โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรมพรรค

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.”จับเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ตั้งเป้าขอ ส.ส.20 ที่นั่งเดินหน้าหน้าพัฒนาประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.”จับเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ตั้งเป้าขอ ส.ส.20 ที่นั่งเดินหน้าหน้าพัฒนาประเทศ

เมื่อเวลา 07.50 น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค,นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ กรรมการบริหารพรรค,นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค , นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมืองพรรค และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม. เดินทางมาถึง อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง เพื่อสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การเป็นนักการเมืองต้องเข้มแข็ง เราต้องทำตามหน้าที่ โดยสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายเอาไว้ประมาณ 20 ที่นั่ง ของสส.บัญชีรายชื่อ และมั่นใจว่าได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และได้ชูมือสองข้างทักทายกองเชียร์และสื่อมวลชน มารอต้อนรับและสัมภาษณ์อย่างคับคั่ง พร้อมชูมือ กำหมัดข้างขวาขึ้น เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใจ เพื่อเดินเข้าไปยังตึกไอรวัฒพัฒนา อย่างมั่นใจ พร้อมด้วยทีมงานคณะบริหารของพรรค

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล-สกลธี”นำ 33 ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สักการะศาลหลักเมืองเอาฤกษ์เอาชัย ประกาศ ขอ ส.ส.กทม.มากกว่า 12 ที่นั่ง พร้อมเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเต็มสูบ

,

“ศ.ดร.นฤมล-สกลธี”นำ 33 ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สักการะศาลหลักเมืองเอาฤกษ์เอาชัย
ประกาศ ขอ ส.ส.กทม.มากกว่า 12 ที่นั่ง พร้อมเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเต็มสูบ

3 เมษายน 2566 เวลา 12.00 น. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.นํากลุ่มผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต ได้แก่ เดินทางออกจากอาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เพื่อมาสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหลวง เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ภายหลังไปสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.มาในช่วงเช้า

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐขอจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ กทม.ให้ได้มากกว่า 12 เขต ซึ่งมองว่าทุกพรรคการเมืองก็คงมาขอพรที่นี่เช่นกัน แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เราจะเอาความตั้งใจที่จะทำงานให้พี่น้องประชาชนมาสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

โดยนายสกลธี กล่าวว่า เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าพอสมัครเสร็จก็จะพาผู้สมัครมาสักการะศาลหลักเมือง เพื่อให้มาเอาฤกษ์เอาชัย จริงๆก็มีหลายที่ แต่วันนี้ขอมาเป็นที่เดียวก่อน สำหรับบรรยากาศการจับเบอร์วันนี้ ภาพรวมก็พอใจ มีพรรคการเมืองค่อนข้างเยอะ อาจจะล่าช้าไปบ้าง เพราะมีพรรคการเมืองจำนวนมาก

สำหรับ เบอร์ของผู้สมัคร พปชร. ภายหลังจากเข้าสู่กระบวนการเข้ารับสมัครและจับหมายเลขผู้สมัครทั้ง 33 เขตเสร็จสิ้นแล้ว ผลปรากฎดังนี้

เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง ได้หมายเลข 11
เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ได้หมายเลข 11
เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ ได้หมายเลข 15
เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ได้หมายเลข 8
เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน ได้หมายเลข 4
เขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ได้หมายเลข 10
เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ได้หมายเลข 12
• เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ได้หมายเลข 7
เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ ได้หมายเลข 8
เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล ได้หมายเลข 3
เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค ได้หมายเลข 7
เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น ได้หมายเลข 12
เขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ได้หมายเลข 8
เขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาล ได้หมายเลข 5
เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ได้หมายเลข 8
เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ ได้หมายเลข 12
เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี ได้หมายเลข 10
เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมี ได้หมายเลข 4
เขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา ได้หมายเลข 10
เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี ได้หมายเลข 1
เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ได้หมายเลข 2
เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ได้หมายเลข 1
เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ได้หมายเลข 5
เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน ได้หมายเลข 1
เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา ได้หมายเลข 2
เขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายอนุชาญ กวางทอง ได้หมายเลข 3
เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล ได้หมายเลข 12
เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง ได้หมายเลข 1
เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ ได้หมายเลข 7
เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ ได้หมายเลข 11
เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน ได้หมายเลข 1
เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ได้หมายเลข 6
เขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล ได้หมายเลข 15

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.พปชร.ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต ลั่นผลสรุปจำนวนที่นั่งอยู่ที่ ปชช.เลือก ย้ำ เยาวชนถามจุดยืน 112 เป็นเรื่องความคิดต่าง

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.พปชร.ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต
ลั่นผลสรุปจำนวนที่นั่งอยู่ที่ ปชช.เลือก ย้ำ เยาวชนถามจุดยืน 112 เป็นเรื่องความคิดต่าง

วันที่ 3 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชา,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และ นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.นํากลุ่มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า บรรยากาศในวันนี้คึกคัก เพราะมีหลายพรรคมาสมัคร โดยพรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายเท่าเดิม 12 ที่นั่ง ส่วนการจับเบอร์พรรคในวันพรุ่งนี้ตนก็อยากจะได้เป็นเลขตัวเดียว โดยพรรคพลังประชารัฐเราตั้งใจทำเพื่อประชาชน ยังไม่ได้คิดเรื่องอื่น วันนี้ก็รู้สึกกระฉับกระเฉง มีใจบันดาลแรงไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะได้เท่าไหร่ แล้วแต่ประชาชนจะเลือก

ส่วนเรื่องการขึ้นเวทีดีเบต พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ตนเองก็ยังไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่นักโต้วาที ส่วนในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือไม่ยังไม่ทราบ

ส่วนกรณีที่มีกลุ่มเยาวชนเคลื่อนไหวทางการเมืองและปะทะกับกลุ่มการ์ดของพรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า เราไม่ให้มีความรุนแรงอยู่แล้ว ได้บอกกับทางพรรคแล้ว คนคิดต่างทางการเมืองคิดได้ แต่คนไทยจะต้องเป็นหนึ่งเดียว รักกันสามัคคีกัน มีความปรองดอง ซึ่งเป็นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เราไม่ได้โกรธกัน

ด้านนายสกลธี ให้สัมภาษณ์ว่า การตั้งเป้า ส.ส.กทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอบวกลบให้ได้อย่างน้อยเท่าเดิม
ครั้งที่แล้วในสนาม กทม. ส.ส.ทั้ง 12 คนของ พปชร.เป็นคนใหม่ทั้งหมด ซึ่งในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง คน กทม.จะกาผู้สมัครหน้าใหม่เยอะ จึงไม่กังวลว่าจะเป็น ส.ส.เก่ากี่คน อยู่ที่ว่าพรรคเราจะทำตามแผนหาเสียงที่วางไว้ได้หรือไม่มากกว่า ซึ่งวันนี้เสียงตอบรับประชาชนที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐถือว่าดี โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ตนไปลงพื้นที่บางคอแหลม กระแสดีมาก

ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐได้ส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์

เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพนเขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กีบปัจจุบัน เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล

เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่นเขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำเขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาลเขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี

เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมีเขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ

เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธาเขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายอนุชาญ กวางทอง เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ และเขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 เมษายน 2566

“ชัยวุติ”ย้ำ เศรษฐกิจไทยดีจริงภายใต้การบริหารพปชร.ชี้ ชู”พล.อ.ประวิตร” คือคนประสานก้าวข้ามความขัดแย้ง “สกลธี”ขอโอกาสจากชาวฝั่งธนฯ พัฒนาด้วยกองทุนพัฒนาประเทศ

“ชัยวุติ”ย้ำ เศรษฐกิจไทยดีจริงภายใต้การบริหารพปชร.ชี้ ชู”พล.อ.ประวิตร” คือคนประสานก้าวข้ามความขัดแย้ง “สกลธี”ขอโอกาสจากชาวฝั่งธนฯ พัฒนาด้วยกองทุนพัฒนาประเทศ

พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ”พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ”ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.

โดยนายชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยไปได้ไกลกว่าที่เราคิดเยอะ จากข้อมูลของบริษัท SC Asset พบว่าในปี 63 มีกำไร 1,800 กว่าล้าน ,ปี 64 มีกำไร 2,000 กว่าล้าน และปี 65 มีกำไร 2,500 กว่าล้าน แล้วเศรษฐกิจไม่ดีจริงหรือ เมื่อมาดูจากบริษัทแสนสิริ ปี 63 กำไร 1,000 กว่าล้าน ,ปี 64 กำไร 2,000 กว่าล้าน ,ปี 65 กำไร 4,000 กว่าล้าน กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว ซึ่งจะเห็นว่ายอดขายบ้านสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจดี คนถึงมีเงินไปซื้อบ้าน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนก็ไม่มีเงินไปซื้อบ้าน ตนจึงขอยืนยันว่าเศรษฐกิจเข้มแข็งและเติบโตแน่นอน

“วันนี้เรามาถูกทางแล้ว รัฐบาลภายใต้การทำงานของพรรคพลังประชารัฐ 4 ปีที่ผ่านมา เราวางโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บ้านเมืองมั่นคง ถ้าประเทศไม่มั่นคง ประเทศไม่สงบ เราก็ทำมาหากินไม่ได้ ผมยืนยันว่า ลุงป้อมเป็นผู้ประสานงาน 10 ทิศ ประสานงานกับทุกคน เปิดบ้านตั้งแต่ ตี 5 ถึง 5-6 โมงเย็น ใครมีปัญหา ใครเดือดร้อนก็ไปพูดคุยกับท่าน ท่านแก้ปัญหาให้กับทุกคน ประสานงานกับทุกคน ทำให้วันนี้รัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี แล้วเราจะทำต่อไป จึงเป็นที่มาของนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ คือการเลือกผู้แทนของพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนมีคุณภาพที่คัดสรรมาให้พี่น้องประชาชน เราจะมาทำงานให้รัฐบาลเข้มแข็ง ให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี มาทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้า ดังนั้นวันที่ 14 พฤษภาคม กาทั้งคนทั้งพรรคให้ พลเอกประวิตร ไปทำงานประสานงานก้าวข้ามความขัดแย้งพัฒนาทุกพื้นที่

ด้านนายสกลธี กล่วว่า ตนอยู่การเมืองมา 16 ปี แต่เวลาขึ้นปราศรัยตนรู้สึกดีใจที่ประชาชนรักและสนับสนุนพวกเราทุกครั้ง เราจะทำทุกอย่าง นโยบายทุกข้อของพรรคพลังประชารัฐมาจากการลงพื้นที่ของพวกเราทุกคน เพราะเรารู้ว่าคนไทยอยากเห็นประเทศเดินทางไปในทิศทางไหน เราจะไม่ติดกับดักความขัดแย้งเดิม ๆ พอแล้วกับการหาเสียงแบบเดิมที่มาด่าทอ ป้ายสีกัน พรรคพลังประชารัฐจะสู้ด้วยตัวผู้สมัครและนโยบายของพรรคที่จะทำเพื่อประชาชนเท่านั้น

นายสกลธี กล่าวต่อว่า หลายคนถามว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคนี้เปิดกว้าง รับฟังคนทุกกลุ่ม ทุกปัญหา พรรคให้โอกาสทุกคน อย่างตนก็ได้ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเข้ามาทำงาน เช่นเดียวกับผู้สมัครของเราทุกคนที่สามารถนำเสนอความเดือดร้อนและปัญหาของประชาชนเพื่อนำมาผลักดันเป็นนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน โดยการรวมตัว ของ“พลังกรุงเทพฯ ของพลังประชารัฐ” จะเข้ามาพัฒนากรุงเทพฯของเรา เพราะรู้ปัญหาของชาว กทม.เป็นอย่างดี ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของพรรคเราได้เข้าไปลงมือทำ โดยเรามั่นใจว่าจะทำกรุงเทพฯให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน ขอเพียงแค่โอกาสจากชาวฝั่งธนที่จะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของเรา

น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) กล่าวว่า จากการเข้าไปสัมผัสพื้นที่ในฝั่งธนอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เราพยายามจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่ารายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยว ดังนั้นการที่ฝั่งธนมีวิถีชีวิตชุมชน ที่สามารถส่งเสริมชุมชนอย่างครบวงจร โดยการชูความโดดเด่นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ในพื้นที่ให้เป็นมรดกของชาติ ซึ่งเห็นแนวทางในการเข้าไปต่อยอดชุมชน เพื่อความสวยงามและสะอาดมากยิ่งขึ้น และมีความปลอดภัย ซึ่งพรรคมีนโยบายที่จะทำให้เกิดกองทุนที่จะพัฒนาขึ้นมูลค่า 300,000 ล้านบาท สร้างเศรษฐกิจให้กับชุมชน เพื่อมาช่วยกันแก้หนี้และเติมทุนนำไปใช้ในการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างในมิติต่างๆให้ชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ จากความที่เป็นพื้นที่วัฒนธรรมทรงคุณค่าอย่างมาก โดยเฉพาะวัดอรุณ ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองไทย ซึ่งต่างชาติรู้จัก เพราะว่าพระปรางค์วัดอรุณ เราจะนำเอาสิ่งที่ดีของชาวฝั่งธนฯ พัฒนาพื้นที่ตลอดสายน้ำเพื่อสร้างซอฟพาวเวอร์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยกระดับชุมชนให้ความเข้มแข็ง

น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง) กล่าวว่า ผมมีความตั้งใจที่จะมาร่วมสร้างอนาคตที่ดี ไปพร้อม ๆ กับพี่น้องประชาชน และมั่นใจ ว่าผมทำได้จริง เรามาสร้างอนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่สำคัญที่สุดคือล้วงกระเป๋าและเจอตังค์ วันนี้ 2 นโยบาย ที่จะมานำเสนอ เรื่องที่ 1. ปัจจุบันประเทศไทย ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ เขตทวีวัฒนาตลิ่งชันเป็นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ โดย เราจะร่วมผลักดันให้เกิดศูนย์ดูแลผู้สูงวัยให้คนสูงวัยในพื้นที่ได้มีอาชีพ มีรายได้ เชื่อว่าสามารถทำได้จริง เป็นการส่งเสริมผู้สูงอายุอยู่อย่างมีสุขภาพที่ดี มีคนดูแลอยู่กับลูกหลานไปนานๆ
เรื่องที่ 2 ในพื้นที่ทวีวัฒนาและตลิ่งชัน เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตรกรรม โดยเฉพาะตลาดน้ำคลองลัดมะยม พรรคพลังประชารัฐ และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งตลาดน้ำคลองลัดมะยม ผมจะพัฒนาตลาดน้ำคลองลัดมะยมเป็น Landmark แห่งใหม่ของตลิ่งชันและมีวัฒนธรรมเอานักท่องเที่ยวมาสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดติวเข้มผู้สมัครทุกเขตเข้าใจค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ลงบันทึกแม่นยำอย่างถูกต้องตามประกาศกกต.ลดช่องว่างถูกร้องเรียน

,

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดติวเข้มผู้สมัครทุกเขตเข้าใจค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ลงบันทึกแม่นยำอย่างถูกต้องตามประกาศกกต.ลดช่องว่างถูกร้องเรียน

1 เมษายน 2566 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานในการเปิดกิจกรรมฝึกอบรม ว่าที่ผู้สมัครและตัวแทนว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ที่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจำปี 2566 ให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ในเรื่อง กำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยมีนายวรวงศ์ ระฆังทอง นายกสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย เป็นวิทยากรให้ความรู้ ความเข้าใจในกิจกรรมอบรมครั้งนี้

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคมีความเป็นห่วงใยในว่าที่ผู้สมัครของพรรคทุกคน ในเรื่องข้อปฎิบัติ และระเบียบกกต. เนื่องจาก การจัดการเลือกตั้งแต่ละปีมีความแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2554 ปี2562 และปี 2566 แต่ละปีมีระเบียบ การแสดงบัญชีรายจ่าย ในการหาเสียงเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงกฎระเบียบ ไม่เฉพาะเรื่องการเงิน รวมถึงวิธีการรณรงค์หาเสียงที่เปลี่ยนไป ดังนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ว่าที่ผู้สมัคร 400 เขต ต้องมีความเข้าใจในระเบียบ และวิธีปฏิบัติและการลงบัญชีให้ถูกต้อง เพื่อลดช่องว่างการถูกร้องเรียนจากการเลือกตั้ง เพราะว่าที่ผู้สมัครส่วนใหญ่กว่า300 คนเป็นว่าที่ผู้สมัครหน้าใหม่ ไม่เคยลงรับเลือกตั้งในสนามใหญ่ จำเป็นต้องให้ความรู้และความช่วยเหลือ เพื่อการเตรียมความพร้อมการเข้าไปทำหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ในสภาฯได้อย่างสมบูรณ์

“ พรรค พร้อมให้การสนับสนุนทุกเรื่องอย่างเต็มที่ หากมีข้อข้องใจ พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดทำบัญชี และการแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เป็นไปตามระเบียบทุกประการ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการให้สมาชิกของพรรค ทุกคนมีแผน และความพร้อมทุกด้านในการลงพื้นที่ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่มีปัญหา อุปสรรคใดๆในระหว่างการหาเสียง เพื่อให้ทุกคนสามารถมีโอกาสเป็นตัวแทนของพรรค โดยไม่ถูกโต้แย้งหรือร้องเรียน จากทุกฝ่าย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่องย้ำนโยบายพปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม เลือก”พล.อ.ประวิตร”เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

,

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่องย้ำนโยบายพปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม เลือก”พล.อ.ประวิตร”เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 17.30 น.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีปราศรัย วัดลาดทราย อ.วังน้อย จ.พระนครอยุธยา โดยมีนายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 นายภูมินทร์ มงคลกาย เขต 5 นายชณทัต ปัทะมะภูวดล เขต 3 แนะนำตัวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเสนอนโยบายที่มุ่งช่วยปากท้องชาวอยุธยา

นายสันติ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 เขต มีความตั้งใจที่จะเสนอตัวในการรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างจริงใจและจริงจัง และขอให้มั่นใจได้ว่า ทุกคนเป็นพลังของพรรคพลังประชารัฐ เป็นพื้นที่ความหวัง และความตั้งใจของพรรค ที่ทุกคนจะสามารถได้รับการตอบรับจากประชาชน เลือกมาเป็นตัวแทนที่สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมกับนำความเจริญและเดินหน้าพัฒนาจังหวัด ทั้งในด้านการส่งเสริมอาชีพ สร้างความก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของพรรค และรัฐบาล

นายสันติ กล่าวต่อว่า นอกจากนโบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน เรายังมีนโยบายบุตร ธิดา ประชารัฐ เพื่อส่งเสริมด้านสุขอนามัย และลดภาระการเลี้ยงดูบุตร ให้กับสตรีผู้เป็นเพศแม่ ซึ่งถือเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการเพิ่มจำนวนประชากร เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างบุคลากรเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป แต่ต้องยอมรับประเทศประสบปัญหา ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้พรรค ออกนโยบายดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มเงินเบี้ยสวัสดิการประชารัฐ 345 678 ที่พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปได้ 3,000 บาท 70 ปี 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท

“ส่วนเป้าหมายที่จะสร้างแหล่งเงินให้เข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ผ่านนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งจะดำเนินการให้เป็นจริง แต่ต้องอาศัยเสียงพี่น้องประชาชน มอบความไว้วางใจให้กับ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีและว่าที่ผู้สมัครพปชร.เป็นรัฐบาล เพื่อนำนโยบายต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือ รวมถึงการแก้ไขระเบียบการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน โดยให้นำเงินฝากที่อยู่ในระบบ 19-20 ล้านล้านบาท ต้องกำหนดให้แบ่งสัดส่วนการปล่อยกู้อย่างทั่วถึง แบ่งเป็นการจัดสรรเงินฝากในสัดส่วน 50% เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับประชาชนทั้งคนชั้นกลาง ผู้มีรายได้น้อย โดยให้พี่น้องประชาชน ที่มีความต้องการวงเงินไม่เกิน ระดับ 100,000-500,000 บาท นำไปพัฒนาอาชีพ ไม่ใช่กระจุกไว้ปล่อยสินเชื่อเพียงระดับบนเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถลืมตาอ้าปากได้”

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนดีใจที่เห็นพี่น้องชาวอยุธยามารับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก พปชร. เนื่องจากพรรคมี นโยบายเพื่อประชาชนออกมาจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ได้สื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ โดยเชื่อว่าประชาชนเข้าใจ และรับรู้นโยบายดีๆ ทั้งนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ เพิ่มเป็น 700 บาท นโยบายดูแลผู้สูงอายุ และนโยบายมารดาประชารัฐ ซึ่งพรรคดูแลได้ทุกกลุ่ม และทำได้ทันที

“ที่ผ่านมา พปชร.ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นผู้ประสานทุกฝ่าย และมีส่วนสำคัญทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ บริหารประเทศได้ 4 ปีเต็ม ซึ่งพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ถือว่ามีเศรษฐกิจที่ดี ค้าขายขยายตัวเจริญรุ่งเรือง ลูกหลานมีอาชีพ และเพื่อให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ สำคัญอย่างยิ่ง คือความสงบสุข ที่จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่น ให้กับทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน ในอยุธยาเพิ่มขึ้น นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นต่อไป เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประชาชนบางส่วนยังประสบปัญหาความยากจน พปชร. ไม่เคยมองข้าม โดยที่ผ่านมาได้ร่วมผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะพื้นที่อ. บางบาน ที่มีปัญหามาก ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้ผลักดันให้มีการขุดคลองระบายน้ำเพิ่มขึ้นอีก 1 สายเพื่อเร่งระบายน้ำไม่ให้เกิดการท่วมขัง
การที่พรรคฝ่ายตรงข้ามพูดสิ่งไม่ดี บอกว่า 8 ปี ไม่มีอะไรเลยนั้น ผมยอมรับว่า หลายคนยังมีความลำบาก แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ในฐานะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต และสามารถทำการค้าผ่าน ระบบสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ การนำระบบอินเตอร์เนตเพื่อสนับสนุนการค้าระบบใหม่ เพราะวันนี้เมืองไทยพัฒนาไปไกลมากแล้ว เพียงแค่ทุกคนสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารผ่านระบบสมาร์ทโฟน ก็เข้าไปขายสินค้าสร้างรายได้รูปแบบใหม่ได้ และยังมีอีกหลายโครงการที่จะทำให้ พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด

“หากพล.อ.ประวิตรได้เป็นนายก เพิ่มเงินเป็น 700 บาทแน่นอน ต้องบอกว่า วันนี้มีสีเสื้อไม่มีอีกแล้ว หาก บ้านเมืองยังมีปัญหา ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นักการเมือง ประชาชน ทะเลาะกัน หากเลือกเรา พปชร. ก็จะได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่ได้เข้าไปจัดตั้งรัฐบาล พร้อมทำงานให้ประชาชน เพราะเราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราทำทุกนโยบายได้ทันที การจัดตั้งรัฐบาลได้ ความขัดแย้งไม่เกิด เราต้องจับมือ เลือกตั้งพรรคที่ดี ไม่ได้เลือกตั้งเพราะเปลี่ยนประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เรายึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องปกป้องรักษา ดังนั้นวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้พี่น้อง ประชาชน เลือกทั้งคนและพรรค เพื่อให้ พปชร.ได้เป็นรัฐบาล พร้อมดูแลพี่น้องประชาชน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ตรวจพื้นที่รับน้ำเสีย แหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำทะเล บางตะบูน เพชรบุรี หวั่นสร้างผลกระทบอาชีพประมงพื้นบ้าน เร่งพัฒนาแหล่งน้ำให้สมบูรณ์ รับท่องเที่ยวขยายตัว ฟื้นศก.ท้องถิ่น

,

“พล.อ.ประวิตร” ตรวจพื้นที่รับน้ำเสีย แหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำทะเล บางตะบูน เพชรบุรี
หวั่นสร้างผลกระทบอาชีพประมงพื้นบ้าน เร่งพัฒนาแหล่งน้ำให้สมบูรณ์ รับท่องเที่ยวขยายตัว ฟื้นศก.ท้องถิ่น

เมื่อ 31 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผอ.กอนช. ได้ลงพื้นที่ไปยัง เทศบาล ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี และร่วมหารือกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมของจังหวัดเพชรบุรี จาก ผวจ.และสภาพปัญหา ผลกระทบของน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ ต.บางตะบูน จากนายกเทศมนตรี รวมทั้ง รับทราบรายงานแผนงานและโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญ และแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ใน 3 จังหวัด (ราชบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรี) จากเลขาฯ สทนช.

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบาย การปฎิบัติงานที่สำคัญ เนื่องจากปัจจุบัน จ.เพชรบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวและมีกิจกรรมหลากหลายด้าน จึงมีความต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูงมาก และในบางพื้นที่ยังมีปัญหา สภาพน้ำเน่าเสีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของพี่น้องประชาชน โดยได้กำชับ สทนช.ให้เร่งบูรณาการทุกหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ ในพื้นที่รอยต่อ 3จังหวัด (ราชบุรี-สมุทรสงคราม-ประจวบคีรีขันธ์) และปฏิบัติตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง โดยเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำ เทศบาล ต.บางตะบูน ต้องดูแลการใช้น้ำในพื้นที่ให้มีคุณภาพ และเพียงพอต่ออนาคต และลดการสูญเสียของน้ำในระบบ ด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ เป็นจำนวนมากอย่างใกล้ชิด เป็นกันเอง พร้อมทั้งได้สะท้อนความห่วงใยจากรัฐบาล ที่มีต่อประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน ในความจำเป็นที่ต้องการใช้น้ำมากขึ้นในอนาคตและจะพยายามให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ จากปัญหาน้ำเสีย ทำให้หอยแครงพื้นบ้านมีปริมาณลดลง โดยคำนึงถึงความผาสุขในวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นสำคัญ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ’ ติดตามพัฒนาแหล่งน้ำเมืองท่องเที่ยว หัวหิน คาดความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นปชช.ปลื้ม แก้ปัญหาเร็ว-ได้ผล

,

“พล.อ.ประวิตร” ’ ติดตามพัฒนาแหล่งน้ำเมืองท่องเที่ยว หัวหิน คาดความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นปชช.ปลื้ม แก้ปัญหาเร็ว-ได้ผล

เมื่อ 31 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี เพื่อติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำ การบริหารจัดการน้ำ และการผลิตน้ำประปาคุณภาพโดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก ประจำรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอนช.ร่วมลงพื้นที่ พร้อมสักการะ องค์หลวงปู่ทวด และถวายสังฆทาน แด่เจ้าอาวาส เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยมงคลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ และสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 14 เพื่อประชุมหารือร่วมกับ จังหวัด ,สทนช. ,กรมชลประทาน และผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค โดยรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัด ซึ่งมี ลำน้ำทั้งหมด 6 ลุ่มสาขา ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ รวม 220 ล้าน ลบ.ม.ได้รับการสนับสนุนงป. จากรัฐบาล ปี 61-65 จำนวน 781 โครงการ, ปี65 จำนวน 13 โครงการ,ปี66 จำนวน 21 โครงการ, และโครงการสำคัญอีก 5 โครงการ สำหรับ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคลฯ ก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย ช่วงฤดูน้ำหลาก มีความจุอ่างฯ 5.85 ล้าน ลบ.ม.

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายที่สำคัญ โดยกำชับ สทนช. ให้เร่งรัดการดำเนินงานตาม 10มาตรการรองรับฤดูแล้ง พร้อมย้ำให้ กรมชลประทาน เร่งบริหารจัดการแหล่งเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการใช้น้ำ ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปา ต้องผลิตน้ำที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ สำหรับบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นและรับฟังข้อเรียกร้อง/ข้อคิดเห็น อย่างเป็นกันเอง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้สอดคล้อง ตรงตามความต้องการของประชาชน ต่อไป ซึ่งได้มีชาวบ้านสะท้อนความรู้สึก และกล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร กับ รัฐบาล ที่มีความจริงใจ ทุ่มเทแก้ปัญหาน้ำ และอื่นๆ อย่างได้ผล และรวดเร็ว สามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากในปัจจุบัน พร้อมยังได้กล่าวสนับสนุนลุงป้อม อยากให้เป็นนายกฯ คนต่อไปด้วย จากนั้น พล.ประวิตร และคณะได้เดินทางไปตรวจราชการต่อในพื้นที่ จ.เพชรบุรี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ประกาศ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน เปิดขุนพล400เขต ชู นโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่โอกาสใหม่ ทำได้ทันที

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 30 มีนาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ” ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

“ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว

“ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 28 มี.ค. 2566 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเสวนา “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” ที่จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

โดย ดร.อุตตม ได้แสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า ปรัชญาในการทำนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ คือทำอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่จัดทำยุทธศาสตร์โดยการระดมทุกภาคส่วน และนโยบายต้องทำได้จริง เพราะประเทศไทยไม่มีเวลาลองผิดลองถูก เราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ โดยพรรคพลังประชารัฐ ขอนำเสนอนแนวทางฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน ด้วยนโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด โดย 3 นโยบายเร่งด่วน คือการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติ ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชนและผู้ประกอบการให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนให้จริงจังด้วยวิธีใหม่ และสร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการคนไทย เสริมทักษะ และพัฒนาคนไทย โดยมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งเป็นบัตรเพื่อการพัฒนา และดูแลสวัสดิการ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย และการลงทุนปฐมวัย ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

ขณะที่ 8 นโยบายเร่งรัด เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้โตยั่งยืน ดร.อุตตม ระบุว่า ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคเกษตร และวิสาหกิจชุมชน พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สร้างเศรษฐกิจใหม่สู่อุตสาหกรรม S-curve เพื่อให้อุตสาหกรรมประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจฐาน BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอีอีซี รวมถึงขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ ให้ทั่วทุกภาค 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน ราง ทางน้ำ และอากาศ รวมไปถึงยกระดับโครงสร้างดิจิทัล พัฒนาเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วที่สุดต้นทุนงถูก เพื่อต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง

ดร.อุตตม กล่าวต่อว่า 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยให้นักเรียนนักศักษาระดับอาชีวะ ปวส. เรียนฟรีมีงานทำ ด้วยการทำแพลทฟอร์มเชื่อมแหล่งงานกับสถานศึกษ นักศึกษาสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ขณะที่แรงงานเดิมจะส่งเสริมให้เข้าสู่โปรแกรมยกระดับทักษะให้ตรงกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ไปพร้อมกัน 6. ปฎิรูประบบราชการ และแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ และกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการผลักดันงบประมาณในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว ขณะที่การกระจายอำนาจท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมงบประมาณไปขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชันเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ มีการเพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ดร.อุตตม ยังได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันว่า เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ที่บั่นทอน และขัดขวางการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด โดยทีดีอาไอ เคยประเมินไว้ว่าในแต่ละปีความสูญเสียจากการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าว เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ซึ่งจะต้องดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. ประชาชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เปิดเผยเรื่องทุจริต 2. ภาครัฐ ต้องนำเรื่องเทคโนโลยีแพลทฟอร์มออนไลน์เข้ามาใช้ในการให้บริการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสามารถติดตามได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

,

“พล.อ.ประวิตร”นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด
ลั่น ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช.ส่งนั่งนายกฯคนที่ 30

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 26 มีนาคม ณ ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร.,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย โดยมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.กำแพงเพชร ทั้ง 4 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ประกอบไปด้วย นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ ,นายไผ่ ลิกค์ เขต 1 ,นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ,นายอนันต์ อำนวยผล เขต 3 ,นายปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4 โดยบรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน มีการชูป้ายข้อความ นายกฯ คนที่ 30 มาแล้ว ,ประชารัฐ 700 และเรารักลุงป้อม รวมถึงมีการส่งเสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวในเวทีปราศรัยกับประชาชนว่า ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดกำแพงเพชร เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะก้าวข้ามยากจน ความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดกำแพงเพชรขึ้นอยู่กับความร่วมมือกับชาวกำแพงเพชรและ พปชร. ซึ่งพวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวกำแพงเพชร เราจะร่วมมือกันที่จะพัฒนาจังหวัดกำแพงเพชรให้เจริญอย่างยั่งยืน พรรคพลังประชารัฐได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน ขอให้เลือกผู้สมัครของเราทั้ง 4 คนด้วย

“พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการลดราคาน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ให้กับทุกคน และเราก็จะดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงแม่และเด็กในทุกช่วงวัย”
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที

“ขอโอกาสจากทุกคน เราจะนำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานประสานเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้ และนำพาคนเก่ง ๆ มาทำงานให้กับประชาชนได้”

ด้านนายวราเทพ กล่าวปราศรัยว่า ในตอนนี้จังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดที่เนื้อหอมมากที่สุดเพราะทุกพรรคการเมืองอยากจะได้ทีม ส.ส.ชุดนี้ไปอยู่ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพ เมื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วประชาชนจะให้การสนับสนุน ตอนนี้ขอเพียงแค่ชาวกำแพงเพชรให้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเมื่อครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถดำเนินการนโยบายต่างๆได้ทั้งหมด แต่ครั้งนี้ หาก พล.อ.ประวิตร ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี นโยบายทุกข้อที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเอาไว้กับประชาชน จะถูกผลักดันและดำเนินการในทันที

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า จังหวัดกำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่มีโอกาสที่จะมีตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกคนถึงห้าท่าน ตนการันตีว่าทั้งห้าคนทำงาน ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ ฝากไปบอกพรรคอื่นเลยว่าใครที่คิดจะเข้ามาตีกำแพงเพชรเป็นไปไม่ได้ เพราะเราจะตั้งป้อมไว้หน้ากำแพงเพชรใครเข้ามาเอาตีป้อมของเราได้

“พลังประชารัฐของเราจะก้าวข้ามความขัดแย้งสีเหลืองสีแดงจะไม่มีเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก เรามีธงชาติคืนเดียวสามสีคือขาว แดง น้ำเงิน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทรงอยู่คู่กับคนไทยนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ผมขอประกาศทำสงครามกับที่ดินเถื่อน ที่ทำกินของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่มีที่ดินเถื่อน”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าว พรรคพลังประชารัฐมีบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ อย่างเช่น ท่านวราเทพ ที่ถือเป็นเพชรเม็ดงามชาวกำแพงเพชร เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายดี ๆ เพื่อประชาชนอย่าง บัตรประชารัฐ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเราจะดูแลกลุ่มเปราะบางอย่าง ผู้สูงอายุ

นายชัยวุฒิ ได้กล่าวว่า ขอขอบคุณชาวกำแพงเพชรที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเลือกผู้สมัครเรายกจังหวัด ครั้งนี้นโยบายของเราประชาชนได้ประโยชน์จริง เราทำจริง สิ่งใดที่เคยทำเอาไว้แล้วประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชนเราก็จะทำต่อไป

“บางพรรคการเมืองคิดไกลเกินไป ผมรู้ว่าคิดอะไร บอกไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล แล้วอยากเปลี่ยนอะไร ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ปลุกระดมประชาชน เนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ การก้าวข้ามความขัดแย้งจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น เรื่องไหนที่ประชาชนทะเลาะกัน เราจะไม่พูด เราจะไม่ทำ บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนก็อยู่ดีมีสุข แต่ถ้าเราไม่ยอมก้าวข้าม แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีอยากจะเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่คนไทยรับไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องกลับมาทะเลาะกันอีก ผลสุดท้าย คนไทยทุกคนคือ คนที่เดือดร้อน”

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่าง ๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 มีนาคม 2566

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

,

“ร.อ.ธรรมนัส” เชื่อชาวกำแพงเพชรเทคะแนนให้ผู้สมัครส.ส. พปชร.ทั้ง 4 เขต
หลังโชว์ผลงานสร้างชื่อในสภาฯ มั่นใจเลือกตั้งครั้งนี้ภาคเหนือได้มากกว่าเดิม

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานภาคเหนือ กล่าวว่า ส.ส.หน้าเก่าของพรรคพลังประชารัฐทั้ง 4 คน ได้แก่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ท่าน ได้แก่ ส.ส.สุรสิทธิ์ วงษ์วิทยานันท์ (บัญชีรายชื่อ) ส.ส.ไผ่ ลิกค์ เขต 1 ส.ส.เพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 ส.ส.อนันต์ ผลอำนวย เขต 3 ส.ส.ปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4รวมถึง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นอดีต ส.ส.เกรดคุณภาพ และเป็นคนตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องชาวกำแพงเพชร อย่างเช่น นายอนันต์ อำนวยผล ก็เข้าสภาฯไปทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ดูแลจัดการหลายๆ อย่าง และอีกหลายคนที่เข้าไปสร้างผลงานและชื่อเสียงให้กับชาวกำแพงเพชร ตนจึงเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ชาวกำแพงเพชรจะเทคะแนนให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งอย่างแน่นอน

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวถึง ภาพรวมในพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลว่า เมื่อการเลือกตั้งปี 62 ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัด เราได้ ส.ส.มาทั้งหมด 25 ที่นั่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เราก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ให้ได้ อย่างเช่นภาคเหนือตอนบนก็มีอยู่หลายจังหวัดเช่น ลำปาง,แพร่,น่าน และเชียงราย เราก็พยายามจะผลักดันผู้สมัครให้เข้าวินให้ได้ ตนมั่นใจว่าจะทำให้มากที่สุด และจะต้องมากกว่าเดิม เพราะเรา มีเวลาทำงานเตรียมพร้อมมาแล้วถึง 4 ปี


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2566