โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ ปัญหาบัญชีม้า รัฐ–ธนาคารเดินหน้าเชิงรุก ปกป้องประชาชนทุกคน

, ,

ผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ ปัญหาบัญชีม้า รัฐ–ธนาคารเดินหน้าเชิงรุก ปกป้องประชาชนทุกคน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาบัญชีม้า พร้อมย้ำว่า ผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ไม่จำเป็นต้องรีบถอนเงินหรือปิดบัญชี เพราะมีมาตรการช่วยเหลือที่ดำเนินการได้ทันที ทั้งการนำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนที่ธนาคารเจ้าของบัญชี หรือโทรสายด่วน 1441 เพื่อปลดอายัดและกลับมาใช้งานบัญชีได้ตามปกติ

พร้อมอธิบายว่า ปัญหา บัญชีม้า มีความซับซ้อน เงินที่ถูกหลอกลวงมักถูกโอนต่อหลายทอด หากปล่อยให้หลุดรอดไปแล้วจะติดตามได้ยาก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการแก้เชิงรุก ด้วยการอายัดและปิดทุกบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหยุดเส้นทางการเงินและเร่งนำเงินคืนให้ผู้เสียหายโดยเร็ว พร้อมย้ำว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ถูกโยงเข้ากับบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว เช่น ถูกใช้ชื่อไปเปิดบัญชี หรือรับโอนเงินโดยไม่ทราบต้นทาง ซึ่งถือเป็นผู้บริสุทธิ์

ขอย้ำว่า “ประชาชนไม่ควรตกใจหรือแห่ถอนเงิน เพราะหากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด สามารถแก้ไขได้ทันทีด้วยการยืนยันตัวตนกับธนาคาร ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐยืนยันเดินหน้าเสนอแนวทางที่เข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองพี่น้องประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงิน และไม่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับผลกระทบจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ”

การเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

, ,

ประกาศพรรคพลังประชารัฐ

เรื่อง การเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

 

ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล ดำรง

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๘ และเพื่อให้การดำเนินการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรง
ตำแหน่งทางการเมืองเป็นไปตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๙๒ นั้น

พรรคพลังประชารัฐจึงขอเชิญชวนให้สมาชิกพรรคเสนอชื่อบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ
ต้องห้ามที่กฎหมายกำหนด และเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรมที่เห็นสมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2568

จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2568

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลและพร้อมที่จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง

,

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลและพร้อมที่จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง

ตามที่มีกระแสข่าวถึงการต่อรองและแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีผมเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ทำให้สับสนวุ่นวายนั้น

ผมใคร่ขอยืนยันต่อสาธารณชนว่า ผมมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลและท่านนายกรัฐมนตรีได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภาโดยไม่ต้องกังวลต่อการต่อรองหรือเรียกร้องใดๆ

ผมจึงใคร่ขอประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองที่จะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆในรัฐบาล รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามที่เป็นข่าว

เพื่อเปิดทางให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้เร่งสรรหาบุคคลที่เหมาะสมที่จะแก้ปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา และทะนุบำรุงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการต่อรองใดๆ โดยเอาประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

ผมยินดีที่จะสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและพร้อมใช้ความรู้ ประสบการณ์และเครือข่ายระหว่างประเทศด้านความมั่นคงของผมที่มี ถ้าสามารถจะเป็นประโยชน์ได้ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม และต้องการที่จะเห็นประเทศชาติของเราเดินหน้าสู่การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยเร็ว

“ลุงป้อม” ยืนยันทำงานทุกตำแหน่งเพื่อชาติและประชาชน

,

“ลุงป้อม” ยืนยันทำงานทุกตำแหน่งเพื่อชาติและประชาชน

มุ่งสร้างความมั่นคงชายแดน ดูแลความปลอดภัย และผลักดันกองทัพให้เป็นที่พึ่งของประชาชน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ ย้ำว่า “หัวใจนี้เพื่อชาติและประชาชน” พร้อมเดินหน้าสร้างความมั่นคงให้ชายแดนไทย ป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เพิ่มจุดตรวจและกำลังลาดตระเวน เพื่อให้ประชาชนทุกครอบครัวมีความปลอดภัยและบ้านเมืองสงบมั่นคงอย่างยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร หนุนสร้าง “กำแพงถาวร” ชายแดน พร้อมผลักดัน 4 แนวทางเร่งด่วน สร้างความมั่นคงถาวรให้ประชาชน

,

พล.อ.ประวิตร หนุนสร้าง “กำแพงถาวร” ชายแดน พร้อมผลักดัน 4 แนวทางเร่งด่วน สร้างความมั่นคงถาวรให้ประชาชน

วันนี้ 28 ส.ค.68 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเหตุระเบิดซ้ำซ้อนในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งส่งผลให้พลทหารอดิศร ป้อมกลาง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือเป็นทหารไทยรายที่ 6 จากเหตุลักษณะเดียวกัน สร้างความสะเทือนใจแก่ครอบครัวและประชาชนชายแดน พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนการสร้าง “กำแพงคอนกรีตถาวร” ตามแนวชายแดนเพื่อปกป้องประชาชน แนวคิดนี้เริ่มตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 และยังยึดมั่นจนถึงปัจจุบัน

ด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทสส. ยืนยันสนับสนุนทุกมาตรการของกองทัพ เตรียมให้กองทัพภาคที่ 1 และ 2 เริ่มสร้างกำแพงที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว และพรรคได้เสนอ 4 แนวทางเร่งด่วนคือ
1.ยืนยันอธิปไตยไทยทุกตารางนิ้ว
2.แถลงต่อสภาและประชาชนอย่างโปร่งใส
3.ตั้งคณะกรรมการวิสามัญติดตามสถานการณ์
4.เร่งสร้างกำแพงถาวร พร้อมเรียกร้องให้เยียวยาทหารผู้บาดเจ็บอย่างครบถ้วน

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินไทย ต้องได้รับการปกป้อง ประชาชนชายแดนต้องปลอดภัย ไม่ถูกรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่า” พร้อมยืนยันว่าพรรคจะผลักดันมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง

เปิดใจตอบคำถามสังคม “ที่พูดไม่ใช่เพิ่งนึกได้ แต่เพื่อชาติจึงต้องพูด”

, ,

เปิดใจตอบคำถามสังคม “ที่พูดไม่ใช่เพิ่งนึกได้ แต่เพื่อชาติจึงต้องพูด”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอชี้แจงประเด็น MOU 43–44 เพื่อตอบคำถามในสังคมที่ถามว่าทำไมเพิ่งพูด ขอย้ำว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง ตนสามารถควบคุม รักษาผลประโยชน์ และอธิปไตยของชาติได้เต็มที่ ด้วยประสบการณ์ด้านความมั่นคงที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านไม่กล้ารุกราน

แต่วันนี้ที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะเพิ่งนึกขึ้นมา แต่เพราะเห็นว่า หากปล่อยให้ผู้นำที่ไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งด้านความมั่นคงบริหารประเทศภายใต้ข้อตกลงนี้ ประเทศอาจเพลี่ยงพล้ำและเสียเปรียบได้ จึงถึงเวลาที่ต้องทบทวนอย่างจริงจัง

พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่าไม่หวั่นไหวต่อคำถากถางหรือเสียงวิจารณ์ เพราะสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอดคือผลประโยชน์สูงสุดของชาติ พร้อมย้ำว่าตลอดชีวิตได้อุทิศตัวเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และแม้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว ก็ยังยืนหยัดสู้เพื่อประเทศชาติอย่างไม่ถอย

“สุรเดช” ยัน พลังประชารัฐยืนหยัดเคียงข้างประชาชน มุ่งพาประเทศสู่ความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืน

, ,

“สุรเดช” ยัน พลังประชารัฐยืนหยัดเคียงข้างประชาชน มุ่งพาประเทศสู่ความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืน

วันที่ 22 ส.ค.68 นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองที่กำลังสร้างความกังวลในสังคม โดยระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน และการหาทางออกที่ยั่งยืนให้ประเทศ

นายสุรเดชกล่าวว่า ความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้น ไม่ควรถูกปล่อยให้บานปลายจนกระทบต่ออนาคตของชาติ ผู้นำรัฐบาลจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทในการเลือกผู้นำที่สามารถสร้างความศรัทธาให้กับประชาชนและสังคมได้อย่างแท้จริง

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐยึดมั่นมาโดยตลอด คือการไม่ยืนรอคอยโอกาส แต่พร้อมลงมือทำงาน เพื่อหาทางออกให้ประเทศ ดังนั้นทุกการตัดสินใจของเรา ไม่ได้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขทางการเมือง แต่ตั้งอยู่บนประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก” นายสุรเดชกล่าว

พปชร.เพชรบูรณ์ ผลักดันข้อเรียกร้องชาวไร่ข้าวโพดถึงรัฐบาล พร้อมเสนอ “Corn Realtime” เพื่อสร้างราคาที่เป็นธรรมและยุติการกดราคา

, ,

พปชร.เพชรบูรณ์ ผลักดันข้อเรียกร้องชาวไร่ข้าวโพดถึงรัฐบาล พร้อมเสนอ “Corn Realtime” เพื่อสร้างราคาที่เป็นธรรมและยุติการกดราคา

ตามที่ นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ และนายวรโชติ สุคนธ์ขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ รุดลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดที่รวมตัวชุมนุมมาตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม หลังราคาผลผลิตตกต่ำเหลือเพียง 3–5 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนยังเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ชาวไร่จำนวนมากได้รับความเดือดร้อน สส.เพชรบูรณ์ พปชร. จึงพาตัวแทนเกษตรกรเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเร่งให้รัฐบาลหามาตรการช่วยเหลืออย่างจริงจัง

พปชร.มีข้อเสนอ “Corn Realtime” โดยการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวตรวจสอบสต๊อกข้าวโพดแบบรายวัน โปร่งใส สามารถเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ กำหนดโครงสร้างราคาที่เป็นธรรม และบังคับให้โรงงานรับซื้อโดยไม่จำกัดคิว

พปชร.พร้อมเป็นที่พึ่งของเกษตรกร ไม่เพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังมีแนวทางปฏิรูปตลาดทางการเกษตร ป้องกันการถูกกดราคาสินค้า เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและเศรษฐกิจฐานรากไทย

พปชร.หนุนยกเลิก MOU 2543–2544

, ,

พปชร.หนุนยกเลิก MOU 2543–2544

พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมผลักดัน ย้ำผลประโยชน์ของชาติและประชาชนต้องมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยพรรคสนับสนุนการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 อย่างชัดเจน พร้อมขอบคุณนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี และทุกฝ่ายที่ยืนหยัดเพื่อประเทศ

ขอชี้ว่า MOU ทั้งสองฉบับมีข้อบกพร่องร้ายแรง ทั้งการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบทางการเจรจา รวมถึงการเปิดช่องให้ไทยต้องแบ่งผลประโยชน์ใต้เกาะกูดให้แก่กัมพูชา ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทยโดยชอบธรรม

พรรคขอย้ำว่าประเทศไทยสามารถประกาศยกเลิก MOU ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดอ้างข้อจำกัดที่ไม่มีอยู่จริง ที่สำคัญที่สุดคือการบริหารบ้านเมืองต้องตั้งอยู่บนรากฐานของ “ชาติและประชาชน” ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือครอบครัว เพราะหากประเทศชาติสูญเสีย ประชาชนก็จะเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง

พปชร. จี้ทวงคืนหนองจาน–สกัดกัมพูชารุกล้ำชายแดน พบหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 สนับสนุนรั้วลวดหนามและฟ้องศาลโลก

, , ,

พปชร. จี้ทวงคืนหนองจาน–สกัดกัมพูชารุกล้ำชายแดน พบหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 สนับสนุนรั้วลวดหนามและฟ้องศาลโลก

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่า ชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดกองทัพเรือพบคลิปหลักฐานทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 แม้สำนักข่าวของกัมพูชาจะโต้ว่าเป็นการจัดฉาก แต่ความจริงยังคงเป็นความจริง และเชื่อว่าหลักฐานนี้จะชี้ให้โลกเห็นถึงความไม่จริงใจของกัมพูชา ซึ่งเป็นการฉวยโอกาสจากความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไทยเคยมอบให้ พร้อมย้ำคำถามจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า รัฐบาลจะมีมาตรการใดในการทวงคืนผืนแผ่นดินและคืนความเป็นธรรมให้ประชาชนไทยที่ทนทุกข์มานานกว่า 40 ปี

พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนการติดตั้งรั้วลวดหนามในเขตชายแดน ซึ่งไม่ขัดต่อข้อตกลงคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เพราะเป็นมาตรการป้องกันการบุกรุกและการวางทุ่นระเบิด ที่อาจละเมิดอธิปไตยและคุกคามชีวิตประชาชนไทย

นอกจากนี้ พรรคยังผลักดันให้รัฐบาลฟ้องสมเด็จฮุน เซน และนายฮุน มาเนต ต่อศาลไทยและศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อเอาผิดการโจมตีพลเรือน การวางทุ่นระเบิด และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยย้ำว่าการปกป้องทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินไทยคือหน้าที่สำคัญ และพร้อมเดินหน้าทุกมาตรการเพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

, ,

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

โดยเฉพาะเกษตรกรที่ไม่คุ้นชินกับระบบภาษี พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่จัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและธุรกิจต่างชาติที่ยังเลี่ยงภาษีให้ครบถ้วนเสียก่อน พรรคย้ำรัฐบาลควรทบทวนเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในวงกว้าง

วันนี้ 19 ส.ค.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ว่าพรรคได้รับทราบนโยบายรัฐบาลซึ่งเตรียมปรับระบบการยื่นภาษีตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป จากเดิมที่บังคับเฉพาะเพียงผู้มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 10 ล้านคน ที่ต้องยื่นแบบภาษี จะเปลี่ยนเป็นให้ประชาชนทุกคนต้องยื่น โดยรัฐบาลอ้างว่าจะช่วยให้จัดทำสวัสดิการและดูแลผู้มีรายได้น้อยได้สะดวกขึ้น ภายใต้นโยบาย “Negative Income Tax (NIT)”

นายธีระชัยกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันไม่ขัดข้องต่อการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่เห็นว่านโยบายนี้จะสร้างภาระอย่างรุนแรง เพราะจำนวนผู้ที่ต้องยื่นแบบภาษีจะพุ่งจาก 10 ล้านคนเป็น 40–50 ล้านคน โดยเฉพาะเกษตรกรกว่า 25–30 ล้านครัวเรือนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์กรอกแบบภาษีมาก่อน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างทำบัญชี และเสี่ยงถูกดำเนินคดีหากกรอกผิดพลาด จะต้องรับผิดตามกฎหมายภาษีทั้งในทางแพ่งและทางอาญา

พรรคพลังประชารัฐยังตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า เหตุใดไม่เร่งแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีจากกลุ่มผู้มีรายได้สูงและธุรกิจซับซ้อน รวมถึงต่างชาติที่ยังไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง เช่น การปลูกต้นมะนาวหรือต้นกล้วยในที่ดินราคาแพงกลางเมืองเพื่อหลบภาษีอัตราแพง โรงงานผลิตเหล็กของชาวต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานและหนีภาษี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทยโดยไม่รัฐบาลไม่หาหนทางเก็บภาษี

สำหรับการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ นายธีระชัยระบุว่า ประเทศที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึง เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ล้วนเป็นประเทศที่มีฐานะร่ำรวย และแม้มีการทดลองนโยบาย NIT แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห แทนที่จะเน้นแต่เฉพาะกลุ่มเปราะบาง และการแจกเงินก้อนให้กลุ่มรายได้ต่ำ ก็จะเป็นภาระผูกพันงบประมาณระยะยาวตลอดไป และไม่สามารถแยกแยะว่าผู้ที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลต้องช่วยชดเชยเงินให้โดยอัตโนมัตินั้น ปัญหาเกิดจากเจ้าตัวตกงานหรือแท้จริงไม่ยอมหางานทำ

นายธีระชัยย้ำว่า ประเทศไทยมีฐานข้อมูลประชาชนรายได้น้อยอยู่แล้วจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาระบบใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ จึงขอให้รัฐบาลทบทวนอย่างจริงจัง เพราะนโยบายนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่กลายเป็นผู้แบกรับภาระหนักมาก

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

, ,

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

“ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา พิลึกพิลั่น หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้านเศรษฐกิจ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เปิดประเด็นน่าสนใจ ว่า “รัฐบาลฝัน ว่า ฝ่าวิกฤตชายแดน” วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา ภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC โดยชี้ให้เห็นพิรุธสำคัญ ดังนี้

1.ไม่สมควรยกย่องรัฐบาล ว่า ฝ่าวิกฤตปะทะไทย-กัมพูชา เพราะผลงานตกชั้นหลายอย่าง เช่น การสนับสนุนกองทัพ แต่กองทัพไทย ต้องหันไปอาศัยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แสวงหาอุปกรณ์โดรนมาเพื่อใช้บินหย่อนระเบิด จนภาพศักยภาพโดรนที่ปรากฎไปทั่วโลก ไม่ใช่โดรนที่สนับสนุนโดยรัฐบาล
2.การมีท่าทีด้อยค่าทหารไทย กรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีคลิประบุถึงการโจมตีวันที่ 29 ก.ค. หลังข้อตกลงหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค. จนทำให้กำลังพลเสียชีวิตและบาดเจ็บในบริเวณปราสาทตาควาย พูดเพียงว่า “ผมทราบที่มันเกิดขึ้นบางจุด เป็นทหารที่อาจจะไม่มีวินัย ได้มารบและตอบโต้”
3.ท่าทีปกป้องผู้นำกัมพูชา โดย พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีกัมพูชายังยิงโจมตีหลังข้อตกลงหยุดยิง ว่า อาจเป็นการกระทำโดยหน่วยในพื้นที่ เพื่อปกป้องระดับผู้นำกองทัพกัมพูชา ซึ่งการกระทำนี้ไม่จำเป็นและไม่สมเหตุผล
4.ลากยาวการเจรจา ภาษีทรัมป์ จนเสียหมากการทหาร ทั้งที่ในการรบฝ่ายไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งจำเป็นต้องขยายเวลาเพิ่ม เพื่อเก็บกู้และทำลายระเบิด เปิดทางให้ทางไทยรุกกลับคืนพื้นที่ได้ปลอดภัย แต่เมื่อ ไทย โดนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เดทไลน์หยุดยิง เพราะปมเจรจาภาษี ทั้งที่เห็นแล้วว่า ประเทศอาเซียน เวียดนาม ฟลิปินส์ อินโดนีเซีย เข้าเส้นชัยไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มีหวังจะได้อัตราต่ำว่า 19% แต่ทีมเจรจาไทยกลับยอมลากยาว สุดท้ายก็โดนบีบให้ยุติศึก ทั้งที่การศึกยังไม่บรรลุผล
5.ยอมให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในประเด็นกับระเบิด เพราะกัมพูชาจะไม่ต้องการตกลงในประเด็นกับระเบิด เพื่อยอมรับว่าตนปฏิบัติผิดกติกาสากล จึงต้องลอบใช้กับระเบิดป้องกันมิให้ทหารไทยรุกคืบ แต่ กระทรวงกลาโหม กลับไปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งไม่มีการบังคับให้กัมพูชาเคลียร์ปมกับระเบิด จนทำให้ วันที่ 9 ส.ค. มีทหารไทย 3 นาย บาดเจ็บจากกับระเบิดเพิ่มเช่นเดิม
6.การปฏิบัติตาม อนุสัญญาเจนีวา กรณี การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี ซึ่งข้อความภาษาอังกฤษในข้อตกลงนั้น ระบุชัดเจนว่า “If one side wishes to bring in its own wounded soldiers or civilians who are not under the control of the other side for medical treatment, the receiving side may determine its response based on the capacity of its medical facilities… on a case-by-case basis.”

ซึ่งมีความหมายว่า “พยายามให้คนเข้าใจผิดว่า การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในอีกฝ่ายเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา” ซึ่งเป็นเรื่องผิด เพราะอนุสัญญาเจนีวาครอบคลุมเฉพาะทหารที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในความควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงทหารบาดเจ็บที่ยังอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

“ในทางปฏิบัติ ฝ่ายไทยสามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้บาดเจ็บที่ฝ่ายกัมพูชาประสงค์ส่งมาได้ตามศักยภาพของโรงพยาบาล และตามดุลยพินิจ ไม่ใช่ข้อบังคับแบบตายตัวอย่างที่แปลเป็นไทย”

กรณีนี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักการเมืองไทย เพราะเปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” ใช้อำนาจเลือกปฏิบัติ “on a case-by-case basis” ในการให้การรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคล ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ไทยสามารถแสดงจุดยืนด้านมนุษยธรรมได้ โดยการเสนอให้ไปรักษาตัวในประเทศที่สาม เช่น มาเลเซียหรือสิงคโปร์

ส่วนสาระสำคัญ ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ไทย – กัมพูชา อาจสรุปได้ 6 ข้อ คือ 1.ยุติการใช้อาวุธและการโจมตีพลเรือนทุกกรณี 2.รักษาสถานะกำลังพลและห้ามเคลื่อนย้ายที่ตั้ง ตั้งแต่ 28 ก.ค. 2568 3.งดเว้นการยั่วยุและกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ชายแดน 4.ยืนยันการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาในการดูแลเชลยศึก 5.กำหนดกลไกตรวจสอบและสังเกตการณ์โดยอาเซียน และ 6.นัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์

โดยภาพรวม “การเจรจานี้ ถือว่ากลางๆ เน้นมาตรการป้องกันการล้ำเขตที่เหมาะสม และใช้ประเด็นเรื่อง Call Center, scammer กดดันกัมพูชาได้ในทางบวก” แต่ “ข้อ 6 กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะพูดเกินกว่าขอบเขตของอนุสัญญาเจนีวา และทำให้เกิดความรู้สึกถูกผูกมัดโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การใส่ข้อความเกินจำเป็นนี้ จะขยายความไม่พอใจต่อกัมพูชา และสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทย”

“ดังนั้น แทนที่จะหวังให้เป็นผลงาน ฝ่าวิกฤตชายแดน รัฐบาลนี้ควรจะถอยออกไป เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่อยู่ในแวดวงความขัดแย้ง เข้ามาทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียทางการเมืองและความมั่นคงในอนาคต”