โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“พล.อ.ประวิตร” โชว์ผลปิดเว็ปภัยคุกคามปชช.138 เว็ป เพิ่มระดับความปลอดภัยปิดช่องหลอกลวงในโลกไซเบอร์

, ,

“พล.อ.ประวิตร” โชว์ผลปิดเว็ปภัยคุกคามปชช.138 เว็ป เพิ่มระดับความปลอดภัยปิดช่องหลอกลวงในโลกไซเบอร์

24 สิงหาคม 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรอง นายกรัฐมนตรี ได้รายงาน เหตุการณ์ภัยคุกคามที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-31ก.ค.65 พบว่ามี จำนวน 138 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่ เป็นเว็บการพนัน และการหลอกลวงประชาชน ซึ่งได้ดำเนินการปิดเว็บดังกล่าวแล้ว พร้อมมีการเฝ้าระวัง อย่างต่อเนื่อง และรับทราบรายงานผลการลงนามบันทึกความเข้าใจของ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กับองค์กรภายในประเทศและต่างประเทศแล้ว ได้แก่ กองบัญชาการกองทัพไทย ,คณะอธิการบดีแห่งประเทศไทย ,สาธารณรัฐประชาชนจีน ,ประเทศอิสราเอล และบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอชื่นชม กระทรวง ดีอีเอส ,กมช. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการที่มีความก้าวหน้าไปมาก อย่างน่าพอใจ พร้อมกำชับให้ เลขาธิการ กมช.และผู้บริหารที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ เร่งผลักดัน สานต่อบันทึกความร่วมมือไปสู่กิจกรรม ให้เป็นรูปธรรม มุ่งยกระดับขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ของหน่วยงานต่างๆและของประเทศ ให้สามารถรองรับภัยคุกคามไซเบอร์ ในอนาคต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อย่างแน่นแฟ้นเพื่อปิดช่องว่างการคุกคามฯ และให้มีความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นการบริการให้กับประชาชน และประเทศชาติ ต่อไป

ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบ แต่งตั้ง พล.อ.ต.อมร ชมเชย รองเลขาฯขึ้นเป็นเลขาธิการ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ แทนคนเก่า ซึ่งครบวาระ(4ปี) ตั้งแต่ 1 ต.ค.65 เป็นต้นไป พร้อม แต่งตั้งผู้บริหาร ตามที่กฎหมายกำหนด และเห็นชอบ(ร่าง)บันทึกความเข้าใจด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ระหว่าง สกมช. กับศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติประเทศอินเดีย และร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พร้อมทั้ง ร่วมกับศูนย์ความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN – Japan Cybersecurity Capacity Building Centre) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระหว่างกัน ทั้งด้านการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ ,การผลิตกำลังคนเฉพาะด้าน ,การสนับสนุนการศึกษา วิจัย และร่วมกันเฝ้าระวังความเสี่ยง จากการเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับการเสริมสร้างศักยภาพ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการบริการดิจิทัลที่เชื่อถือได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 สิงหาคม 2565

“พัชรินทร์” ขอบคุณสภาฯ คลอดกฎหมายป้องกันทำผิดซ้ำฯ ย้ำ มาตรการ “ฉีดไข่ฝ่อ” เป็นแค่ 1 ใน 13 มาตรการ ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เท่านั้น

, ,

“พัชรินทร์” ขอบคุณสภาฯ คลอดกฎหมายป้องกันทำผิดซ้ำฯ ย้ำ มาตรการ “ฉีดไข่ฝ่อ” เป็นแค่ 1 ใน 13 มาตรการ ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เท่านั้น

ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม. เขต2 และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้เสนอร่างกฏหมายป้องกันกระทำผิดซ้ำฯ ควบคู่กับกระทรวงยุติธรรมกล่าวขอบคุณสภาฯ ที่ร่วมกันผ่านกฎหมายฉบับนี้ ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ เห็นด้วย 292 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง ซึ่งจะได้บังคับใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในมิติของความปลอดภัย ที่กฎหมายนี้ จะเป็นกลไกสร้างความเชื่อมั่นในชีวิต ของประชาชนทุกกลุ่มในสังคม รวมทั้งพัฒนาระบบการบำบัดฟื้นฟู ของกลุ่มนักโทษที่มีความรุนแรง

โดยก่อนหน้านี้ ดร.พัชรินทร์ ได้อภิปรายสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ว่า กฎหมายดังกล่าว มีขึ้นเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ส่งเสริมการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ ที่มีความรุนแรงใน 3 ความผิด

  1. ความผิดเกี่ยวกับเพศ เช่น การข่มขืนกระทำชำเราและอนาจาร
  2. ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย เช่น ฆ่าคนตาย ทำร้ายร่างกายจนอันตรายสาหัส
  3. ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ เช่น การเรียกค่าไถ่ โดยที่ผ่านมาการกระทำความผิดซ้ำประเทศไทย ยังไม่มีกลไกที่จะป้องกัน และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จึงเป็นที่มาต่อการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้

สำหรับการแก้ไขของวุฒิสภาทั้ง 12 มาตรา เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ คือ ในมาตราที่ 21 มาตรการทางการแพทย์ ในประเด็นฉีดไข่ฝ่อ ที่สังคมและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ซึ่งยังมีอีกหลายมาตรการนอกเหนือจากมาตรการทางการแพทย์ เช่น การเฝ้าระวังไม่เกิน 10 ปี / การติดกำไร EM / มาตรการคุมขังหลังพ้นโทษไม่เกิน 3 ปี หรือ การคุมขังไม่เกิน 7 วัน ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะมีคณะกรรมการพิจารณาว่าจะต้องบำบัดฟื้นฟูอย่างไร รวมถึงหลังการปล่อยตัวว่าจะเข้ามาตรการใด พร้อมยืนยันว่ามาตรการทางการแพทย์ เป็นเพียง 1 ใน 13 มาตรการที่จะนำมาป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ซึ่งในกฎหมายมาตราที่ 21 เป็นเรื่องการใช้มาตรการทางการแพทย์ให้ดำเนินการโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างน้อย 2 คน โดยวุฒิสภาได้เพิ่มข้อความว่าจะต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาจิตเวชและสาขาอายุรศาสตร์ อย่างน้อยสาขาละ 1 คน หากมีความเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ยา หรือโดยวิธีการรูปแบบอื่นให้กระทำได้เมื่อผู้กระทำความผิดยินยอม

“ตนรู้สึกปลื้มปริ่มใจ ที่สามารถผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมาได้ เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง แม้ตนจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก และจะตั้งใจ ใช้ความรู้ ความสามารถ ที่มี ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง” ดร.พัชรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 สิงหาคม 2565

“รมว.ตรีนุช” หนุนพัฒนาอาชีพด้านสมุนไพรจ.สระแก้ว จัดสรรงบ 350 ลบ.เปิดร.ร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์

, , ,

“รมว.ตรีนุช”หนุนพัฒนาอาชีพด้านสมุนไพรจ.สระแก้ว จัดสรรงบ 350 ลบ.เปิดร.ร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์

‘รมว.ตรีนุช’ เปิดโครงการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ให้ปชช. ดันสระแก้วเป็นเมืองสมุนไพร พร้อมทุ่ม 350 ล้าน สร้าง ร.ร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ฯ จ.สระแก้ว เพิ่มคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสหนุน ”สระแก้วโมเดล” พัฒนาโรงเรียนคุณภาพ 58 แห่ง

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม จังหวัดสระแก้ว น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาการศึกษาด้านอาชีพเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว และพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานระหว่างสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ละภาคีเครือข่าย ว่า เป็นหนึ่งในโครงการที่ กศน. จัดเพื่อพัฒนาการศึกษาด้านอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ มีหลักการ คือ การตลาดนำการผลิต โดยจะลงพื้นที่รับฟังความต้องการและดูความพร้อมของชุมชน และสถานประกอบการ อย่างในจังหวัดสระแก้ว มีจุดแข็ง คือ สามารถเพาะปลูกขมิ้นชันที่มีคุณภาพ เพราะขมิ้นชันของจังหวัดสระแก้ว มีสารที่มีคุณค่าสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ทำให้เห็นว่าจังหวัดสระแก้วมีจุดแข็งเรื่องของพื้นที่ สภาพอากาศเหมาะกับการปลูกสมุนไพร สามารถผลักดันให้สระแก้วเป็นเมืองสมุนไพรได้ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งให้ประชาชนมาสร้างรายได้ พัฒนาทักษะการปลูกพืชสมุนไพร เพิ่มมากขึ้น

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า โครงการนี้ จะเป็นการสร้างทางเลือกให้ประชาชน มีรายได้ และพัฒนาทักษะอาชีพ โดยจะจับคู่สถานประกอบการ ทำให้ผลผลิตมีตลาดรองรับทันที ซึ่งการพัฒนาทักษะ จะเริ่มตั้งแต่พัฒนาต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และภาคเอกชน มาบูรณาการพัฒนาทักษะให้ประชาชนร่วมกัน โครงการนี้จะเริ่มนำร่องที่จังหวัดสระแก้วก่อน อย่างไรก็ตาม ตนพบว่าในหลายพื้นที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ จึงมอบหมายให้นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. และนายวัลลภ สงวนนาม เลขาธิการ กศน.ไปขยายผลไปจังหวัดอื่นๆ ต่อไป

“เมื่อพูดถึงเรื่องการศึกษา ในฐานะลูกหลานชาวสระแก้วและมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในศธ. ที่ดูแลการศึกษาในทุกมิติ ทำให้เห็นถึงข้อจำกัดในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ถึงแม้ศธ.จะได้งบประมาณเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่งบฯ ที่ได้มาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของบุคลากร ทำให้งบฯพัฒนาน้อย เมื่อมีโอกาสดูเรื่องการศึกษาก็พยายามมองว่าจะสามารถพัฒนาด้านการศึกษาอะไรให้กับประเทศบนข้อจำกัดที่มีอยู่ โดย ศธ.พยายามจะมองว่าเราสามารถพัฒนาอะไรให้กับ ประเทศ และจังหวัดสระแก้วให้ได้ทุกมิติบ้าง ทั้งมิติด้านคุณภาพ มิติการลดความเหลื่อมล้ำ และมิติการสร้างโอกาส จึงเกิดเป็น”สระแก้วโมเดล” โดยการสร้างคุณภาพนั้น จะพัฒนาโรงเรียนคุณภาพ 58 โรง ในจังหวัดสระแก้ว เพื่อให้โรงเรียนเหล่านี้เป็นโรงเรียนคุณภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่คุณภาพแค่ชื่อ มีการจัดสื่อดิจิทัล เข้าไปในโรงเรียน ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลและสื่อต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียม แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลก็จะไม่ทอดทิ้ง แต่จะสร้างเสริมให้เข้าถึงคุณภาพให้ได้ รวมถึงได้มีการจัดครู ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ เข้าไปเสริมให้ เพราะถือว่าภาษาก็เป็นเรื่องสำคัญ” น.ส.ตรีนุช กล่าว

รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวต่อว่า จังหวัดสระแก้ว เป็นจังหวัดที่อยู่ติดชายแดน ตนได้ปรึกษากับผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงการสร้างโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ในจังหวัด ซึ่งขณะนี้ สพฐ. เตรียมงบประมาณไว้แล้ว ขณะนี้ สพฐ.อยู่ระหว่างเร่งหาสถานที่ เพื่อจัดสร้างโรงเรียนด้วย พร้อมกับทำการสำรวจเด็กว่าจะมาเรียนกี่คน เมื่อสำรวจเสร็จแล้ว จะยื่นให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) อนุมัติสร้างโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ต่อไป การสร้างโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กฐานะยากลำบากกลับเข้าสู่การศึกษาเพิ่มขึ้น

“ส่วนการสร้างโอกาสทางการศึกษา ดิฉัน เป็น ส.ส.มาหลายสมัย ประชาชนสะท้อนมาว่าอยากมีโรงเรียนดีๆ ดังๆ ในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งหลายคนนึกถึงโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย โรงเรียนนี้เน้นสร้างเด็กมีความเก่งด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ขณะนี้ ศธ.อยู่ระหว่างผลักดัน โดย สพฐ.เตรียมงบประมาณ และที่ดินสำหรับโรงเรียนนี้ไว้แล้ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการสร้างโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จังหวัดสระแก้ว ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โดยใช้งบประมาณ 350 ล้านบาท ต่อไปลูกหลานในจังหวัดสระแก้ว มีโรงเรียนคุณภาพใกล้บ้านผู้ปกครองก็ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนไกลๆ อีกต่อไป” น.ส.ตรีนุช กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ลงพบปะปชช.ชาวน่านรับผลกระทบพายุมู่หลาน เร่งติดตามเยียวยาผู้ประสบภัยแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย

,

“พล.อ.ประวิตร” ลงพบปะปชช.ชาวน่านรับผลกระทบพายุมู่หลาน เร่งติดตามเยียวยาผู้ประสบภัยแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย

“พล.อ.ประวิตร” นำคณะผู้บริหาร เยี่ยมชาว จ.น่าน ติดตามฟื้นฟู และเยียวยา ผู้ประสบภัยพายุ”มู่หลาน” มอบถุงยังชีพให้กำลังใจผู้ประสบภัย ประชาชนแห่ต้อนรับอบอุ่น เตรียมแผนผุดโครงการสะพาน อุตรดิตถ์-น่าน เชื่อมโยงภูมิภาค ส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อให้ ประชาชนอยู่ดี กินดี

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พปชร. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ( พปชร. )นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสวรรค์ พปชร. นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒวรรักษ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พปชร. นายสุรชาติ ศรีบุษกร ส.ส.พปชร. จ.พิจิตร ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้บรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำในพื้นที่ พร้อมด้วยเลขาฯ สทนช. และอธิบดีกรมชลประทาน นำเสนอการรายงานข้อมูล และความก้าวหน้าโครงการต่างๆ ในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ทั้งนี้ มีนายวรวิทย์ อินต๊ะใจ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย จ.น่าน นำเสนอข้อมูลความเสียหายของจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากพายุดีเปรสชัน “มู่หลาน” และการแก้ปัญหาช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนในช่วง ที่ผ่านมา พร้อมหาแนวทางในการจัดการบริหารจัดน้ำเพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชน

ทั้งนี้พบว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลทำให้เกิดภาวะน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่ง จ.น่าน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งอาคารบ้านเรือน ถนน และสะพาน ได้รับความเสียหาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณ เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ผ่านงบกลางให้กับ จ.น่านไปแล้ว 2ครั้ง จำนวน 98 โครงการ วงเงินกว่า 120 ล้านบาท โดยเร่งทำการฟื้นฟู เยียวยา และซ่อมแซมสถานที่เสียหายให้กลับมามีสภาพใช้งานได้เหมือนเดิม โดยเร็ว และได้รับฟังความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมโยงเศรษฐกิจภูมิภาค ระหว่าง บ้านผาเวียง อ.ฝากท่า จ.อุตรดิตถ์-บ้านปากนาย อ.นาหมื่น จ.น่าน จาก ผอ.แขวงทางหลวงน่าน ที่ 1

“ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ได้รับการดูแลจากผู้ว่าราชการจังหวัด และได้มีการของบกลางเพิ่ม เพื่อขยายวงเงินในการช่วยเหลือ โดยได้ประสานไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทั่วถึง เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ยังได้เร่งรัดให้หน่วยงานติดตามดูแล ความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง” พล.อ.ประวิตรกล่าว

พล.อ.ประวิตร กลาวว่า รัฐบาลมีความห่วงใย ต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทุกครัวเรือน จากภาวะน้ำท่วมที่ผ่านมา จากผลกระทบพายุดีเพลสชั่น จึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สทนช. ,กรมชลประทาน ,กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย และจ.น่าน ให้เร่งปฏิบัติตามแผนรับมือฤดูฝน 13มาตรการ พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแหล่งน้ำกักเก็บขนาดใหญ่ช่วยเหลือพื้นที่แล้งซ้ำซาก 4อำเภอได้แก่อ.ท่าช้าง อ.เชียงกลาง อ.ท่าวังยา และ อ.ปัว และเร่งแก้ปัญหาการขาดแคนน้ำอุปโภคบริโภคนอกเขตชลประทาน พร้อมดำเนินการกับผู้บุกรุกป่า อย่างจริงจัง ทั้งนี้ในช่วงงบประมาณปี 61-64 รัฐบาลได้ดำเนินโครงการมาแล้วกว่า 1แสนกว่าไร่ มีผู้ได้รับประโยชน์ราว 3แสนกว่าครัวเรือน

พล.อ.ประวิตร ยังได้ลงพื้นที่ไปยัง อบต.ไชยสถาน อ.เมือง เพื่อติดตามความก้าวหน้า โครงการก่อสร้างฝายกั้นลำน้ำซาว ซึ่งท้องถิ่นได้รับประโยชน์ อย่างมากจากโครงการนี้ ซึ่งมีตัวแทนชาวบ้าน ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาล ที่ให้ความช่วยเหลือ อย่างจริงจัง เห็นผล พร้อมพบปะพี่น้องประชาชน ที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ด้วยความประทับใจ

นอกจากนี้ยังได้ เดินทาง เพื่อติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จากพายุดีเปรสชั่น “มู่หลาน” ที่ ต.บ่อ อ.น่าน จ.น่าน โดยได้มอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน1,000 ครัวเรือน เพิ่มเติมจากที่รัฐได้ให้การช่วยเหลือไปแล้ว พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชน และจริงใจที่จะให้ความช่วยเหลือ อย่างดีที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้รัฐบาลปัจจุบัน สามารถพัฒนาประเทศ ต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 สิงหาคม 2565

“รมช.อธิรัฐ”ลงพื้นที่เยี่ยมปชช.ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เบื้องต้นในอ.ลำทะเมนชัย

, , ,

“รมช.อธิรัฐ”ลงพื้นที่เยี่ยมปชช.ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์เบื้องต้นในอ.ลำทะเมนชัย

“รมช.อธิรัฐ”เยี่ยมประชาชนมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบอุทกภัย อ.ลำทะเมนชัย!!! ดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ อ.ลำทะเมนชัย จ.นครราชสีมา เยี่ยมและให้กำลังใจ ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมมอบข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ที่วัดบ้านหนองโปร่ง เทศบาลตำบลหนองบัววง ศาลาประชาคมบ้านหนองบัวใหญ่ เทศบาลตำบลหนองบัววง และศาลาวัดศิริชัย เทศบาลตำบลหนองบัววง

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและยั่งยืน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”พอใจผลการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาที่ทำกิน กลุ่มเกษตรกรส่งคำขอบคุณช่วยพัฒนาอาชีพยกระดับรายได้

, , ,

“พล.อ.ประวิตร” พอใจผลการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาที่ทำกิน
กลุ่มเกษตรกรส่งคำขอบคุณช่วยพัฒนาอาชีพยกระดับรายได้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เปิดเผยว่าหลังจากที่ได้มอบหมาย ให้พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ประธานบอร์ด บจธ. (ธนาคารที่ดิน)ในการติดตาม โครงการบริหารจัดการที่ดิน อย่างยั่งยืน 12 พื้นที่ 8จังหวัด” เพื่อช่วยเหลือดูแล พี่น้องเกษตรกร ในการพัฒนาที่ดินทำกิน เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักศาสตร์พระราชาพร้อมมีการตรวจเยี่ยมเกษตรกร 8 จังหวัด 12 วิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งเกษตรกรให้การตอบรับและ กล่าวขอบคุณ พลเอกประวิตร และหน่วยงาน บจธ. ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ เพราะโครงการนี้ จะส่งผลให้พี่น้องเกษตรกรทุกครัวเรือนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้จากการตรวจเยี่ยมที่ผ่านมามีตัวแทนเกษตร พอใจกับการดำเนินโครงการดังกล่าว ส่วนใหญ่เน้นย้ำว่า โครงการต่างๆมีส่วนสำคัญ ต่อการสร้างความเป็นอยู่ทีดีขึ้น ในพื้นที่ ทั้งการพัฒนาอาชีพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคง สะท้อนความเห็นได้จาก นางสุมิตรา จันทราพูน สมาชิกวิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชาบ้านมั่นคงเมืองแม่สอด ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้กล่าวว่า นับเป็นความช่วยเหลือของพล.อ. ประวิตร ที่ได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่างๆ บูรณาการร่วมกันเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่ชุมชนของเรา อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สอด สำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาล กำแพงเพชร การประปาส่วนภูมิภาคแม่สอด องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ปะ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 33

“โดยในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 นายสมชัย เจริญกิจรุ่งโรจน์ ผวจ.ตาก นัดประชุมทุกภาคส่วนงานที่รับผิดชอบร่วมหารือแนวทางการบูรณาการพัฒนาพื้นที่ ในพื้นที่ พี่น้องเราต้องขอขอบคุณทาง บจธ. ที่ช่วยประสานงานในทุกๆเรื่องให้ จากเรื่องที่เราคิดว่ายากก็เป็นเรื่องง่าย ต่อไปเราก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากระบบโครงสร้างพื้นฐาน ถนนดี มีน้ำบริโภค มีน้ำใช้ในการเกษตร มีไฟฟ้าส่องสว่าง แค่นี้พวกเราก็พอใจแล้ว ขอบคุณ บจธ. และทุกๆ หน่วยงาน”

นอกจากนี้ยังมี ผู้แทนสมาชิกวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปฏิรูปที่ดินบ้านห้วยม่วงเพื่อการผลิตลำไยคุณภาพ โดยนายศักยะ ตั้งอยู่ ยังออกมาขอบคุณนโยบายรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรีพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ บจธ. ช่วยเหลือให้พี่น้องกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีที่ดินที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และตั้งใจที่จะรักษาที่ดินสืบทอดไว้ให้กับลูกหลาน ตามนโยบายของรัฐที่ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดิน และลดปัญหาความยากจนของประชาชน

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินโครงการดังกล่าว สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ได้ร่วมประสานงานกับทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมบูรณาการสนับสนุน และพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่โครงการฯ เพื่อเร่งสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจชุมชนเป็นต้นแบบให้แก่ชุมชนอื่นๆ ได้ในอนาคต โดยผลจากการที่ บจธ. ได้จัดให้ผู้บริหารส่วนราชการต่างๆ ได้ร่วมกันตรวจเยี่ยมผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ เพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรคในพื้นที่ พลเอกประวิตร ได้สั่งการทันที ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 สิงหาคม 2565

“รมว.สุชาติ”ประกาศรับสมัครช่างฝีมือไทย ป้อนU.A.E 15 อัตรา เปิดรับ 22 ส.ค.-15 ก.ย.

,

“รมว.สุชาติ”ประกาศรับสมัครช่างฝีมือไทย
ป้อนU.A.E 15 อัตรา เปิดรับ 22 ส.ค.-15 ก.ย.

“รมว.สุชาติ ” เปิดรับสมัครช่างฝีมือ โดยกรมจัดหางาน เพื่อไปทำงานประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (U.A.E) จำนวน 15 อัตรา ระยะเวลาจ้างงาน 3 ปี ฟรีค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ อาหาร 3 มื้อ สมัครได้ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.-15 ก.ย. 65 ไม่เว้นวันหยุดราชการ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานเปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานกับนายจ้างบริษัท CROWN EMIRATES COMPANY LTD. ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (U.A.E.) ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตกระป๋องและบรรจุภัณฑ์อะลูมิเนียม จำนวน 4 ตำแหน่ง ได้แก่ ตำแหน่งช่างไฟฟ้า ช่างกล พนักงานควบคุมเครื่องจักร/ช่างเครื่อง และพนักงานฝ่ายผลิต รวมจำนวน 15 อัตรา มีระยะเวลาจ้างงาน 3 ปี โดยนายจ้างจะจัดหาที่พัก อาหารวันละ 3 มื้อ พร้อมจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปดูไบ และตั๋วขากลับหากทำงานครบตามสัญญาจ้าง ซึ่งผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครทางไปรษณีย์ลงทะเบียนด่วนพิเศษ (EMS) ได้ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม-15 กันยายน 2565 โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ

“ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับการส่งเสริมแรงงานไทยให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศมาโดยตลอด เพราะนอกจากแรงงานไทยสามารถมีรายได้ดูแลครอบครัวเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองได้แล้ว ยังได้รับประสบการณ์นำกลับมาต่อยอดพัฒนาตนเองและประเทศด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว

สำหรับคุณสมบัติและตำแหน่งงาน ที่บริษัท CROWN EMIRATES COMPANY LTD. ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (U.A.E.) แจ้งความต้องการเป็นเพศชาย อายุ 20-35 ปี จำนวน 4 ตำแหน่ง 15 อัตรา ดังนี้
1.ตำแหน่งช่างไฟฟ้า (Electrician) จำนวน 4 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 3,000 ดีแรห์ม (AED) หรือประมาณ 29,430 บาท จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงหรือเทียบเท่าขึ้นไป (ปวส.) หรือเทียบเท่าขึ้นไป สาขาช่างไฟฟ้ากำลัง ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างเมคคาทรอนิกส์
2.ตำแหน่งช่างกล (Machine Technician) จำนวน 6 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 2,500 ดีแรห์ม (AED) หรือประมาณ 24,525 บาท จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขึ้นไป (ปวช.) ขึ้นไป สาขาช่างกลโรงงาน สาขาช่างยนต์ ช่างซ่อมบำรุง
3.ตำแหน่งพนักงานควบคุมเครื่องจักร/ช่างเครื่อง (Machines Operator/Machinist) จำนวน 2 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 2,500 ดีแรห์ม (AED) หรือประมาณ 24,525 บาท จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขึ้นไป (ปวช.) ขึ้นไป สาขาช่างกลโรงงาน สาขาช่างยนต์ ช่างซ่อมบำรุง
4.ตำแหน่งพนักงานฝ่ายผลิต (Operator) จำนวน 3 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 1,900 ดีแรห์ม (AED) หรือประมาณ 18,639 บาท จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย (ม.6) ขึ้นไป หรือเทียบเท่า (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2565 : 1 ดีแรห์ม เท่ากับ 9.81 บาท) ทั้งนี้ทุกตำแหน่งหากมีประสบการณ์จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ การรับสมัครเป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศ โดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ได้แก่ ค่ารูปถ่าย ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพและค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 4,000 บาท โดยนายจ้างจะเดินทางคัดเลือกด้วยตัวเอง โดยการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ ขอให้ทราบว่ากรมการจัดหางานดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างโปร่งใส โปรดอย่าหลงเชื่อผู้ไม่หวังดีแอบอ้างว่าสามารถช่วยให้ไปทำงานได้ เพราะอาจถูกหลอกเสียเงินฟรี

ทั้งนี้ ผู้ที่มีความประสงค์สมัครงาน สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร และศึกษารายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และ www.lib.doe.go.th หรือเฟซบุ๊ก : แรงงานไทยไปต่างประเทศโดยรัฐจัดส่ง และนำส่งเอกสารหลักฐานทางไปรษณีย์ลงทะเบียนด่วนพิเศษ (EMS) หรือบริการรับส่งพัสดุของบริษัทเอกชน ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม-15 กันยายน 2565 โดยระบุชื่อที่อยู่ผู้รับ “กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ฝ่ายจัดส่งไปทำงานไต้หวันและประเทศอื่น ๆ ชั้น 12 อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 โทร 0-2245-1034” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2245-1034 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร 1694

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 สิงหาคม 2565

“รมต.สมศักดิ์” เปิดงานไกล่เกลี่ยหนี้สิน ครั้งที่ 77 จ.ชลบุรี

,

“รมต.สมศักดิ์” เปิดงานไกล่เกลี่ยหนี้สิน ครั้งที่ 77 จ.ชลบุรี

เตรียมเปิดอิมแพ็คก.ย.นี้เปิดช่องปชช.แก้หนี้

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิด“มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 77 และยุติธรรมพบประชาชน” จ.ชลบุรี เป็นจังหวัดสุดท้ายของโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ไกล่เกลี่ยหนี้ให้ประชาชน ครบทั้ง 77 จังหวัด โดยมีประชาชนให้ความสนใจเข้ารับการไกล่เกลี่ยหนี้สินเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการจัดงาน 77 ครั้ง สามารถช่วยเหลือประชาชนไกล่เกลี่ยหนี้สินสำเร็จ 61,195 ราย มูลค่าหนี้ 12,882 ล้านบาท สามารถลดค่าใช้จ่ายประชาชน 5,592 ล้านบาท

สำหรับประชาชนที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการในครั้งที่ผ่านๆ มา ทางกระทรวงยุติธรรมจะจัดงานขึ้นอีกครั้งในวันที่ 8-11 กันยายน 2565 ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ซึ่งจะมี 18 สถาบันการเงินต่างๆ เข้าร่วมงาน อาทิ กยศ. และธนาคารออมสิน เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกหล่นให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและยั่งยืน


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”รุดลงตรวจพื้นที่น่านหลัง”มู่หลาน”เข้าภาคเหนือ เร่งประเมินสถานการณ์ระดมแผนช่วยเหลือประชาชน 22 ส.ค.นี้

,

“พล.อ.ประวิตร”รุดลงตรวจพื้นที่น่านหลัง”มู่หลาน”เข้าภาคเหนือ
เร่งประเมินสถานการณ์ระดมแผนช่วยเหลือประชาชน 22 ส.ค.นี้

“พล.อ.ประวิตร” เตรียมลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำท่วมจังหวัดน่าน ตรวจความเสียหายจากผลกระทบของพายุโซนร้อน “มู่หลาน” เข้าท่วมพื้นที่ พร้อมเร่งรัดการก่อสร้างฝายกั้นลำน้ำซาว และวางโครงสร้างเพื่อสนับสนุนงบประมาณระยะยาว แก้ปัญหาน้ำท่วม – น้ำแล้ง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.น่าน ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ หลังจากในพื้นที่ได้รับผลกระทบจาก พายุดีเปรสชั่น “มู่หลาน” ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้น้ำท่วมสูงในเขตเทศบาล จนเข้าขั้นวิกฤต สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง รวมถึงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐบาล โดยมี นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นผู้สรุปภาพรวมและสถานกาณ์น้ำในพื้นที่ และรับฟังรายงานจากตัวแทนหน่วยงานราชการต่างๆ ประกอบด้วย ข้อมูลและสถานการณ์น้ำ จ.น่าน การแก้ไขปัญหาน้ำหลาก รวมถึงข้อมูลความเสียหายของพื้นที่ต่างๆ ที่ประชาชนได้รับผลกระทบ และการวางแผน ขอรับจัดสรรงบประมาณในด้านการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของจังหวัด ขณะเดียวกันยังได้นำเสนอความคืบหน้าแผนดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมโยงเศรษฐกิจภูมิภาค ระหว่างบ้านผาเวียง อ.ฝากท่า จ.อุตรดิตถ์ และบ้านปากนาย อ.นาหมื่น จ.น่าน

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร จะเดินทางไปติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการการก่อสร้างฝายกั้นลำน้ำซาว บ้านศรีเกิด อ.เมืองน่าน ที่องค์การบริหารส่วนตำบลไชยสถาน และเดินทางไปยังพื้นที่ ต.บ่อ อ.เมืองน่าน เพื่อติดตามความก้าวหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุมู่หลาน บริเวณสะพานที่ชำรุด พร้อมทั้งรับฟังการนำเสนอข้อมูลความเสียหายและการจัดสรรงบประมาณในการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน และจะเดินทางไปพบปะประชาชนพร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือให้กับผู้แทนประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จำนวน 1,000 ชุด ณ ศาลาอเนกประสงค์บ้านบ่อ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เดินเครื่องยกระดับผังเมืองใหม่ทั้ง6ภาค เน้นใช้พื้นที่รับพัฒนาเศรษฐกิจสร้างประโยชน์เพื่อ ปชช.

,

“พล.อ.ประวิตร”เดินเครื่องยกระดับผังเมืองใหม่ทั้ง6ภาค
เน้นใช้พื้นที่รับพัฒนาเศรษฐกิจสร้างประโยชน์เพื่อ ปชช.

“พล.อ.ประวิตร” ผลักดันการปรับผังเมืองประเทศสู่ระดับสากล รองรับการพัฒนาเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพื่อประโยชน์และการกินดีอยู่ดีของประชาชนสูงสุด !!! พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุม ว่า ที่ประชุมได้ทราบถึงผลการรายงานผลการดำเนินการ วางและจัดทำผังนโยบายการใช้ประโยชน์พื้นที่ ระดับประเทศที่ผ่านการประชุม เชิงปฎิบัติการที่ว่าด้วย ร่างวิสัยทัศน์ และแนวคิดการใช้พื้นที่ของประเทศ “เชื่อมโยงการพัฒนาพื้นที่ทุกมิติ สร้างสรรค์นวัตกรรม พร้อมรับการเติบโตอย่างยั่งยืน” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 6ภาค ได้แก่ภาคกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ,ภาคกลาง ,ภาคตะวันออก ,ภาคเหนือ ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน 2,540 คน รวมถึงการดำเนินการในระดับภาค ที่ได้ดำเนินการเปิดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเด็น”ปัญหา ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการพัฒนาภาคี” และ “ร่างวิสัยทัศน์ และกรอบนโยบายการใช้พื้นที่ภาค”

ทั้งนี้การดำเนินการระดับจังหวัด ในได้จัดทำแล้วในพื้นที่ 4จังหวัดแล้วได้แก่ จ.นนทบุรี ,จ.ภูเก็ต ,จ.สมุทรปราการ และจ.สมุทรสงคราม โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จครบ ทั้งประเทศ ในปีพ.ศ.2567-2568

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการผังเมือง ในเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็น การปรึกษาหารือ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการวาง และจัดทำผังนโยบาย ระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด และผังเมืองเฉพาะ พ.ศ… เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น พร้อมเสนอความต้องการ อย่างเหมาะสมและเกิดความเข้าใจร่วมกันกับภาครัฐในการดำเนินการตามขั้นตอน ต่อไป

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ มท. โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ปฏิบัติตามขั้นตอน อย่างต่อเนื่อง ให้ทันตามกรอบเวลาของแผนงาน เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ สำหรับการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อพี่น้องประชาชน ให้อยู่ดีกินดี อย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งประเทศ ต่อไป พร้อมขอให้มีการสร้างการรับรู้แก่ประชาชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อความเข้าใจร่วมกัน และร่วมพัฒนาไปด้วยกัน ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” หนุนวิสาหกิจร่วมโครงการบริหารที่ดิน พัฒนาที่ทำกินสร้างรายได้เกษตร มั่นคง ยั่งยืน

,

“พล.อ.ประวิตร” หนุนวิสาหกิจร่วมโครงการบริหารที่ดิน
พัฒนาที่ทำกินสร้างรายได้เกษตร มั่นคง ยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี . ได้เป็นประธานการประชุมทางไกล และตรวจเยี่ยม “โครงการบริหารจัดการที่ดิน อย่างยั่งยืน 12 พื้นที่ 8จังหวัด” ผ่านระบบ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดย มีสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ.ร่วมประชุม ทั้งนี้ เพื่อรับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงาน และปัญหาข้อขัดข้องของวิสาหกิจชุมชน 12 พื้นที่ ใน 8จังหวัด โดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรีได้รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามโครงการบริหารจัดการที่ดิน อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 8 พื้นที่
1.จ.เชียงราย ประกอบด้วย กลุ่มศาสตร์พระราชา วัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ,กลุ่มเชียงรายอุ่นไอรักษ์ ,กลุ่มเกษตรกรรมยั่งยืนโยนกนคร
2.จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรยั่งยืนบ้านดงหลวง ,กลุ่มปฏิรูปที่ดินบ้านห้วยม่วงเพื่อการผลิตลำไยคุณภาพ
3. จ.ตาก ได้แก่ กลุ่มศาสตร์พระราชาบ้านมั่นคงเมืองแม่สอด
4.จ.นครราชสีมา ได้แก่ กลุ่มไร่นาสวนผสมเกษตรกรฐานรากช่องโคพัฒนา
5. จ.จันทบุรี ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่พัฒนา
6. จ.ฉะเชิงเทรา ได้แก่ กลุ่มเกษตรประมงธรรมชาติ
7. จ.เพชรบุรี ได้แก่ กลุ่มแก้วกล้า
8. จ.สุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย กลุ่มรวมพลังสร้างอาชีพวัดประดู่ ,กลุ่มสหกรณ์การเกษตรสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้(ชุมชนน้ำแดงพัฒนา)
อย่างไรก็ตามทุกวิสาหกิจชุมชน ต่างมีการดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และประสบผลสำเร็จ เป็นรูปธรรม ชาวบ้านและเกษตรกร มีความสุข อยู่ดีกินดี รวมถึงหน่วยงานของภาครัฐในพื้นที่ ได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุน อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น กรมป่าไม้,กรมพัฒนาที่ดิน,กรมส่งเสริมสหกรณ์,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น,กรมพัฒนาชุมชน,กรมพลังงาน,กรมทางหลวงกองทัพภาค และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ตลอดจนสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เป็นต้น
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ย้ำในที่ประชุมว่าได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสาน บจธ. เร่งให้ความช่วยเหลือโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนตามที่ร้องขอของพี่น้องเกษตรกร เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถทำการเกษตรของตนเองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้มีรายได้ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกล่าวเสริมว่า รัฐบาลมีความห่วงใย ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ในทุกพื้นที่ และพร้อมให้ความช่วยเหลือ อย่างดีที่สุด ต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร” ดันมาตรฐานมวยไทยผ่านกองทุนกีฬา สร้างสุดยอดนักกีฬาควบคู่รักษาวัฒนธรรมไทย

,

“พล.อ.ประวิตร” ดันมาตรฐานมวยไทยผ่านกองทุนกีฬา
สร้างสุดยอดนักกีฬาควบคู่รักษาวัฒนธรรมไทย

พล.อ.ประวิตร’ ประชุมกองทุนกีฬาฯ หนุนแผนพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ระดับนานาชาติ ยกมาตรฐาน”มวยไทยอาชีพ-การไหว้ครู”อนุรักษ์วัฒนธรรม สร้างมูลค่าศก. ควบคู่ช่วยเหลือ/เยียวยานักมวยที่ได้รับผลกระทบ ย้ำทุกสมาคมฯ ใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา เพิ่มศักยภาพ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยพล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ การสนับสนุนแผนงานพัฒนากีฬาด้านต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านกีฬาของไทย ทั้งในด้านการสนับสนุนระบบการพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ,การพัฒนาบุคลากรกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ,การสนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ,การส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมและเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา

ทั้งนี้ได้มีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานกิจกรรมกีฬามวยไทย ได้มีการรายงานถึงการดำเนินโครงการพัฒนากีฬามวยไทยร่วมกับสหพันธ์กีฬามวยไทย(IOCรับรอง) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมขับเคลื่อนกีฬามวยไทยฯ ได้ดำเนินการใน ต่างๆไม่ว่าจะเป็นการยกระดับมาตรฐานกีฬามวยไทยอาชีพ ศึกมวยไทยมรดกคนไทย การจัดรายการแข่งขันมวยไทยรากหญ้า ระดับอาชีพยอดนิยม ,รายการประกวดไหว้ครู และวงปี่พาทย์มวยไทย รวมทั้งรายการส่งเสริมและเผยแพร่มวยไทยในค่ายทหาร (4 กองทัพภาค) เป็นต้น รวมถึงแผนการดำเนินโครงการจัดแข่งมวยไทย ในโอกาสครบรอบ 30ปี การสถาปนาทางการทูต ไทย-คาซัคสถาน ระหว่าง 10-11 ก.ย.65 ณ สาธารณรัฐคาซัคสถานอีกด้วย และยังได้รับรายงานถึงความคืบหน้าโครงการสนับสนุนฟุตบอลรากหญ้า โดยความร่วมมือระหว่างกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และฟีฟ่า ซึ่งสมาคมฟุตบอลฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง ร่วมกับฟีฟ่า เรียบร้อยแล้ว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอบคุณนักกีฬาคนพิการ ผู้ฝึกสอนและเจ้าหน้าที่ ที่ทุ่มเทในการแข่งขัน รายการนี้และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้คนไทยทั้งประเทศมีความสุข และได้กำชับ กกท.และสมาคมกีฬา ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และระเบียบปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ โดยเคร่งครัด และการบริหารงบประมาณจะต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต่อการพัฒนากีฬา อย่างเป็นรูปธรรม และเน้นย้ำให้ใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาทุกประเภทกีฬา ทั่วประเทศ อย่างจริงจัง เพื่อยกระดับความเป็นเลิศ ในระดับประเทศ และนานาชาติ ต่อไป

อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังพิจารณาและเห็นชอบหลักการจ่ายเงินรางวัลและจัดงานมอบเงินรางวัลแสดงความยินดีแก่ นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมฯ ในการแข่งขัน กีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่11 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ห้วง 30 ก.ค.-6 ส.ค.65 ประเทศไทยส่งแข่ง 14 ชนิดกีฬา สร้างผลงานยอดเยี่ยม เป็นอันดับ 2 รองจากเจ้าภาพ โดยทำได้ 117 เหรียญทอง 113 เหรียญเงิน และ 88 เหรียญทองแดง ได้รับอนุมัติ เงินรางวัลรวม 101,420,000 บาท

นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการสนับสนุนสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ เพื่อการจัดการแข่งขันกีฬาจักรยานอาชีพ รายการทัวร์ออฟไทยแลนด์ ประเภท หญิงและชาย ประจำปี2565


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 สิงหาคม 2565