โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

, , ,

พปชร. เตือนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฟังดูสวยหรู แต่คิดไม่รอบคอบ ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัล ฟังดูสวยหรู แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล หลังจากที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายอมรับว่า การดำเนินโครงการติดขัด เนื่องจากต้องรอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543

นายธีระชัยระบุว่า นโยบายนี้ฟังสวยหรูเหมือนแจกเงินดิจิทัลช่วงหาเสียง แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และไม่ได้คิดให้รอบคอบตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงคมนาคมพยายามหาทางเลือก เช่น การขอใช้งบกลาง แต่คณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่าไม่สามารถใช้ได้เพราะไม่ถือเป็นกรณีเร่งด่วน และการเริ่มโครงการก่อนแล้วชดเชยย้อนหลังก็ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย

นายธีระชัยชี้ว่า รัฐบาลต้องตระหนักว่าการออกกฎหมายเพื่อทำให้โครงการนี้เป็นจริง จะไม่สามารถมองแค่ใช้เงินจากกำไรสะสมของ รฟม. หรือเงินชั่วคราวจากงบกลาง ซึ่งพอใช้ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น รัฐบาลควรชี้ชัดต่อรัฐสภาและประชาชนว่า แต่ละปีจะใช้เงินเท่าไหร่ และหาแหล่งเงินจากที่ไหน พร้อมแสดงให้เห็นว่ากระแสเงินหมุนเวียนเพียงพอรองรับโครงการในระยะยาว

หากปราศจากข้อมูลที่ชัดเจน การผลักดันร่างกฎหมายทั้งสามฉบับให้ผ่านคงเป็นไปได้ยาก และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ดังนั้น การแถลงข่าวว่าจะเริ่มใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสายในวันที่ 15 พ.ย. 2568 จึงมีแนวโน้มเป็นเพียงโคมลอย

ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.รฟม. ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 แล้ว แต่ยังรอพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 รวมถึงการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ทำให้ไม่ทันกำหนดเดิม 1 ต.ค. 2568 คาดว่าจะต้องรอกฎหมายลูกอีกประมาณ 45 วัน จึงจะสามารถเริ่มใช้ได้จริงในวันที่ 15 พ.ย. 2568

พลังประชารัฐย้ำชัด MOU44 ทำไทยเสียเปรียบ

, ,

พลังประชารัฐย้ำชัด MOU44 ทำไทยเสียเปรียบ

ไม่สอดคล้องกฎหมายทะเลสากล UNCLOS 1982 อาจทำให้ประเทศสูญเสียทรัพยากรและสิทธิของประชาชน

ทางออกเดียวคือ ยกเลิก MOU44 ก่อน แล้วเจรจาฉบับใหม่บนกติกาที่ถูกต้อง เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

, ,

พปชร.เตือนนโยบายรัฐบาล ที่ในปี 2570 จะบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี จะกระทบเกษตรกร-ประชาชนกว่า 40–50 ล้านคน

โดยเฉพาะเกษตรกรที่ไม่คุ้นชินกับระบบภาษี พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่จัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงและธุรกิจต่างชาติที่ยังเลี่ยงภาษีให้ครบถ้วนเสียก่อน พรรคย้ำรัฐบาลควรทบทวนเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในวงกว้าง

วันนี้ 19 ส.ค.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ว่าพรรคได้รับทราบนโยบายรัฐบาลซึ่งเตรียมปรับระบบการยื่นภาษีตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป จากเดิมที่บังคับเฉพาะเพียงผู้มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 10 ล้านคน ที่ต้องยื่นแบบภาษี จะเปลี่ยนเป็นให้ประชาชนทุกคนต้องยื่น โดยรัฐบาลอ้างว่าจะช่วยให้จัดทำสวัสดิการและดูแลผู้มีรายได้น้อยได้สะดวกขึ้น ภายใต้นโยบาย “Negative Income Tax (NIT)”

นายธีระชัยกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันไม่ขัดข้องต่อการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่เห็นว่านโยบายนี้จะสร้างภาระอย่างรุนแรง เพราะจำนวนผู้ที่ต้องยื่นแบบภาษีจะพุ่งจาก 10 ล้านคนเป็น 40–50 ล้านคน โดยเฉพาะเกษตรกรกว่า 25–30 ล้านครัวเรือนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์กรอกแบบภาษีมาก่อน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างทำบัญชี และเสี่ยงถูกดำเนินคดีหากกรอกผิดพลาด จะต้องรับผิดตามกฎหมายภาษีทั้งในทางแพ่งและทางอาญา

พรรคพลังประชารัฐยังตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า เหตุใดไม่เร่งแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีจากกลุ่มผู้มีรายได้สูงและธุรกิจซับซ้อน รวมถึงต่างชาติที่ยังไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง เช่น การปลูกต้นมะนาวหรือต้นกล้วยในที่ดินราคาแพงกลางเมืองเพื่อหลบภาษีอัตราแพง โรงงานผลิตเหล็กของชาวต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานและหนีภาษี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทยโดยไม่รัฐบาลไม่หาหนทางเก็บภาษี

สำหรับการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ นายธีระชัยระบุว่า ประเทศที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึง เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ล้วนเป็นประเทศที่มีฐานะร่ำรวย และแม้มีการทดลองนโยบาย NIT แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห แทนที่จะเน้นแต่เฉพาะกลุ่มเปราะบาง และการแจกเงินก้อนให้กลุ่มรายได้ต่ำ ก็จะเป็นภาระผูกพันงบประมาณระยะยาวตลอดไป และไม่สามารถแยกแยะว่าผู้ที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลต้องช่วยชดเชยเงินให้โดยอัตโนมัตินั้น ปัญหาเกิดจากเจ้าตัวตกงานหรือแท้จริงไม่ยอมหางานทำ

นายธีระชัยย้ำว่า ประเทศไทยมีฐานข้อมูลประชาชนรายได้น้อยอยู่แล้วจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาระบบใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ จึงขอให้รัฐบาลทบทวนอย่างจริงจัง เพราะนโยบายนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่กลายเป็นผู้แบกรับภาระหนักมาก

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

, ,

พปชร. วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทยกัมพูชา “รัฐบาลฝันว่า-ฝ่าวิกฤตชายแดน” หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

“ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา พิลึกพิลั่น หวังเคลมผลงานฝ่าวิกฤติชายแดน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้านเศรษฐกิจ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เปิดประเด็นน่าสนใจ ว่า “รัฐบาลฝัน ว่า ฝ่าวิกฤตชายแดน” วิเคราะห์ถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่าง ไทย – กัมพูชา ภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC โดยชี้ให้เห็นพิรุธสำคัญ ดังนี้

1.ไม่สมควรยกย่องรัฐบาล ว่า ฝ่าวิกฤตปะทะไทย-กัมพูชา เพราะผลงานตกชั้นหลายอย่าง เช่น การสนับสนุนกองทัพ แต่กองทัพไทย ต้องหันไปอาศัยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แสวงหาอุปกรณ์โดรนมาเพื่อใช้บินหย่อนระเบิด จนภาพศักยภาพโดรนที่ปรากฎไปทั่วโลก ไม่ใช่โดรนที่สนับสนุนโดยรัฐบาล
2.การมีท่าทีด้อยค่าทหารไทย กรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีคลิประบุถึงการโจมตีวันที่ 29 ก.ค. หลังข้อตกลงหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค. จนทำให้กำลังพลเสียชีวิตและบาดเจ็บในบริเวณปราสาทตาควาย พูดเพียงว่า “ผมทราบที่มันเกิดขึ้นบางจุด เป็นทหารที่อาจจะไม่มีวินัย ได้มารบและตอบโต้”
3.ท่าทีปกป้องผู้นำกัมพูชา โดย พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีกัมพูชายังยิงโจมตีหลังข้อตกลงหยุดยิง ว่า อาจเป็นการกระทำโดยหน่วยในพื้นที่ เพื่อปกป้องระดับผู้นำกองทัพกัมพูชา ซึ่งการกระทำนี้ไม่จำเป็นและไม่สมเหตุผล
4.ลากยาวการเจรจา ภาษีทรัมป์ จนเสียหมากการทหาร ทั้งที่ในการรบฝ่ายไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งจำเป็นต้องขยายเวลาเพิ่ม เพื่อเก็บกู้และทำลายระเบิด เปิดทางให้ทางไทยรุกกลับคืนพื้นที่ได้ปลอดภัย แต่เมื่อ ไทย โดนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เดทไลน์หยุดยิง เพราะปมเจรจาภาษี ทั้งที่เห็นแล้วว่า ประเทศอาเซียน เวียดนาม ฟลิปินส์ อินโดนีเซีย เข้าเส้นชัยไปแล้ว ซึ่งก็ไม่มีหวังจะได้อัตราต่ำว่า 19% แต่ทีมเจรจาไทยกลับยอมลากยาว สุดท้ายก็โดนบีบให้ยุติศึก ทั้งที่การศึกยังไม่บรรลุผล
5.ยอมให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในประเด็นกับระเบิด เพราะกัมพูชาจะไม่ต้องการตกลงในประเด็นกับระเบิด เพื่อยอมรับว่าตนปฏิบัติผิดกติกาสากล จึงต้องลอบใช้กับระเบิดป้องกันมิให้ทหารไทยรุกคืบ แต่ กระทรวงกลาโหม กลับไปยอมรับข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งไม่มีการบังคับให้กัมพูชาเคลียร์ปมกับระเบิด จนทำให้ วันที่ 9 ส.ค. มีทหารไทย 3 นาย บาดเจ็บจากกับระเบิดเพิ่มเช่นเดิม
6.การปฏิบัติตาม อนุสัญญาเจนีวา กรณี การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี ซึ่งข้อความภาษาอังกฤษในข้อตกลงนั้น ระบุชัดเจนว่า “If one side wishes to bring in its own wounded soldiers or civilians who are not under the control of the other side for medical treatment, the receiving side may determine its response based on the capacity of its medical facilities… on a case-by-case basis.”

ซึ่งมีความหมายว่า “พยายามให้คนเข้าใจผิดว่า การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในอีกฝ่ายเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา” ซึ่งเป็นเรื่องผิด เพราะอนุสัญญาเจนีวาครอบคลุมเฉพาะทหารที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในความควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงทหารบาดเจ็บที่ยังอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

“ในทางปฏิบัติ ฝ่ายไทยสามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้บาดเจ็บที่ฝ่ายกัมพูชาประสงค์ส่งมาได้ตามศักยภาพของโรงพยาบาล และตามดุลยพินิจ ไม่ใช่ข้อบังคับแบบตายตัวอย่างที่แปลเป็นไทย”

กรณีนี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักการเมืองไทย เพราะเปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” ใช้อำนาจเลือกปฏิบัติ “on a case-by-case basis” ในการให้การรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคล ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ไทยสามารถแสดงจุดยืนด้านมนุษยธรรมได้ โดยการเสนอให้ไปรักษาตัวในประเทศที่สาม เช่น มาเลเซียหรือสิงคโปร์

ส่วนสาระสำคัญ ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ไทย – กัมพูชา อาจสรุปได้ 6 ข้อ คือ 1.ยุติการใช้อาวุธและการโจมตีพลเรือนทุกกรณี 2.รักษาสถานะกำลังพลและห้ามเคลื่อนย้ายที่ตั้ง ตั้งแต่ 28 ก.ค. 2568 3.งดเว้นการยั่วยุและกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ชายแดน 4.ยืนยันการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาในการดูแลเชลยศึก 5.กำหนดกลไกตรวจสอบและสังเกตการณ์โดยอาเซียน และ 6.นัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์

โดยภาพรวม “การเจรจานี้ ถือว่ากลางๆ เน้นมาตรการป้องกันการล้ำเขตที่เหมาะสม และใช้ประเด็นเรื่อง Call Center, scammer กดดันกัมพูชาได้ในทางบวก” แต่ “ข้อ 6 กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะพูดเกินกว่าขอบเขตของอนุสัญญาเจนีวา และทำให้เกิดความรู้สึกถูกผูกมัดโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การใส่ข้อความเกินจำเป็นนี้ จะขยายความไม่พอใจต่อกัมพูชา และสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทย”

“ดังนั้น แทนที่จะหวังให้เป็นผลงาน ฝ่าวิกฤตชายแดน รัฐบาลนี้ควรจะถอยออกไป เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่อยู่ในแวดวงความขัดแย้ง เข้ามาทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียทางการเมืองและความมั่นคงในอนาคต”

พปชร.เร่งรัฐรับมือปัญหาจากแรงงานต่างชาติ

, ,

พปชร.เร่งรัฐรับมือปัญหาจากแรงงานต่างชาติ

วันนี้ 31 ก.ค.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวเตือนให้รัฐบาลเตรียมเร่งรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

นายธีระชัยกล่าวว่าสถานการณ์มีความไม่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจจะกลับสู่ปกติเมื่อใด รัฐบาลจึงควรประกาศแผนรองรับสำหรับภาคธุรกิจได้แล้ว โดยเน้นหาทางออกให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ดังที่ตนเคยแถลงข่าวว่ารัฐบาลควรทบทวนการใช้งบประมาณ 157,000 ล้านบาท แทนที่จะทุ่มไปในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทั่วไป ควรกันส่วนหนึ่งมาเพื่อรองรับสถานการณ์นี้

”ภาคอุตสาหกรรมที่ถูกกระทบจากแรงงานกัมพูชากลับประเทศไปนั้น ส่วนใหญ่น่าจะมีความสามารถยืดหยุ่นโดยปรับขบวนการผลิต แต่ภาคเกษตรโดยเฉพาะธุรกิจที่อาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านในการเก็บผลไม้เป็นหลัก จะมีความเสี่ยงเกิดความเสียหายได้ง่าย รัฐบาลจึงต้องประกาศแผนรองรับแต่เนิ่นๆ“ นายธีระชัยกล่าว

“พปชร.” จัดประชุมสาขาพรรค จ.เชียงใหม่ ประกาศ “ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ นำ” ปชช.เป็นศูนย์กลางวางนโยบาย สร้างพลัง ต่อยอดในการสร้างชาติ

,

“พปชร.” จัดประชุมสาขาพรรค จ.เชียงใหม่ ประกาศ “ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ นำ” ปชช.เป็นศูนย์กลางวางนโยบาย สร้างพลัง ต่อยอดในการสร้างชาติ

พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)นำโดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบหมายให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และ หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ เปิดเสวนาเรื่อง”ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส”ในการประชุมใหญ่ สาขาพรรคภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ณ ห้องประชุมโรงแรมราชพฤกษ์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

โดย นายธีระชัย ได้กล่าวกับสมาชิกพรรคในช่วงหนึ่งว่า พรรคพลังประชารัฐขอเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัยด้วยอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในการปกป้องสถาบันและบริหารเศรษฐกิจทันสมัย เพื่อชีวิตที่สดใสให้กับคนไทยทั้งประเทศ พรรคการเมืองทุกพรรคมักจะเสนอนโยบายที่ต้องการให้ประเทศก้าวหน้า แต่วิธีการของแต่ละพรรคก็จะแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐเราเชื่อว่า ประเทศจะก้าวหน้าได้ก็เพราะประชาชน ถ้าประเทศก้าวหน้าแต่ประชาชนไม่มีศักยภาพ ไม่มีความรู้ ไม่สามารถทำงานได้เต็มกำลัง มีสุขภาพที่ไม่ดี และเครื่องมือในการทำงานก็ไม่ครบถ้วน ไม่ทันสมัย จะหวังให้ประเทศก้าวหน้าคงเป็นไปไม่ได้

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐจะนำประชาชนเป็นศูนย์กลางในการวางนโยบาย พรรคสร้างพลังให้ประชาชน เพราะประชาชนมีหน้าที่ในการสร้างชาติ จึงเป็นที่มาของชื่อพรรคพลังประชารัฐ ฟังมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะมองว่า อนุรักษ์กับทันสมัยมันไปด้วยกันไม่ได้ หลักคิดของของอนุรักษ์นิยมคือการ เอาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เอาไปต่อยอด เอาสิ่งที่ดีเป็นฐานในการพัฒนาและเอื้ออำนวยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ให้ประชาชนเป็นโอกาสในการที่จะก้าวหน้าในตัวเอง เพื่อที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ประชาชนจะสามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้าง

“อนุรักษ์นิยมทันสมัย สามารถแยกออกมาได้”5 อนุรักษ์ 5 ทันสมัย ได้แก่ อนุรักษ์สถาบัน,อนุรักษ์ผลประโยชน์ของชาติ,อนุรักษ์ทรัพยากรของชาติ,อนุรักษ์วัฒนธรรม และอนุรักษ์ระเบียบทางสังคม ในส่วนของ 5 ทันสมัย ได้แก่ เศรษฐกิจทันสมัย,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันสมัย,สิ่งแวดล้อมทันสมัย,สังคมทันสมัย และภาครัฐทันสมัย” นายธีระชัย กล่าว

ด้านหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ กล่าวว่า คำขวัญของพรรคพลังประชารัฐ “ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ”ถามว่า มันจะมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไรนั้น ตนมองว่า การปกป้องสถาบันที่ดีที่สุดก็คือ การทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี สิ่งที่สำคัญก็คือ ศักยภาพของประเทศไทย แม่หลายคนอาจจะมองว่าประเทศเราสู้กับประเทศอื่นไม่ได้แต่จากการที่ตนใช้ชีวิตอยู่ทั้งอเมริกาและอังกฤษกว่า 10 ปี ตนยืนยันว่า แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินที่ดีที่สุด ประเทศของเราเพียงแค่โยนเมล็ดผลไม้ลงไปในดินก็เติบโตเป็นต้น ออกดอก ออกผล แต่อย่างเมืองแคลิฟอร์เนียพื้นดินเป็นกึ่งทะเลทราย โยนอะไรไปก็ไม่ขึ้น วันนี้เราอยู่กับสิ่งที่ดีที่สุด แต่เรามองไม่เห็น ถ้าจะพูดว่าเราดีที่สุดในอาเซียนก็คงไม่แปลก และจากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐวันนี้สินค้าทางการเกษตรของเราถูกส่งออกไปขายที่ประเทศจีนจำนวนมาก

“อย่างเมล็ดกาแฟในภาคเหนือก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากคนดื่มกันทั่วโลก ความต้องการจากชาวจีนและยุโรปมีจำนวนมาก แต่เราจะยกระดับกาแฟเราให้เป็นกาแฟระดับโลกได้อย่างไร ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ รวมไปถึงที่ดินในการเพาะปลูก ผมมองว่าประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เราควรนำมาคุยกันเพราะจะสามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เราต้องรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์รวมไปถึงเรื่องการโปรโมทสินค้าให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่พรรคพลังประชารัฐของเราจะพยายามผลักดันต่อไป”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 กรกฎาคม 2567