธีระชัยกล่าว

นายธีระชัย กล่าวเตือนให้รัฐมนตรีจากพรรคร่วมตระหนักว่า การตัดอำนาจขององค์กรอิสระออกไปเช่นนี้จะทำลายระบบการเงิน เพราะจะเปิดให้ภาคการเมืองสามารถเพิ่มปริมาณเงินได้เองตามที่ต้องการในรูปแบบเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งในนโยบายการเงินและในค่าเงินบาทอย่างหนัก

สำหรับความมุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่นั้น รัฐบาลจะต้องทำเฉพาะในหมู่บุคคลผูัมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (non- residents) โดยจะต้องไม่ปล่อยให้ลามเข้ามาตลาดในประเทศ ทั้งที่ไม่ได้รับฉันทานุมัติจาก ธปท. เสียก่อน เพราะจะทำให้ ธปท.คุมปริมาณเงินไม่ได้ และจะก่อความเสี่ยงต่อระบบการชำระเงินอันเป็นกระดูกสันหลังของระบบการเงินที่รองรับทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา เงินทุนที่ไหลเข้าออกตลาดเงินตลาดทุน และการนำเข้าและส่งออกทั้งสินค้าและบริการ

นายธีระชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการบริหาร พปชร. ได้รับทราบปัญหาความเสี่ยงที่จะเกิดต่อระบบการเงิน และจะทำให้โลกขาดความเชื่อถือในนโยบายการเงินของไทย จึงมีมติให้คัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ถึงทึ่สุด เว้นแต่จะมีการแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสม ทั้งนี้ รัฐบาลสามารถนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนและเศรษฐกิจดิจิทัลในการบริหารประเทศได้อยู่แล้ว โดยต้องไม่ไปทำลายความน่าเชื่อถือของ ธปท. และระบบการเงินของประเทศ”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2568

“ไพบูลย์”เผย“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ“พปชร.”อภิปรายซักฟอก”นายกฯ“ มั่นใจ มีข้อมูลเด็ด ประชาชนฟังแล้วไม่ผิดหวัง

,

“ไพบูลย์”เผย“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ“พปชร.”อภิปรายซักฟอก”นายกฯ“ มั่นใจ มีข้อมูลเด็ด ประชาชนฟังแล้วไม่ผิดหวัง

เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 18 มี.ค.ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค จะเป็นผู้นำการอภิปรายภาพรวม โดยจะมีการกล่าวถึงประเด็นหลักๆ ที่พรรค พปชร.ตรวจสอบ ทั้งเรื่องที่ดินอัลไพน์ ซึ่งเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ เรื่องคาสิโน การพนันออนไลน์ และ เอ็มโอยู 2544 รวมไปถึงเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่ยังมี 2 ประเด็นสำคัญที่เก็บไว้ก่อน

“การอภิปรายของ พล.อ.ประวิตรนั้น ท่านเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นการอภิปรายภาพรวมด้วยข้อมูลมีน้ำหนัก และพุ่งเป้าไปสู่การอภิปรายนายกรัฐมนตรี ส่วนการลงรายละเอียดแต่ละประเด็นนั้นเป็นเรื่องของ สส.ที่จะอภิปรายไปขยายผล ประชาชนจะไม่ผิดหวัง กับบทบาทของหัวหน้าพรรค ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ทางการเมือง ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งสำหรับตนหากได้ฟังอภิปรายแล้ว ”ต้องไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีคนนี้แน่ๆ“นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนการแบ่งข้อมูลอภิปรายกับพรรคประชาชน นายไพบูลย์ กล่าวว่า ต่างฝ่ายต่างทำ ประเด็นเหมือนกัน แต่ข้อมูลข้อเท็จจริงอาจจะแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลมาแสดงกัน เพราะแต่ละคนมีเอกสิทธิ์

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2568

“พล.ต.ท.ปิยะ”ถามรัฐบาล กลัวอะไรกับ“กัมพูชา”เหตุไม่เคลียร์ปม‘ร้องเพลงชาติ’บนปราสาทตาเมือนธม พร้อมสะท้อนเสียงจากเยาวชน แจกเงินดิจิทัลให้เด็กใช้ไร้สาระ สู้เอาไปตั้งกองทุนนักเรียนดียังเหมาะกว่า

,

“พล.ต.ท.ปิยะ”ถามรัฐบาล กลัวอะไรกับ“กัมพูชา”เหตุไม่เคลียร์ปม‘ร้องเพลงชาติ’บนปราสาทตาเมือนธม พร้อมสะท้อนเสียงจากเยาวชน แจกเงินดิจิทัลให้เด็กใช้ไร้สาระ สู้เอาไปตั้งกองทุนนักเรียนดียังเหมาะกว่า

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.เวลา 14.05 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค สส.และคณะทำงานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ฯ เป็นประธานในที่ประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงกรณีที่นายทหารชั้นนายพล ได้นำชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาร้องเพลงชาติกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ม และมีการบันทึกภาพและเสียงด้วยนั้น กาากระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในดินแดนของไทย ซึ่งวันนี้ครบ 35 วันแล้วที่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการ ประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศ หรือ ดำเนินคดีหรือ ดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ไม่รูัว่ากลัวอะไรทางกัมพูชา หรือจะเป็น เหมือนที่พรรคประชาชนบอกว่า ดีลลับแลกประเทศชาติ

พล.ต.ท.ปิยะ ยังกล่าวถึง”กรณีที่รัฐบาลจะการแจกเงินดิจิทัล 10,000 (Digital Wallet) เฟส 3 งบประมาณ 27,000 ล้านบาทที่จะแจกให้กับเยาวชนที่มีอายุ 16-20 ปี นั้น มีเสียงจากเยาวชนร้องผ่าน พปชร. ว่า อยากจะกล่าวถึงรัฐบาลกรณีแจกเงินให้กับ เด็กและเยาวชทุกคนโดยไม่ได้แยกว่าอยู่ในระบบการศึกษาหรือไม่ หรือมีผลการเรียนหรือความประพฤติเป็นอย่างไร บางคนถูกไล่ออก พักเรียน ไม่ได้มาเรียนหนังสือแล้วก็มี ทำให้เด็กนักเรียนและเยาวชนที่มีผลการเรียนดีและตั้งใจเรียนเสียกำลังใจและที่สำคัญ เงินดังกล่าว ไม่สามารถใช้จ่ายค่าเทอม-ค่าน้ำ-ค่าไฟ เผื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อน ของบิดามารดาได้ แต่เงินดังกล่าวสามารถไปซื้อสุรา เหล้า บุหรี่ โทรศัพท์มือถือ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอื่นได้ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุน ถ้าจะเอาเงินไปแจกให้เด็กไปใช้โดยไม่เกิดประโยชน์ ก็ควรที่จะนำงบประมาณ 27,000,ล้านบาท ส่วนนี้ไปตั้งเป็น พัฒนาการศึกษา อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการเรียนการสอน กองทุนการศึกษา ให้กับนักเรียนที่เขามีผลการเรียนดี แทนที่จะเอาไปแจกให้เด็กเอาเงินไปละลายทิ้ง“
“ ยังมีนักเรียนนักศึกษาแพทย์ ไอที และ วิศวกรรมซึ่งเป็นกำลังหลักของประเทศที่ขาดแคลนทุนการศึกษา ต้องดิ้นรนหาทุนการศึกษาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับเอาเงินไปแจกเด็กแว๊น เด็กซิ่ง กระจายทั่วโดยไม่เกิดผลใดๆ นี่คือ เสียงสะท้อนจากเยาวชน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2568

“ธีระชัย” ติงแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ ปชช.คืนทั้งประเทศ ต้องมองให้ทะลุ ทำได้จริงหรือแค่วาทกรรมหาเสียง จี้“แบงค์ชาติ-เครดิตบูโร”แจงสังคมให้ชัด การคลังประเทศชาติรับได้หรือไม่

,

“ธีระชัย” ติงแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ ปชช.คืนทั้งประเทศ ต้องมองให้ทะลุ ทำได้จริงหรือแค่วาทกรรมหาเสียง จี้“แบงค์ชาติ-เครดิตบูโร”แจงสังคมให้ชัด การคลังประเทศชาติรับได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.เวลา 14.10 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก ตอนหนึ่ง ว่า มีแนวคิดจะแก้ปัญหาหนี้ให้คนไทยทั้งประเทศ โดยการซื้อหนี้จากประชาชน และลบข้อมูลออกจากเครดิตบูโร เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ว่า หนี้ของประชาชนในขณะนี้มีปัญหาในการผ่อนชำระ และบานปลายไปถึงหนี้นอกระบบ พรรคพลังประชารัฐมีความเป็นห่วงและได้เคยเสนอแนวคิดให้กับรัฐบาลในการหาทางแก้ไขมาแล้ว เพื่อแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จและเหมาะสมที่สุด ไม่ใช่การไปลดดอกเบี้ย แต่จะต้องมีการลดเงินต้น หรือ hair cut แล้วดอกเบี้ยจะลดลงไปโดยอัตโนมัติ แต่รัฐบาลก็ไม่ได้เดินหน้าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า แนวคิดใหม่เช่นนี้ ยังไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ขอเตือนประชาชนว่า อย่าเพิ่งฟังแล้วไปเชื่อใจว่า แนวคิดนี้จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ อย่างไร ต้องแยกแยะให้ชัดว่า มันเป็นวาทกรรมเพื่อหาคะแนนเสียง หรือเป็นสิ่งที่ปฏิบัติแล้วเกิดขึ้นได้จริง ตนไม่อยากจะฟันธงแสดงความคิดเห็นในเบื้องต้น แต่ตนกำลังเรียกร้องเพราะประเด็นนี้จะเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจและหนีไม่พ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นจะต้องมีสอบถามนายกรัฐมนตรี

“ผมขอให้องค์กรที่สำคัญที่มีความรู้ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย และเครดิตบูโร ออกมาอธิบายกับประชาชนว่า สิ่งที่อดีตนายกทักษิณพูดเป็นเพียงบัลลังก์เมฆฝัน ที่อยู่ในอากาศ สามารถทำได้จริงหรือไม่ รวมถึงขอให้แบงค์ชาติอธิบายว่า มีประเทศใดในโลกหรือไม่ที่ทำแบบนี้ ถ้าบอกว่าให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการ โดยไม่มีรัฐบาลหนุนหลังอยู่ มันเป็นได้ไปได้จริงหรือ แบงค์พาณิชย์จะยอมให้ความเชื่อถือหรือ และถ้าเกิดเป็นกรณีที่รัฐบาลยังอยู่เบื้องหลังไม่ว่าจะโดยตรงหรืออ้อม ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องอธิบายมาว่า ภาระหนี้ในขณะที่มีอยู่ในระบบของประชาชนที่อาจจะมีถึง 20,000,000 ล้านบาทนั้น ถ้ามันกลายเป็นภาระของรัฐบาล และเป็นภาระทางการคลังประเทศชาติรับได้หรือไม่”นายธีระชัย กล่าว

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า การดำเนินการในลักษณะแบบนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องตอบว่า จะเกิดผลอย่างไรต่อระบบการเงินและระบบธนาคาร ความน่าเชื่อถือในต่างประเทศต่อระบบธนาคารของประเทศไทย ถ้าสมมุติว่า การดำเนินการแบบนี้ไม่ได้ใช้เงินธรรมดา แต่ผมกำลังเดาว่าท่านอดีตนายกทักษิญ อาจจะให้บริษัทเอกชนมาออกเงินดิจิทัล ถามว่า ถ้าไม่มีทักษิณหนุนหลังบริษัทเอกชนเหล่านั้น เงินที่ออกมาจะเชื่อถือได้ขนาดไหน จะมีทองคำหรือดอลล่าร์อยู่หรือไม่

“ลักษณะการเงินแบบนี้ จะเป็นการเปิดช่องให้เกิดการเก็งกำไรและคนที่จะดำเนินการ จะสามารถฉกฉวยหากำไรเป็นกรณีพิเศษได้หรือไม่อย่างไร และถ้าปรากฏว่าเงินดิจิทัลออกเป็นบริษัทที่ดำเนินงานการคำสั่งของการคลัง ก็ต้องถามว่าลักษณะเช่นนี้ จะไม่นับเป็นหนี้สาธารณะได้อย่างไร จะต้องนับเป็นที่สาธารณะตั้งแต่วันที่ออกใช่หรือไม่ และจะเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยวินัยทางการเงินการคลังหรือไม่อย่างไร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 มีนาคม 2568

พล.อ.ประวิตร เตรียมกล่าวอภิปรายศึกซักฟอกเอง

,

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.นี้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีความมุ่งมั่นในการนำทัพ สส.ของพรรค สู้ศึกอภิปรายนายกรัฐมนตรี เพื่อชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของนายกรัฐมนตรี ซึ่งสาเหตุที่ท่านจะร่วมอภิปรายด้วยตัวเอง ก็เพราะให้ความสำคัญกับการทำงานของพรรคที่ต้องมีบทบาทในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภา

“พรรคพลังประชารัฐ เราจะไม่เข้าร่วมกับรัฐบาลที่มีปัญหาโดยการนำของนายกฯ ท่านนี้ ที่ไปไม่ได้ ใครเข้าไปก็เปรอะเปื้อน เพราะมีแต่เรื่องไม่ดี พรรคพลังประชารัฐจึงไม่มีทางไปร่วมด้วยเด็ดขาด ในเวลานี้เราจะไม่เป็นฝ่ายรัฐบาลแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปทำอย่างนั้น ในทางการเมืองเรามุ่งหวังที่จะเร่งรัดให้มีการยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ และหัวหน้าลงมือหาผู้สมัครต่าง ๆ ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งถ้าดูในแง่ประวัติการณ์ทำงานของพรรค เรามีสิทธิได้ สส.ถึง 60 คน”นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า การไปออกรายการเคลียร์ทุกประเด็น ทำให้ภาพพจน์ของพรรคดีขึ้น ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ยิ่งทำให้สังคมเข้าใจพรรคพลังประชารัฐ และหันมาสนับสนุนเรามากขึ้น ขอให้รอดู การอภิปรายของ พล.อ.ประวิตร มีคุณภาพไว้ใจได้แน่นอน แค่ท่านไปอภิปรายก็มีน้ำหนักสมบูรณ์แล้ว เพราะเห็นว่านายกคนนี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ซึ่งในการอภิปรายต้องมีอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ตนไม่อยากพูดอะไรเกินไป ขอให้รอฟังวันอภิปรายเลยดีกว่า”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 มีนาคม 2568

พปชร. ชี้ช่อง ! เอาคนละครึ่งมาใช้ใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง รัฐไม่ต้องอาย เพื่อประโยชน์ของชาติ

,

“พปชร. ชี้ช่อง ! เอาคนละครึ่งมาใช้ใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง รัฐไม่ต้องอาย เพื่อประโยชน์ของชาติ”
คลิ๊กเพื่อชมวีดีโอ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 มีนาคม 2568

“โฆษก พปชร.”ซัด รัฐบาลไร้ปัญญาแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำให้ชาวนา เย้ย ยินดีให้ลอกนโยบาย พปชร.ย้ำ ต้องช่วยไร่ละ 1,000 บาท 20 ไร่ ถึงจะบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงนี้ได้

,

“โฆษก พปชร.”ซัด รัฐบาลไร้ปัญญาแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำให้ชาวนา เย้ย ยินดีให้ลอกนโยบาย พปชร.ย้ำ ต้องช่วยไร่ละ 1,000 บาท 20 ไร่ ถึงจะบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงนี้ได้

วันนี้ ( 8 มี.ค.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความเดือดร้อนของชาวนาจากราคาข้าวตกต่ำอย่างหนักว่า นอกจากรัฐบาลจะไร้มาตรการช่วยเหลือ เยียวยาให้กับชาวนาแล้ว ยังได้ผลักไสให้ชาวนาเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไปปลูกกล้วยแทน ด้วยแนวฃคิดว่า ราคากล้วยดีกว่าราคาข้าว แสดงให้เห็นถึงรัฐบาลไร้ประสิทธืภาพในการแก้ปัญหา ไม่มีความละเอียดเพียงพอและไม่เข้าใจถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง
     
“ในขณะนี้ข้าวนาปรังออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก  ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ แทนที่รัฐบาลจะมองให้ลึกถึงปัญหาอและเข้าใจความเดือดร้อนของชาวนาอย่างแท้จริง  กลับไปแนะนำให้ชาวนาเปลี่ยนจากการปลูก“ข้าว”ไปปลูก“กล้วย” แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ความสามารถ เพียงพอ ทางพรรคพลังประชารัฐยินดีให้ลอกนโยบาย และการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำในรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งทำแล้วได้ผลแน่นอน”พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า โครงการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 10 ไร่ ซึ่งเกษตรกรจะได้เงินช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาทนััน ไม่เพียงพอต่อการขาดทุนของชาวนา  ซึ่งเดิมรัฐบาลสมัยพรรค พปชร. เป็นแกนนำ ได้ให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 20 ไร่ เกษตรกรหนึ่งรายได้เงินช่วยเหลือ ไม่เกิน 20,000 บาท ถึงจะเพียงพอที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นของชาวนาได้ในระดับหนึ่ง

“รัฐบาลคงจะอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่เคยลงไปนาไปสวน เลยไม่เข้าใจว่า เกษตรกรที่ปลูกปลูกข้าวและปลูกกล้วยเป็นคนละกลุ่มกัน พื้นที่และลักษณะการปลูกเป็นคนละแบบ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการปลูกก็คนละแบบกัน การเปลี่ยนข้าวให้เป็นสวนกล้วย ต้องปรับสภาพดิน  ขุดร่องน้ำ ทำคันเนินดิน การหาหน่อกลัวยและพันธุ์กลัวยที่ตลาดโลกต้องการไม่ใช่เรื่องง่าย  ค่าใช้จ่ายในการปรับแปลงนาให้เป็นส่วนกล้วยมีราคาหลายหมื่นบาท  และกว่าจะปลูกกล้วยได้ผลผลิตใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี ตลาดข้าวที่เคยขายอยู่ก็คนละตลาด ปัญหาซับซ้อนมากมาย และที่สำคัญในระหว่างที่ผลผลิตกล้วยยังไม่ออก ชาวนาจะเอาอะไรกิน“ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวเสนอแนะรัฐบาลด้วยว่า นอกจากการช่วยเหลือทางด้านการเงินแล้ว  รัฐบาลจะต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น  พัฒนารูปแบบและวิธีการปลูกให้เห็นได้ผลผลิตสูงขึ้น  การใช้เทคโนโลยีเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุนและทดแทนการใช้แรงงาน ส่งเสริมให้มีการปลูกข้าวคุณภาพดีและมีราคาสูงให้เป็นที่นิยมของตลาดโลก  กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศต้องให้การสนับสนุนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก  การจับกลุ่มหรือจับคู่ค้า เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าเข้ากับสินค้าที่นำเข้าเพื่อสร้างราคาหรือลดการขาดดุล
 
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า การที่รัฐบาลคงแข็งค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สูงเกินความจำเป็น ทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ชาวนา ชาวไร่ และเกษตรกร ตลอดจนผู้ส่งออกรายอื่น ๆ ด้วย เพราะรายได้ที่ออกมาเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศมีมูลค่าลดลงเมื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย ซึ่งคนในรัฐบาลหลายคน ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องค่าเงิน

“ถ้ารัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ เปิดทางให้พรรคการเมืองอื่นเป็นแกนนำในการบริหารประเทศจะดีกว่าหรือไม่ ผมเกรงว่า เวลาไปเจอชาวไร่  ชาวนา เขาแจก“กล้วย”เอา”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 มีนาคม 2568

”สส. คอซีย์“วอน 2 ผูัว่าฯปัตตานี-สงขลา ตรวจสอบแนวเขตบ้านบางราพาให้ชัด เพื่อจะได้แก้ปัญหาพื้นที่งอกให้ปชช.ท่ากำชำ

,

”สส. คอซีย์“วอน 2 ผูัว่าฯปัตตานี-สงขลา ตรวจสอบแนวเขตบ้านบางราพาให้ชัด เพื่อจะได้แก้ปัญหาพื้นที่งอกให้ปชช.ท่ากำชำ

เมื่อวันทีี 6 มี.ค.นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงความเดือดร้อนของประชาชน ตำบลท่ากำชำ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ในพื้นที่หมู่ที่ 5 บ้านบางราพา ตำบลท่ากำชำ ตรงบริเวณพื้นที่ชายทะเลเกิดพื้นที่งอก ซึ่ง อบต.ท่ากำชำ จะเข้าไปดำเนินการ แต่พบว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ระหว่างจังหวัดปัตตานี กับ ตำบลปากบางราพาอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา จึงขอฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ตรวจสอบแนวเขตที่ชัดเจนให้กับตำบลท่ากำชำด้วย

นายคอซีย์ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่งตนอยากฝากไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากตนได้รับการร้องเรียนจากนายมะรอซาลี บูรน้อมรองประธานสภาองค์การบริหาส่วนตำบลท่ากำชำ ร้องเรียนว่า องค์การบริหารส่วนตำบลท่ากำชำ ขอสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำบางราพาไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ เพราะหน่วยงานป่าไม้ในเขตพื้นที่ไม่อนุญาตให้มีการซ่อมแซม

“วันนี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานีงบประมาณปี 67 ได้พับไปไม่สามารถจะดำเนินการได้ ผมในฐานะตัวแทน สส.ในพื้นที่ ขอฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการสั่งการ โดยเร่งด่วน เพราะสะพานมีสภาพชำรุดมาก อาจจะทำให้ประชาชนที่ใช้สัญจรไปมาเกิดอันตรายได้“นายคอซีย์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 มีนาคม 2568