โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

“ธีระชัย” ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงเลขากฤษฎีกา ผู้ว่าธปท. กรณีรัฐบาลออก G-Token ขัดกฎหมาย ปล่อยผ่านอาจสร้างผลกระทบกับประเทศและประชาชน

,

“ธีระชัย” ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงเลขากฤษฎีกา ผู้ว่าธปท. กรณีรัฐบาลออก G-Token ขัดกฎหมาย ปล่อยผ่านอาจสร้างผลกระทบกับประเทศและประชาชน

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ  พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตนได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) เพื่อทั้งสองหน่วยงานกลับมา พิจารณาอย่างรอบครอบอีกครั้ง
ในด้านของกฎหมาย เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกําหนด   หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ  โดยปรากฏในรายงานการประชุมสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นชอบและไม่ขัดข้อง

    อย่างไรก็ตาม ตนมีความเป็นห่วงว่าการพิจารณากฎหมายบางประเด็นอาจเป็นตัวอย่างสำหรับการปฏิบัติที่จะก่อความเสี่ยงต่อฐานะการคลังและการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต จึงขอให้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินการขั้นต่อไป ดังนี้

1. พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ไม่ได้รองรับโทเคนดิจิทัล ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ที่ระบุว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทําเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ” แต่คำว่า “วิธีการอื่นใด” ไม่สามารถตีความรวมไปถึงโทเคนดิจิทัลได้ เพราะยี่สิบปีก่อนหน้าในปี พ.ศ. 2548 ยังไม่ได้มีการสร้างบิตคอยน์เกิดขึ้น ยังไม่มีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

       นอกจากนี้ ในร่างพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561  ที่บัญญัติคำว่าโทเคนดิจิทัลนั้น เกิดขึ้นสิบสามปีภายหลัง และได้ระบุหลักการและเหตุผลว่า ตราขึ้นเพื่อกํากับหรือควบคุมการนำคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนและค้าขายระหว่างเอกชน จึงเป็นวัตถุประสงค์เพื่อจัดระเบียบในธุรกิจเอกชน แต่มิใช่การตรากฎหมายเพื่อใช้ในการบริหารหนี้สาธารณะแต่อย่างใด

     ดังนั้นตนจึงมีความเห็นว่ายังไม่มีกฎหมายใดที่อาจตีความได้ว่าให้อำนาจกระทรวงการคลังในการออกโทเคนดิจิทัลในกระบวนการบริหารหนี้สาธารณะตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2548 ที่จะส่งผลให้โทเคนดิจิทัลของรัฐบาลเข้าข่ายพระราชบัญญัติเงินตรา

     รวมทั้งในพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ที่บัญญัติว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล”หมายความว่า คริปโทเคอร์เรนซีและเคนดิจิทัล โดย “คริปโทเคอร์เรนซี” มีลักษณะเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 นั้น ถึงแม้กระทรวงการคลังแถลงข่าวว่าสิ่งที่ออก G-Token เป็นโทเคนดิจิทัลและมิได้หมายจะให้เป็นเงินตรา แต่จนขอเรียนว่าพฤติกรรมการใช้งานโดยประชาชนจะทำให้ G-Token กลายสภาพเป็นคริปโทเคอร์เรนซีซึ่งเป็นเงินตราโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลดังนี้

ก)  ผู้ออกเป็นกระทรวงการคลังซึ่งมีเครดิตและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยเป็นประกัน จึงจะเป็นที่เชื่อมั่นจะนิยมโดยประชาชนอย่างกว้างขวาง ซึ่งแตกต่างจากโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยนิติบุคคลเอกชนเนื่องจากมีขอบเขตการใช้งานที่จำกัด

ข)  โทเคนดิจิทัลที่ออกโดยนิติบุคคลเอกชนไม่อาจนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลตัวอื่นได้ จึงไม่มีสภาพเป็นเงินตรา แต่ G-Token มีความน่าเชื่อถือสูงที่จะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลตัวอื่นได้ จึงมีสภาพเป็นคริปโทเคอร์เรนซีซึ่งเป็นเงินตรา

ค)  ถึงแม้กระทรวงการคลังอาจมิได้มีความประสงค์ที่จะให้ประชาชนใช้ G-Token เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าบริการหรือสิทธิอื่นใดในทำนองคริปโทเคอร์เรนซี แต่ในทางปฏิบัติประชาชนจะเชื่อถือและยอมรับการใช้ G-Token ในการชำระหนี้ระหว่างกัน อันจะทำให้มีสภาพข้อเท็จจริงตามเนื้อหาทางเศรษฐกิจเป็นเงินตราอย่างหนึ่งโดยอัตโนมัติ

      ดังนั้นตนจึงเห็นว่าการออก G-Token โดยรัฐบาลจะกระทบการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 มาตรา 10 ซึ่งให้อำนาจกระทรวงการคลังเฉพาะจัดทําและนําออกใช้ซึ่งเหรียญกษาปณ์ ส่วนในมาตรา 14 อำนาจในการจัดทำ จัดการ และนำออกใช้ซึ่งธนบัตรของรัฐบาลนั้นเป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และขอเรียนว่าภาพพจน์ที่รัฐบาลไทยจะสามารถดำเนินการเสมือนหนึ่งพิมพ์เงินตราได้เองเพื่อชดเชยรายจ่ายงบประมาณที่ขาดดุลจะก่อความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินไทยในสายตาของชาวโลกอย่างหนัก
ตนจึงขอปฏิบัติหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามมาตรา 50 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แจ้งข้อมูลนี้เพื่อประโยชน์แก่ท่านเพื่อพิจารณาให้คำแนะนำต่อรัฐบาลอันจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อประเทศชาติและประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 พฤษภาคม 2568

“โฆษกพปชร.” ชี้รัฐปล่อยจอย ปราบปรามเครือข่ายพนันออนไลน์ลุกลาม ล่อล่วงพระชั้นผู้ใหญ่ ไร้ความน่าเชื่อถือเปิดกาสิโนในไทย

,

“โฆษกพปชร.” ชี้รัฐปล่อยจอย ปราบปรามเครือข่ายพนันออนไลน์ลุกลาม ล่อล่วงพระชั้นผู้ใหญ่ ไร้ความน่าเชื่อถือเปิดกาสิโนในไทย

         พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ   กล่าวถึง กรณีศาลอาญาออกหมายจับ “เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง” ปมยักยอกเงินวัดเล่นพนันออนไลน์  และพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปนั้น   พล.ต.ท.ปิยะฯกล่าวว่า “

  เรื่องนี้สะเทือนวงการสงฆ์ และสะเทือนใจชาวพุทธทั้งประเทศ ที่พระผู้ใหญ่ระดับ “เจ้าคุณ” ต้องตกเป็นเหยื่อการพนันออนไลน์จนกระทั่ง ยักยอกเงินวัด 300 ล้าน ไปใช้หนี้นั้น  กรณีนี้ เป็นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนว่าประเทศไทยยังไม่มีความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนันและการพนันออนไลน์  หากรัฐบาลยังคงดึงดันผลักดัน”กาสิโน“เสรี ยิ่งจะก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคม  เยาวชน และบุตรหลาน ไปมากกว่านี้”

         “ การที่ท่านนายกฯ อ้างว่า จะมีระบบ dual track ในการควบคุมกาสิโนเพื่อป้องกันการฟอกเงินและคอรัปชั่น  และ การกระทำผิดองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ  เพื่อป้องกันผลกระทบอันอาจจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยนั้น  เป็นเพียงภาพลวงตาหลอกประชาชนไปวันๆเท่านั้น  แต่สิ่งที่ประชาชนเห็น  ในทุกๆวันคือ บ่อนการพนัน  หวยใต้ดิน  สลากกินแบ่งเกินราคา  การพนันออนไลน์ เงินกู้นอกระบบ ระบาดไปทั่วทุกชุมชน  ติดโฆษณาทุกเสาไฟฟ้า ไป ที่ไหนก็เจอแต่มาเก๊า 888  ไฮด้า 888  บราซิล 999 เฮง 36 ฯลฯ ท่านนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ซึ่งคุมทั้งนโยบายและคุมทั้ง ข้าราชการตำรวจกว่า 200,000 คนทั่วประเทศมีปัญญา  มีความสามารถ หรือความสนใจในความเดือดร้อนของประชาชนตรงนี้หรือไม่   ท่านไม่ต้องไปปราบใคร  ไกลที่ไหน แค่คนใกล้ตัวท่านและใกล้เครือญาติท่าน  คนที่ท่านหรือคนใกล้ตัวท่านเคยไปงานบวช   คนใกล้ตัวที่ร่วมรัฐบาล  สารวัตรหนีคดีที่อยู่ใกล้ๆ  จัดการสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อน  จะเป็นคุณูปราการ อย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติและ ประชาชน“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 พฤษภาคม 2568

”เลขาธิการพปชร.“ เผยพล.อ.ประวิตร ลงนามแต่งตั้ง ”ทีมเศรษฐกิจสุดแกร่ง”   อย่างเป็นทางการ     ”ธีระชัย-กรกสิวัฒน์” นำทีม ดึง”คนรุ่นใหม่“เข้าร่วม พร้อมเดินหน้าตรวจสอบนโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาล  ขาดการดูแลปากท้องประชาชน

,

”เลขาธิการพปชร.“ เผยพล.อ.ประวิตร ลงนามแต่งตั้ง ”ทีมเศรษฐกิจสุดแกร่ง”   อย่างเป็นทางการ     ”ธีระชัย-กรกสิวัฒน์” นำทีม ดึง”คนรุ่นใหม่“เข้าร่วม พร้อมเดินหน้าตรวจสอบนโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาล  ขาดการดูแลปากท้องประชาชน

 นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวว่า ภายหลังจากที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ได้ลงนามในคำสั่งพรรคพลังประชารัฐที่ 15/ 2568 แต่งตั้งทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ อย่างเป็นทางการ  อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 17 (1) ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐโดย ประกอบไปด้วย 1. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ  2.หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคเป็นรองหัวหน้าหัวทีมเศรษฐกิจ 3. นายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ. เพชรบูรณ์ เขต 6 เป็นทีมเศรษฐกิจ 4. น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส. จ. เพชรบูรณ์ เขต1   เป็นทีมเศรษฐกิจ. 5. ดร.บุณณดา สุปิยะพันธุ์ สมาชิกพรรค เป็นทีมเศรษฐกิจ  และ 6.ดร.มนูญ พรหมลักษณ์ เป็นทีม เศรษฐกิจ

      ทีมเศรษฐกิจ จะทำหน้าที่ ติดตามการทำงาน วิเคราะห์นโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งติดตาม สถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งภายในและนอกประเทศ ที่จะนำไปสู่การวางแนวทางในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ที่จะนำไปสู่การแถลงจุดยืนของพรรค  การตอบโต้ในแต่ละประเด็นให้ประชาชนได้รับทราบ ทักท้วงนโยบายที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ  ผ่านกลไกรัฐสภา และสื่อสารมวลชน รวมทั้งปฎิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรค นำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของพรรค ต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งบุคลากรของพรรค ล้วนเป็นคุณภาพพร้อมทำงานด้านเศรษฐกิจได้ทันที

  นายไพบูลย์กล่าวย้ำว่า  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค มีความเป็นห่วงในสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนจาก นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกและประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะกระทบต่อการส่งออก ยังไม่รวมถึงปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างหนัก ที่รัฐบาลเพิกเฉย และไม่ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเลย  ที่สำคัญคือ ปัญหาระหว่างพรรคร่วมของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีความขัดแย้งจนหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า   จะมีการคว่ำงบประมาณ และยุบสภา ในอนาคตอันใกล้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อรัฐบาลไทย

 
 “พปชร.จึงได้เฟ้นหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจ มาทำหน้าที่ทีมเศรษฐกิจ คอยติดตามสถานการณ์การบริหารราชการ ด้านเศรษฐกิจ ของรัฐบาล เพื่อนำไปสู่การเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ  โดยทีมเศรษฐกิจของพรรค พปชร.ล้วนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ เป็นบุคลากรที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในสนามเศรษฐกิจจริงมาแล้ว มีผลงานในอดีตเป็นที่ประจักษ์ โดยนายธีระชัย เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลัง และ ดร.มล.กรกสิวัฒน์ ก็มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงาน และหลาย ๆ เรื่อง มาผสมกับคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ สามารถสะท้อนปัญหาได้อย่างครอบคลุม และพร้อมที่จะเดินหน้าตรวจสอบการบริหารประเทศของรัฐบาลด้วย“”นายไพบูลย์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 พฤษภาคม 2568

“ธีระชัย” จี้รัฐ หยุดตีความกฎหมาย สร้างความชอบธรรมออก “จีโทเคน” ไร้ช่องทางเอื้อรัฐเป็นผู้ออกสินทรัพย์ดิจิทัล

,

“ธีระชัย” จี้รัฐ หยุดตีความกฎหมาย สร้างความชอบธรรมออก “จีโทเคน” ไร้ช่องทางเอื้อรัฐเป็นผู้ออกสินทรัพย์ดิจิทัล

วันนี้ (15 พ.ค. 2568) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ  พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลังจะกู้หนี้สาธารณะโดยออกโทเคนดิจิทัล G-Token ว่า จะไม่ตรงกับเจตนารมย์ของกฎหมาย

นายธีระชัยกล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2548 ที่มีการตราพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 นั้น เป็นเวลายี่สิบปีมาแล้ว ในขณะนั้นกฎหมายไทยยังไม่มีพื้นฐานใดเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล

สำหรับกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติการออก G-Token โดยอ้างว่าเป็น “วิธีการอื่น” ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งระบุว่า
“การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ“ นายธีระชัยเห็นว่าเจตนารมย์ของกฎหมายดังที่บรรยายไว้ก่อนหน้าว่าจะทำเป็นสัญญาหรือจะออกตราสารหนี้ก็ได้นั้น คือต้องการให้มีหลักฐานแห่งหนี้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้เป็นเจ้าหนี้ของรัฐ ดังนั้น “วิธีการอื่น” ที่กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมาตรา 10 วรรคหนึ่งได้ ก็จะต้องเป็นวิธีการที่มีหลักฐานแห่งหนี้เป็นลายลักษณ์อักษรในทำนองเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้

ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 ที่มีการตราพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่อนุญาตให้มีการออกโทเคนดิจิทัลได้นั้น ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เจตนารมย์ของกฎหมายนั้นเพื่ออนุญาตให้ภาคเอกชนเป็นผู้ออก ดังระบุในมาตรา 17 ว่า
“ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชน ผู้ออกโทเคนดิจิทัลที่ประสงค์จะเสนอขายโทเคนดิจิทัลดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และให้กระทำได้เฉพาะนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ” ในขณะนั้น จึงชัดเจนว่ามิได้มีความคิดที่จะใช้หลักการโทเคนดิจิทัลสำหรับการกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548

ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอ ครม. ให้อนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการอกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Govemment Token: G-Token) อันเป็นการอ้างว่าสามารถนำเอาวิธีการสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นภายหลังในปี พ.ศ. 2561 มาใช้กับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าในปี พ.ศ. 2548 นั้น นายธีระชัยเห็นว่า เป็นการอ้างอิงที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากหลักการและเหตุผลในพระราชกำหนดสินทรัพย์ดิจิทัล ระบุชัดเจนว่าเพื่อจัดระเบียบการทำธุรกิจในสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างเอกชนเป็นสำคัญ ส่วนการจะพิจารณานำไปใช้ในการบริหารหนี้สาธารณะหรือไม่ หรือสมควรใช้โดยมีเงื่อนไขอย่างไร จำเป็นจะต้องแก้ไขพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังชัดเจนและกำหนดกฎกติกาให้รัดกุมเสียก่อน

นอกจากนี้ ในรายงานการประชุม ครม. ที่ระบุว่า ”สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพรัพย์
พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
พ.ศ. 2561 “ นั้น ก็เป็นการผูกมัดชัดเจนว่ากระทรวงการคลังเห็นว่าโทเคนดิจิทัลไม่ถือเป็นตราสารหนี้ จึงไม่เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง เป็นการย้ำว่าสมควรจะมีการแก้ไขกฎหมายให้เรียบร้อยเสียก่อน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 พฤษภาคม 2568

“ม.ล.กรกสิวัฒน์” ส่งสัญญาณข้าราชการ คอจะขึ้นเขี่ยง หนุนรัฐบาลออก จีโทเคน ระบุไม่มีนิยามใดในกฎหมายเข้าข่ายให้ออกสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเอกสารแห่งหนี้

,

“ม.ล.กรกสิวัฒน์” ส่งสัญญาณข้าราชการ คอจะขึ้นเขี่ยง หนุนรัฐบาลออก จีโทเคน ระบุไม่มีนิยามใดในกฎหมายเข้าข่ายให้ออกสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเอกสารแห่งหนี้

วันนี้ (15 พ.ค. 2568) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและกรรมการบริหาร  พปชร. กล่าวว่า กรณีที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอคณะรัฐมนตรีจะออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคนดิจิทัล G-Token เตือนให้ข้าราชการกระทรวงการคลังระวังจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ ในกรณีที่ กระทรวงการคลังตีความว่า การออกโทเคนดิจิทัลซึ่งสามารถทำได้ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เข้าข่ายปฏิบัติถูกต้องตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 นั้น ไม่น่าถูกต้อง เพราะในการออกพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ ในปี พ.ศ. 2548 เมื่อ 20 ปีก่อน ยังไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เพิ่งจะมีพระราชกำหนดในปี พ.ศ. 2561

รวมทั้ง การพิจารณาในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะเห็นคำนิยามสำหรับ ตราสารหนี้ ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตร ซึ่งล้วนเป็นเอกสารแห่งหนี้ แต่ไม่มีสิ่งใดที่สามารถตีความได้ว่า เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเลย

ส่วนการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ครม. ว่าสามารถใช้มาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ในการออกโทเคนดิจิทัล G-Token ได้นั้น ก็น่าจะเป็นการตีความที่ผิด เพราะมาตรานี้บัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” คำว่า “วิธีการอื่นใด” ย่อมต้องหมายถึงวิธีการที่มีเอกสารแห่งหนี้เช่นเดียวกับเอกสารสัญญาหรือตราสารหนี้

แต่ทั้งนี้ ถึงแม้นิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดให้เป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แสดงสิทธิ ไม่ได้มีสภาพเป็นเอกสารแห่งหนี้

ม.ล.กรกสิวัฒน์กล่าวว่า ในเรื่องนี้ ครม. อาจจะรอดจากความผิด เพราะในมติที่อนุมัติ มีการระบุว่าให้เป็นไปตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 แต่ผู้ที่ต้องรับความเสี่ยงเต็มที่ ก็คือข้าราชการ กระทรวงการคลังนั่นเอง ดังนั้น จึงขอแนะนำว่า ข้าราชการควรเสนอเรื่องแย้งเพื่อให้รัฐมนตรีคลังเป็นผู้สั่งการในเรื่องดังกล่าว และเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 พฤษภาคม 2568

”รองหัวหน้า พปชร.“ลั่นปมร้อนกาสิโน   พปชร.ไม่ขอร่วมรัฐบาล มั่นใจนโยบาย“พล.อ.ประวิตร”  มีวิสัยทัศน์ ตัดสินใจได้ถูกต้อง เดินหน้าเริ่มลงพื้นที่ คัดคนคุณภาพพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง

,

”รองหัวหน้า พปชร.“ลั่นปมร้อนกาสิโน   พปชร.ไม่ขอร่วมรัฐบาล มั่นใจนโยบาย“พล.อ.ประวิตร”  มีวิสัยทัศน์ ตัดสินใจได้ถูกต้อง เดินหน้าเริ่มลงพื้นที่ คัดคนคุณภาพพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง

นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะมีการปรับ ครม.และอาจจะมีการดึงพรรค พปชร. เข้าไปร่วมเป็นรัฐบาลว่า เรื่องนี้จะต้องฟังความเห็นของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งท่านหัวหน้าพรรคเคยบอกชัดเจนว่า ท่านไม่เอากาสิโน และพวกเราในพรรคก็เห็นด้วย เรายืนยันตรงจุดนี้ ถ้าไปร่วมรัฐบาลด้วยแล้วจะทำอย่างไร ในเมื่อพลังประชารัฐไม่เอากาสิโน  เราจะตอบประชาชนอย่างไร

ทั้งนี้ ตนเชื่อมั่นใน พล.อ.ประวิตร เพราะเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และทำงานปิดทองหลังพระมาเยอะ ทำอะไรให้ประเทศชาติมาเยอะ แต่ท่านก็ไม่เคยเอามาพูด ตามวิสัยของทหาร ในฐานะทีมบริหารพรรค เราจะร่วมกันผลักดันนโยบายที่เป็น เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ให้สามารถกินดีอยู่ดี มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐ ได้เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ มีการเปลี่ยนโลโก้ใหม่เป็นรูปพลวัต ซึ่งรูปร่างคล้ายกับกังหัน ประกอบด้วยสีน้ำเงิน ขาว แดง มีความสวยงาม และมีความหมายที่ดี เรามุ่งเน้นดูแลความเดือดร้อนของประชาชน ดูแลปากท้องประชาชน ตามสโลแกนพรรคอันใหม่ที่ว่า “อนุรักษ์นิยมทันสมัย” คือพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่เน้นอนุรักษ์นิยม ดูแลทุกข์สุขประชาชน อีกคำหนึ่งก็คือ “ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส” ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอลแล้ว เราจะต้องทันสมัยตลอดเวลา ทีมงานของเราทันสมัยกันหมด เรามีศักยภาพพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล พร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชน” นายสุรเดช กล่าว

ทั้งนี้ ตนได้เดินทางไป จ.พะเยา เพื่อไปใช้สิทธิ์ตามหน้าที่ของพลเมืองไทยที่ดี ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล จ.พะเยา และได้เดินทางไปจ.เชียงราย  เพื่อลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนและทีมฟุตบอลอาวุโส จ.เชียงราย ในการรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะในด้านต่างๆ เพื่อนำมาสู่การพิจารณาในที่ประชุมกรรมการบริหารคพรรคต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 พฤษภาคม 2568

“ธีระชัย” ชำแหละแผนชวนเชื่อรายย่อยลงทุน จีโทเคน ส่อสร้างปัญหาให้ปชช.รับความเสี่ยง จี้จุดอ่อนกฎหมายรองรับอาจไม่ชัดเจน แนะรัฐควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเงินดิจิทัลให้แน่นอนเสียก่อน

,

“ธีระชัย” ชำแหละแผนชวนเชื่อรายย่อยลงทุน จีโทเคน ส่อสร้างปัญหาให้ปชช.รับความเสี่ยง จี้จุดอ่อนกฎหมายรองรับอาจไม่ชัดเจน แนะรัฐควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเงินดิจิทัลให้แน่นอนเสียก่อน

วันนี้ (14 พ.ค. 2568) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ  พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีจะออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคนดิจิทัล G-Token ว่า จะไม่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลดังที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ

นายธีระชัยกล่าวว่าวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น จึงต้องชี้แจงก่อนว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบ G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้

นอกจากนี้ ยังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน

ส่วนกรณีที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น ก็ขอให้แจกแจงว่ามีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ และใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโดยมีค่าธรรมเนียมเท่าใด รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแล้วต่ำกว่า ธปท. อย่างไร ทั้งนี้ ขอแนะนำอย่าไปหมกมุ่นกับเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายแก่ ธปท. เพราะเป็นองค์กรของรัฐ เงินไม่รั่วไหลไปไหน

นายธีระชัยแนะนำว่าการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการก่อนหลายอย่าง กล่าวคือ
(1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง
(2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม
(3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น
(4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ
(5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส

นายธีระชัยเห็นว่าการจะทำให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract   ทั้งระบบเคลียริ่ง และมีกฎหมายรองรับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดรวมไปถึงการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกัน โดยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ริเริ่ม ส่วนรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคน ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศที่ระบบการเงินล้ำหน้าใดที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนเอง

นอกจากนี้ นายธีระชัยมีความเห็นว่าถึงแม้กฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะมาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดให้ใช้วิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ถ้าอ่านตามเนื้อความที่บัญญัติไว้ย่อมจะต้องหมายถึงหลักฐานแห่งหนี้ในทำนองเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ อย่างไรก็ดี นิยามโทเคนดิจิทัลในกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามข้อบัญญัตินี้

“ผมขอแนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการออกโทเคนดิจิทัลมีกฎหมายรองรับอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ การพัฒนาโทเคนนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของงานเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นในลำดับต้น ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังเอามาโปรโมทเป็นด่านหน้านั้น สะท้อนว่าคิดงานเป็นชิ้นๆแทนที่จะวางแผนเป็นระบบ ผมขอแนะนำให้ศึกษาแนวการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลให้ถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะเป็นการวาดฝันสวยหรูแต่ไม่สามารถทำได้จริง ดังที่เกิดขึ้นกรณีโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่หาเสียงเอาไว้ใหญ่โตเป็นนโยบายเรือธง แต่เวลาผ่านมาสองปีก็ยังทำไม่ได้” นายธีระชัยเตือน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 14 พฤษภาคม 2568

“เลขา พปชร.” แจง “อุตตม-สนธิรัตน์” ลาจากกันด้วยดี  ไปทำธุรกิจส่วนตัว

,

“เลขา พปชร.” แจง “อุตตม-สนธิรัตน์” ลาจากกันด้วยดี  ไปทำธุรกิจส่วนตัว

เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 13 พ.ค. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวถึงกรณีนายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ลาออกจากสมาชิกพรรค ว่า นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ ได้ไปกราบลาพล.อ.ประวิตร เพื่อที่จะไปทำธุระเกี่ยวกับส่วนตัว ซึ่งส่วนงานของท่านก็ทำเรียบร้อยแล้ว และไปดำเนินการยื่นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาร่วมงานกันด้วยดีและก็จากกันด้วยดี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2568

“โฆษก พปชร.” ทวงแรงถาม รัฐบาลกลัวอะไร กับ“กัมพูชา” ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมืองธม   พร้อมแจงมติพรรค ตั้งทีมเศรษฐกิจ ธีระชัย นำทีม พร้อมเดินหน้าตรวจสอบด้านเศรษฐกิจรัฐ ชูนโยบาย พปชร. แก้ปัญหาปากท้องลงมือทำจริง  ซัด รบ. แก้ปัญหา ศก.ประเทศติดอันดับรั้งท้ายภูมิภาค ซ้ำเติมขึ้น“ภาษีน้ำมัน” ปชช. ต้องจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง

,

“โฆษก พปชร.” ทวงแรงถาม รัฐบาลกลัวอะไร กับ“กัมพูชา” ร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมืองธม   พร้อมแจงมติพรรค ตั้งทีมเศรษฐกิจ ธีระชัย นำทีม พร้อมเดินหน้าตรวจสอบด้านเศรษฐกิจรัฐ ชูนโยบาย พปชร. แก้ปัญหาปากท้องลงมือทำจริง  ซัด รบ. แก้ปัญหา ศก.ประเทศติดอันดับรั้งท้ายภูมิภาค ซ้ำเติมขึ้น“ภาษีน้ำมัน” ปชช. ต้องจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม เวลา 14.00 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย  โฆษกพรรคพลังประชารัฐ   กล่าวว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรค  โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ได้พิจารณา ออกคำสั่ง แต่งตั้งทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ  โดยให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นหัวหน้าทีม หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี  เป็นรองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ  พร้อมด้วย นายอัคร ทองใจสด นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์  นางสาวบุณณดา สุปิยะพันธุ์  และนายมนูญ พรหมลักษณ์ ร่วมคณะทีมเศรษฐกิจ  ซึ่งนับ เป็นทีมเศรษฐกิจคนรุ่นใหม่  และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคาร เศรษฐกิจระดับมหภาคและจุลภาค รวมถึงการแก้หนี้ครัวเรือน อย่างเชี่ยวชาญและชัดเจน

 ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์การบริหารราชการ ด้านเศรษฐกิจ ของรัฐบาล ในการดูแล ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่จะนำไปสู่การเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์ แก่สังคม รวมถึงการนำเสนอนโยบายสำคัญ ในการแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพ และความพร้อมของพรรค โดยการขับเคลื่อนของ ทีมเศรษฐกิจ ที่พร้อม ลงมือทำงานได้ทันที อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรดพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 ดังนี้ โดย
1.การติดตามวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในรัฐสภาและภายนอกและทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อวางแนวทางที่จะแถลงแนวทางในแต่ละเรื่องให้แก่ประชาชนได้รับทราบ โดยบางเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยประชุมรัฐสภาก็จะพิจารณาทำการแถลงข่าวจุดยืนร่วมกับ สส. ของพรรค
2. ประสานให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยรวบรวมข่าวและคำวิจารณ์ในสื่อต่างๆ ในแต่ละวัน เพื่อทีมเศรษฐกิจ จะได้พิจารณาแถลงข่าวเพื่อตอบโต้หรือเสนอแนะได้ทันท่วงที
3. ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรรค

ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงปัญหาเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อย ที่ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐบาลขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไปอย่างเชื่องช้าและไม่ถูกทิศทาง ก่อให้เกิดผลเสียต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดเจนจากสภาผู้ว่าการธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดระดับทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และเป็นที่น่าตกใจก็คือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลำดับทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่ำกว่าประเทศกัมพูชาและลาว โดยเราอยู่ในลำดับเกือบรั้งท้ายในแถบประเทศอาเซียน

“วันนี้พี่น้องประชาชนกำลังจะอดตาย แต่นายกรัฐมนตรียังปล่อยให้เพิ่มภาษีน้ำมัน สิ่งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการแข่งขันทางด้านธุรกิจและการขนส่ง ในขณะที่ราคาน้ำมันลดลง แต่รัฐบาลกลับตัดแขนตัดขาประชาชนด้วยการเพิ่มภาษีน้ำมัน ทำให้ราคาแพงกว่าที่ประเทศเวียดนาม แล้วเราจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร“ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

“นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาถึงความคืบหน้าของกรณีที่นายทหารชั้นนายพล ได้นำชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาร้องเพลงชาติกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ม และมีการบันทึกภาพและเสียง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในดินแดนของไทย แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศ หรือดำเนินคดี หรือดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด เป็นลายลักษณ์อักษร หรือให้เป็นพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้าหากทางประเทศกัมพูชาจะเรียกร้องพื้นที่นี้เป็นอาณาเขตของประเทศตนเอง  พร้อมทั้งกล่าวว่า ไม่รูัว่ากลัวอะไรทางกัมพูชา อีกทั้ง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยังมีคำสั่งให้ทหารไทยถอยออกจากพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของประเทศ  ซึ่งในเรื่องนี้  ทางพรรคพลังประชารัฐ ได้เคยเรียกร้องให้ทางรัฐบาลดำเนินการประท้วง หรือท้วงติงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังรัฐบาลกัมพูชา  ในการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 จนถึงวันนี้ เป็นเวลาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลแต่อย่างใด“

“ถ้าทหารและครอบครัวกลุ่มนั้นมาร้องเพลงชาติในห้องนอนของนายกฯ หรือในห้องนอนของท่าน รองนายกฯ ท่านจะยังนิ่งเฉย และสั่งให้คนในบ้านของท่านออกจากห้องนอน หรือออกจากบ้าน ไปอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านหรือไม่ ผมอยากรู้ว่า ท่านจะทำอย่างเดียวกับที่ท่านทำกับประเทศไทยหรือแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักของเราหรือไม่ พรรคพลังประชารัฐต้องขอบคุณพี่น้องทหารหาญทุกท่านและพี่น้องประชาชนคนไทยที่รักชาติและแผ่นดิน วันนี้ประเทศไทยเป็นสุขได้เพราะบรรพบุรุษของไทยทุกคนช่วยกันรักและพิทักษ์ไว้ซึ่งแผ่นดินไทย เราจะไม่ยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านเอาแผ่นดินของประเทศไทยไปแม้แต่นิ้วเดียว   รัฐบาลไทยกลัวอะไรถึงขนาดนี้  กลัวว่า จะมีการเพิกถอนสัญชาติของญาติท่านบางคน  หรือจะเอาญาติของท่านที่ไปแต่งงานกับคนใกล้ชิดท่านนายกฮุนเซน  เอามาคืนหรือ   พรรคพลังประชารัฐจะไม่ยอมให้ ผู้หนึ่งผู้ใดนำผืนแผ่นดินไทยไปแลกผลประโยชน์ ส่วนตนและเครือญาติโดยเด็ดขาด”พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2568

“ม.ล.กรกสิวัฒน์”ชี้ รบ.ขึ้นภาษีน้ำมัน ซ้ำเติมปากท้อง ประชาชน ไร้ความจริงใจ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า ปชช.   แนะ รบ.ตั้งรับให้ดี หลัง ‘เวิลด์แบงก์-IMF’ กดจีดีพีไทยต่ำสุดในอาเซียน สูงกว่าแค่เมียนมา

,

“ม.ล.กรกสิวัฒน์”ชี้ รบ.ขึ้นภาษีน้ำมัน ซ้ำเติมปากท้อง ประชาชน ไร้ความจริงใจ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า ปชช.   แนะ รบ.ตั้งรับให้ดี หลัง ‘เวิลด์แบงก์-IMF’ กดจีดีพีไทยต่ำสุดในอาเซียน สูงกว่าแค่เมียนมา

เมื่อวันที่ 13 พ.ค.เวลา 14.45 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการขึ้นภาษีน้ำมัน ที่เรียกว่า ประกาศกฎกระทรวง ที่มีการวางแผนกันล่วงหน้าว่า จะล้วงเงินจากกระเป๋าประชาชน เพราะมีการประกาศในราชกิจจาทันทีในวันที่ประชุม ค.ร.ม. ซึ่งต้นทุนราคาน้ำมันดิบเพียง 13 บาทต่อลิตร แต่ราคาหน้าปั๊มเมื่อบวกภาษีแล้วจึงไม่ควรเกิน 26 บาท แต่กลับอยู่ที่ 30-40 บาท

แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้เห็นว่าจะต้องแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนจริงจัง ขณะที่ ประเทศไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายที่เวียดนาม โดยเวียตนามมีราคาเบนซิน 95 อยู่ที่ 24 บาท น้ำมันดีเซลเราขายส่งไปให้เขาขายหน้าปั๊ม 21 บาท แต่เราขาย 30 กว่าบาท ทั้งที่ วันนี่ราคาน้ำมันดิบถูกมากๆ เพราะค่าเงินบาทแข็ง ที่รัฐบาลหาเสียงกันมาจึงเป็นการให้ความหวังประชาชน อย่างเลื่อนลอย

“ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชนจริงๆ เราไม่สามารถไว้วางใจรัฐบาลได้เลยในการจัดการเศรษฐกิจ ต้องบอกว่า ท่านไม่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหา ถ้าตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง หรือเพราะท่านมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับกลุ่มทุนพลังงาน รักกลุ่มทุนพลังงานมากกว่ารักประชาชนหรือไม่ อันนี้ต้องให้ประชาชนตั้งคำถาม วันนี้เศรษฐกิจแย่ ต้องช่วยกันลดราคาน้ำมัน ช่วยกันลดราคาไฟฟ้า ถามว่ามันลดได้จริงไหม ลดได้จริง เพราะต้นทุนพลังงานต่ำแล้ว จึงขอให้ติดตามดูพฤติกรรมของรัฐบาลว่า จะทำจะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนเมื่อไร แต่วันนี้กลับขึ้นภาษี ก็ต้องแสดงความเสียใจกับประชาชนด้วย“ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว

ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จัดอันดับให้ประเทศไทยมีจีดีพีต่ำที่สุดในอาเซียน ชนะประเทศเดียวคือ พม่า เนื่องจากว่าการจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาด จะมีการกู้เงินมากขึ้น โดยไม่เห็นว่า จะหารายได้จากไหน ขอฝากรัฐบาลว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่โดดเดียว เรามีเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนที่ทำได้ดีกว่าเรา หากไม่แก้ปัญหาและซ้ำเติมด้วยการไม่ลดราคาน้ำมันทั้งที่ทำได้ง่ายๆ เราคงแพ้แน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 พฤษภาคม 2568

“ธีระชัย” ส่องตัวเลขจีดีพีสิ้นหวัง ธ.โลกหั่นเหลือ 1.6%

,

“ธีระชัย” ส่องตัวเลขจีดีพีสิ้นหวัง ธ.โลกหั่นเหลือ 1.6% ไร้หนทางกระตุ้นแก้เศรษฐกิจชาติฟื้น รัฐบาลจนแต้ม อุ้มเพียงกลุ่มทุนใหญ่ไม่กระจายโอกาสสร้างเม็ดเงินใหม่
วันนี้ ( 30 เมษายน 2568) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พปชร. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ธนาคารโลกปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลงสู่ 1.6% ต่ำสุดในภูมิภาค จากที่เคยประเมินไว้ที่ 2.9% นายธีระชัยแสดงความกังวลว่า ประชาชนจะไม่สามารถตั้งความหวังกับการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ได้เลย และกรณีเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่บริษัทจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ ได้ประกาศลดอันดับไทยจาก “ทรงตัว” เป็น “โน้มลง” ก็ตอกย้ำด้วยว่า ประชาชนชาวไทยจะเผชิญความยากลำบากมากขึ้น

นายธีระชัยกล่าวว่าตนได้เคยเผยแพร่เตือนรัฐบาลหลายครั้ง ให้เตรียมรับมือพายุสมบูรณ์แบบ ซึ่งบัดนี้ธนาคารโลกก็ยืนยันพ้องกันแล้วว่า กำลังจะเกิดแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าที่สูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออก การบริโภค และการลงทุน แต่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้เตรียมรับมือไว้เลย ไม่เคยแนะว่าประชาชนควรจะวางแผนส่วนตัวอย่างไร
สำหรับ 3 แนวทางที่ธนาคารโลกเสนอเพื่อรับมือ คือ การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กระตุ้นผลิตภาพ การปฏิรูปเพื่อยกระดับการแข่งขัน และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น ประชาชนก็ไม่สามารถตั้งความหวังอะไรได้ เพราะสวนทางกับแนวทางที่ผ่านมาของรัฐบาล ที่เน้นการกู้หนี้มาแจกเงินหมื่น อันเป็นการเน้นให้เกิดผลต่อจีดีพีเร็ว ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีแรงส่งที่ยั่งยืน
“รัฐบาลที่จะทำตามคำแนะนำของธนาคารโลก จะต้องยึดหลักการวางนโยบายระยะยาว จะต้องเน้นการกระจายรายได้ กระจายโอกาส และจะต้องรื้ออุปสรรคต่อพ่อค้ารายย่อย ที่เกิดจากการผูกขาดโดยกลุ่มทุนของพรรคการเมือง รวมทั้งเร่งให้แบงค์แข่งขันกันมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลนี้ไม่ได้ทำ” นายธีระชัยกล่าว

ที่มา: https://www.facebook.com/pprpthailand/
วันที่: 1 พฤษภาคม 2568

“นายก ลุงตู่” กับพรรค “ลุงป้อม” ย้อนอดีตพรรคพลังประชารัฐ

,

อดีต “คลัง” ค้านกู้เงิน 5 แสนลบ. เพิ่มภาระ จับตา 5 ประเด็นแก้เศรษฐกิจ

ก่อนที่พรรคพลังประชารัฐจะมีแคนดินเดตนายกรัฐมนตรีชื่อ “พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หรือ “ลุงป้อม” และอยู่ในซีกพรรคฝ่ายค้าน (?) อย่างทุกวันนี้ ในอดีตช่วงเลือกตั้ง 2562 พรรคพลังประชารัฐเคยมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีชื่อ “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่หาเสียงด้วยสโลแกนยอดฮิต “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่”

หลังการเลือกตั้งจบลง ประชาชนได้ความสงบหรือไม่ก็ตามแต่จะประเมินกัน แต่ที่แน่ๆ พรรคพลังประชารัฐสามารถรวมเสียงข้างมากในสภาฯ ทั้ง สส.-สว. โหวต “ลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ทั้งผลการเลือกตั้ง กฎกติกาที่ใช้ รวมถึงสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลต่างๆ ทำให้คนในสังคมต่างตั้งคำถามว่า การเลือกตั้งครั้งแรกหลังยุคเผด็จการทหาร คสช. นี้บริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน? ว่าแล้วก็ลองย้อนไปดูบริบทคร่าวๆ กัน

คสช. เตรียมมาตรการรักษาอำนาจ?

ก่อนเลือกตั้ง คสช. ภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ เช่น การนำระบบการเลือกตั้งแบบใหม่มาใช้เพื่อลดจำนวนที่นั่งในสภาฯ ของพรรคการเมืองที่ทักษิณ ชินวัตร สามารถควบคุมได้ การแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ การแจกจ่ายทรัพยากรของรัฐให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยากจนหลายล้านคนผ่านโครงการต่างๆ ฯลฯ

ตั้งพรรคการเมืองเฉพาะกิจ?

กลยุทธ์พื้นฐานที่ คสช. ใช้ก็เฉกเช่นเดียวกับคณะรัฐประหารในอดีตที่ต้องการรักษาอำนาจผ่านการเลือกตั้ง โดยอาศัย “เจ้าพ่อ” ผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น และนักการเมืองที่มีชื่อเสียง (หลายคนเคยอยู่ในเครือข่ายทักษิณ) เพื่อจัดตั้งพรรคเฉพาะกิจ (ขณะนั้น) ในนาม “พรรคพลังประชารัฐ” นอกจากนี้ คสช. ยังแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อการรักษาอำนาจของตน อย่างกรณีที่พูดถึงกันมากคือ ออกแบบบัตรเลือกตั้งให้เกิดความสับสน

สว. 250 คน ที่ตั้งรอไว้แล้ว?

กฎเกณฑ์การเลือกตั้งใหม่ที่ คสช. นำมาใช้มีความซับซ้อนอย่างมาก ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่เข้าใจระบบการลงคะแนนอย่างถ่องแท้ ซึ่งระบบแบบใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเพื่อไทยสามารถชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนเสียงเลือก สส. จำนวน 500 คน ขณะที่ คสช. แต่งตั้ง สว. ไว้แล้ว 250 คน แถมนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจาก สส. โดยจะมาจากการเลือกร่วมกันของ สส. และ สว.

กกต. ขาดความโปร่งใส?

ในบรรดาความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งรอบนี้ กกต. ในฐานะหน่วยงานที่จัดการเลือกตั้งถูกตั้งคำถามจากหลายกรณี อย่างเช่นตัวเลขผลการเลือกตั้งคลาดเคลื่อนในหลายเขต แม้จะมีข้อเรียกร้องอย่างหนักจากพรรคการเมืองและกลุ่มภาคประชาสังคม แต่ กกต. กลับปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลการเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้งอย่างละเอียด นำไปสู่ความไม่พอใจอย่างกว้างขวางต่อความไร้ประสิทธิภาพและขาดความโปร่งใส จนมีการรณณรงค์ออนไลน์เพื่อถอดถอน กกต. ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

“สองลุง” ครองอำนาจต่อได้ แม้ความชอบธรรมเปราะบาง?

ต่อให้ผลการเลือกตั้งจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่ด้วยการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจาก สว. ทำให้พรรคพลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลางถึง 20 พรรค พลเอก ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เช่นเดียวกับพลเอก ประวิตรที่ได้นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ต่อ

แม้จะเป็นรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ (อันเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญ 2560) ประสบกับวิกฤตระดับโลกอย่างโควิด-19 ที่พ่วงมาด้วยความยากลำบากทางเศรษฐกิจ รวมถึงเผชิญกับการประท้วงจากกลุ่มเยาวชนครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ทศวรรษ 2510 แต่รัฐบาลนี้ก็ยังดำรงอยู่ท่ามกลางความไม่นิยมอย่างกว้างขวางนี้ได้ครบ 4 ปี

จนกระทั่งถึง “ทางแยกใหม่ทางการเมือง” ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคพลังประชารัฐเหลือเพียง “หนึ่งลุง” อีก “หนึ่งลุง” แยกพรรค ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยไปเป็นอีกแบบ พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้ …

ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอย: สมรภูมิการเมืองไทยสู่ความขัดแย้งใหม่ที่ยังไม่จบ
ผู้เขียน: ประจักษ์ ก้องกีรติ | ผู้แปล: ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
บรรณาธิการ: กษิดิศ อนันทนาธร

ทดลองอ่านได้ที่: https://bit.ly/4idRYQ2

#ประชาธิปไตยไทยที่ถดถอย #ประจักษ์_ก้องกีรติ #การเมืองไทย #คสช #พลังประชารัฐ
#สำนักพิมพ์มติชน #matichonbook

_____________________

ติดตามทุกช่องทางของสำนักพิมพ์มติชนที่
Line : @matichonbook
Youtube : @MatichonBooks
Tiktok : @matichonbook
Twitter : @matichonbooks
Instagram : matichonbook

ที่มา: https://www.facebook.com/matichonbook/
วันที่: 28 เมษายน 2568