โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวกิจกรรม

“พปชร.“ประชุม สาขาพรรค จ.นราธิวาส เปิดเวทีรับฟังปัญหา-ข้อเสนอแนะของประชาชน สู่การพัฒนาเป็นนโยบายพรรค ด้าน 2 สส.มั่นใจ รมต.พปชร.หาทางออกแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้

,

“พปชร.“ประชุม สาขาพรรค จ.นราธิวาส เปิดเวทีรับฟังปัญหา-ข้อเสนอแนะของประชาชน สู่การพัฒนาเป็นนโยบายพรรค ด้าน 2 สส.มั่นใจ รมต.พปชร.หาทางออกแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้

วันที่ 25 พ.ค.เมื่อเวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมโรงแรมมารีน่า อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประชุมใหญ่ สาขาพรรค จ.นราธิวาส“เวทีประชารัฐร่วมใจ เพื่อสร้างชีวิตที่สดใส ให้คนไทยทั้งประเทศ”เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของประชาชน โดยมีกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเข้าร่วม อาทิ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ และ 2 สส.นราธิวาสของพรรค นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 และนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ นราธิวาส เขต 3 เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวกับสมาชิกที่มาร่วมประชุมว่า ช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐได้ขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามอุดมการณ์และ
ของพรรคฯ ทุกประการ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นที่ศรัทธาของพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้นพรรคฯ จึงได้เตรียมปรับตัวเองให้สอดรับกับสถานการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มอาชีพ ให้มากยิ่งขึ้น

“พรรคพลังประชารัฐขอประกาศเป็นพรรคที่จะดำเนินการยึดมั่นและปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อนุรักษ์และสร้างเสริมวัฒนธรรม จารีตประเพณี และค่านิยมของไทย พร้อมเปลี่ยนแปลงการดำเนินแนวทางตามเศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการบริหารภาครัฐที่หันสมัย เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนที่ดีขึ้น”พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าว

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า พันธกิจพรรคพลังประชารัฐเป็นศูนย์รวมผู้ที่มีความคิดสร้างและทันสมัย ทุกรุ่นทุกวัยด้วย”5 อนุรักษ์ 5 ทันสมัย ได้แก่ อนุรักษ์สถาบัน,อนุรักษ์ผลประโยชน์ของชาติ,อนุรักษ์ทรัพยากรของชาติ,อนุรักษ์วัฒนธรรม และอนุรักษ์ระเบียบทางสังคม ในส่วนของ 5 ทันสมัย ได้แก่ เศรษฐกิจทันสมัย,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันสมัย,สิ่งแวดล้อมทันสมัย,สังคมทันสมัย และภาครัฐทันสมัย

ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้คิดร่วมกับทีมเศรษฐกิจและวิชาการ เพื่อจัดทำนโยบายของพรรค แต่ท่านกำชับให้จัดทำนโยบายที่ยึดโยงกับประชาชน การได้เราจะทำได้คือ เราต้องเดินทางมารับฟังปัญหา ความเห็นข้อเสนอแนะต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆให้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ แล้วในวันนี้ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาที่จังหวัดนราธิวาส อำเภอสุไหงโกลก เป็นครั้งแรก ได้เห็นสภาพของเศรษฐกิจการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเห็นได้ชัดเจนว่าอำเภอนี้เป็นอำเภอที่มีศักยภาพสูง ซึ่งในวันนี้มีหลานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่มาร่วมรับฟังและร่วมแก้ไขปัญหา ตนมั่นใจว่าเราจะได้ข้อมูลความเห็นที่หลากหลาย และก็จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง

โดยช่วงหนึ่งในที่ประชุมได้มีการหารือถึงปัญหาด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งนายสัมพันธ์ กล่าวถึงปัญหานี้ว่า ตั้งแต่สังคมมีการพัฒนาด้านโซเชียลมากขึ้นทำให้ อ.สุไหงโก-ลก เป็นแค่ทางผ่านระหว่างการซื้อขายของประเทศมาเลเซียกับหาดใหญ่ รวมถึงการสื่อสารที่สะดวกทำให้เมื่อต้องการสินค้าเขาก็ไปหาที่กรุงเทพเอง นราธิวาสจึงเป็นแค่ทางผ่านให้กับผู้ประกอบการชาวมาเลเซีย อีกทัังนราธิวาสยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่จะรองรับเลย ตนจึงขอฝากให้ทางผู้ประสานงานของพรรคนำปัญหานี้มาเป็นนโยบายของพรรคด้วย

ด้านนายอามินทร์ กล่าวว่า การเดินทางเข้าออกที่มีหลายขั้นตอนของด่านตรวจ ทำให้เกิดความยุ่งยาก แต่ปัจจุบันก็เริ่มได้รับการแก้ไขแล้ว สำหรับมิติการท่องเที่ยว ตนมองว่า เราต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เมื่อก่อนสุไหงโกลกเป็นที่เที่ยวของนักท่องเที่ยวยามราตรีแต่ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมาในลักษณะของครอบครัวมากขึ้นสุไหงโกลกเองก็ไม่มีอะไรรองรับบุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือสวนน้ำที่เป็นการท่องเที่ยวในลักษณะเชิงครอบครัว ซึ่งตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีเนื่องจากรัฐมนตรีของเราก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และรับปากกับตนว่า จะมีการพัฒนาต่อยอดในอนาคต เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในพื้นที่

นอกจากนี้อีกปัญหาสำคัญที่ถูกนำมาพูดคุยก็คือ ปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งนายอามินทร์ กล่าวว่าปัญหาเรื่องที่ดินทับซ้อน เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่การเกษตรของพี่น้องเกษตรกรมีการเช่าเพื่อทำการเกษตร และบางส่วนก็ทำการเพาะปลูกในพื้นที่ประกาศเขตอุทยานหรือเขตอนุรักษ์ ส่งผลให้เวลาที่เกิดเหตุภัยพิบัติส่งผลจึงไม่สามารถรับเงินเยี่ยวยาจากทางรัฐได้ เนื่องจากติดกฎระเบียบทางราชการ จึงขอเสนอพรรคนำปัญหาดังกล่าวต่อรัฐมนตรีทั้ง 2 กระทรวงที่พปชร.กำกับดูแล เพื่อหาทางออกในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 พฤษภาคม 2567

“สส.นเรศ” ต้อนรับ “รมช.อรรถกร”ติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะนาว จ.เชียงใหม่ แผนเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุน แก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งให้ประชาชน

,

“สส.นเรศ” ต้อนรับ “รมช.อรรถกร”ติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะนาว จ.เชียงใหม่ แผนเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุน แก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งให้ประชาชน

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ สส.เชียงใหม่ เขต 9 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ตนได้ให้การต้อนรับนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะนาว เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งให้กับประชาชนและพี่น้องเกษตรกร ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีความจำเป็นในการอาศัยน้ำจากลำน้ำแม่วาง

นายนเรศ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาประชาชนในภาคการเกษตรและอุปโภคบริโภค ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งซึ่งมีปริมานน้ำน้อย ส่งผลให้น้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่ช่วงมรสุมลำน้ำแม่วาง จะมีปริมาณน้ำมากและไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรทั้งสองฝั่งลำน้ำสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง

นายนเรศ ยังกล่าวต่อว่า กรมชลประทาน จึงได้จัดแผนเพื่อการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะนาว เป็นเขื่อนดินแบบ Zone Type มีความยาว 700 เมตร ความสูง 80 เมตร ความกว้าง 9 เมตร มีขีดความสามารถในการกักเก็บถึง 25.42 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมทั้งมีอาคารระบายน้ำล้น(Spillway) สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 465.26 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถส่งน้ำไปยังพื้นที่การเกษตร ในช่วงฤดูฝนประมาณ 38,030 ไร่ และในฤดูแล้งประมาณ 20,000 ไร่“

”โครงการดังกล่าวเมื่อเสร็จสิ้นจะส่งผลให้สามารถเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุน เพื่อการอุปโภคและบริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสามารถส่งเสริมอาชีพประมงน้ำจืดให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังสามารถลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน“นายนเรศ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 พฤษภาคม 2567

“สส.อนันต์” เข้าพบทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการพัฒนา จ.กำแพงเพชร ร่วมกัน

,

“สส.อนันต์” เข้าพบทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการพัฒนา จ.กำแพงเพชร ร่วมกัน

นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนได้ให้การต้อนรับพร้อมเข้าพบเป็นการส่วนตัวกับนาย โรเบิร์ต เอฟ โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย พร้อมคณะ ในโอกาสเดินทางมาปฏิบัติภารกิจใน จ.กำแพงเพชร เยี่ยมหน่วยวิจัยไวรัสวิทยา รพ.กำแพงเพชร และเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ

“โดยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาในด้านต่างๆ พร้อมทั้งรับทราบข้อมูล เอกลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี ของ จ.กำแพงเพชร ที่น่าสนใจ ซึ่งนายโรเบิร์ต เอฟ โกเดค ระบุว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุย เยี่ยมเยือน แลกเปลี่ยนการทำงานร่วมกัน และสัญญาว่าจะเดินทางกลับมา จ.กำแพงเพชร ในโอกาสต่อไป“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 พฤษภาคม 2567

“สันติ” รมช.สธ. ดัน 2 นโยบายยกระดับสุขภาพประชาชน แก้วิกฤตบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน-เด็กเกิดน้อย

,

“สันติ” รมช.สธ. ดัน 2 นโยบายยกระดับสุขภาพประชาชน
แก้วิกฤตบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน-เด็กเกิดน้อย

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 9 อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมประชุมกำหนดทิศทางการดำเนินงานกระทรวงสาธารณสุข ปี 2567-68 ได้มอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขจังหวัด และเขตสุขภาพ 13 เขตทั่วประเทศ ว่า ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเพื่อยกระดับการบริการและหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับ ให้ก้าวทันโลกอนาคตเพื่อขยายบทบาทการดูแลระบบสุขภาพคนไทยไปสู่การสร้างเศรษฐกิจ ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ทำให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ

“การพัฒนาระบบสุขภาพที่ดีที่สุดให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่การดูแล และเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรสาธารณสุขก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จากประสบการณ์ที่ผมลงพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะในเขตชนบทได้ทราบถึงปัญหาด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่ขาดแคลน ขณะที่ภาระงานล้นมือ ส่งผลในการสร้างเสริมสุขภาพในอนาคตจะเกิดประสิทธิภาพน้อยลง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาดูแลรักษาพี่น้องประชาชนให้เกิดความแม่นยำ จึงขอฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขผลักดันเป็นนโยบายของกระทรวง” นายสันติ กล่าว

ทั้งนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตของประชากร เนื่องจากมีประชากร 67 ล้านคน ต้องมีอัตราการเกิดปีละกว่า 8 แสนคน แต่จากเลขพบว่าที่ผ่านมามีการเกิดกว่า 480,000-510,000 คน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน ส่งผลให้ในอนาคตจะขาดบุคลากรในทุกด้าน หากกระทรวงได้ใช้นโยบายในการสร้างขวัญและกำลังใจในครอบครัวใหม่ๆ หรือสุภาพสตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เพื่อให้ความมั่นใจในการมีบุตรทางรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขก็จะช่วยดูแลเพื่อให้เกิดความมั่นคงในการคลอดบุตรและเลี้ยงบุตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตา ขอให้ความมั่นใจกับทุกท่านว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ และเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาและผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้เพียงพอต่อการบริการสุขภาพแก่ประชาชนอย่างมีคุณภาพและการเพิ่มจำนวนประชากร วันนี้ถือเป็นโอกาสดีในการผนึกกำลังเพื่อร่วมกันขับเคลื่อน และผลักดันการพัฒนาการสาธารณสุขไทยทั้งระบบให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดี สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 พฤษภาคม 2567

“สส.อามินทร์” ชี้ถึงเวลาจับมือร่วม รีแบรนด์ตากใบ สร้างภาพลักษณ์ใหม่เชิงบวก ลบภาพจำความรุนแรง เน้นกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐสามจังหวัดชายแดนใต้เพิ่มรายได้ ปชช.

“สส.อามินทร์” ชี้ถึงเวลาจับมือร่วม รีแบรนด์ตากใบ สร้างภาพลักษณ์ใหม่เชิงบวก ลบภาพจำความรุนแรง เน้นกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐสามจังหวัดชายแดนใต้เพิ่มรายได้ ปชช.

นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวว่า ตนมองว่าขณะนี้ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ หรือรีแบรนด์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อลดภาพจำการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอดีต สู่การสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกที่จะนำไปสู่การก้าวข้ามความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ทางด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว การค้าการลงทุน รวมถึงการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การส่งเสริมผลิตภัณฑ์พรีเมียม ขึ้นชื่อของจังหวัดมากขึ้น เพื่อยกระดับรายได้ของประชาชนในท้องถิ่น

“ผมได้มีข้อเสนอในที่ประชุมแสวงหาข้อมูลพรรคพลังประชารัฐ เพื่อกำหนดนโยบายที่ยึดโยงกับท้องถิ่น จึงได้ชี้ให้เห็นว่า การค้นข้อมูลใน Google พิมพ์คำว่าตากใบ แล้วกดที่ images จะพบแต่ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอดีตมานับยี่สิบปีแล้ว ทั้งที่ในวันนี้ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีกิจกรรมที่เหมาะสมแก่การท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชน และการเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลายอย่าง แต่ภาพกิจกรรมในเชิงบวกเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏในสื่อโซเชี่ยลเลย” นายอามินทร์ กล่าว

นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า วิธีการเดียวที่จะทำให้ภาพกิจกรรมเชิงบวกเข้าไปปรากฏในโลกโซเชี่ยลก็คือ ต้องมีภาพกิจกรรมเชิงบวกที่นำเสนอให้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีคนเข้าไปดูมากกว่าภาพเชิงลบให้ได้ ซึ่งตนได้นำนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ พปชร.ไปดูกิจกรรมเชิงบวกอย่างหนึ่งคือ โรงงานทำปลากุเลาเค็มแห่งหนึ่ง เรียกว่า แม่แป้น

นายอามินทร์ ยังกล่าวต่อว่า การตากปลาให้แห้งนั้น ใช้วิธีตากแดดในกระโจมที่โปร่งแสงระดับหนึ่ง กระทรวงพลังงานช่วยเหลือค่าสร้างกระโจม 70% หลังจากนั้นจะผ่านกรรมวิธีแขวนให้ความชื้นค่อยๆ งวดลงไป พร้อมกับการนวดเพื่อให้เนื้อปลาแน่น กระบวนการผลิตพิถีพิถันและใช้เวลาขั้นต่ำตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่ต่างจากขั้นตอนการผลิตชีส หรือหมูแฮม สินค้าซึ่งมีราคาแพงในยุโรป ซึ่งปลากุเลาเค็ม ถือว่าเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวต้องการซื้อเป็นของฝากจำนวนมาก

ทั้งนี้ ปลากุเลาเค็ม ยังมีการพัฒนาแพคเกจจิ้งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อเป็นของฝากราคาแพง โดยสามารถกำหนดให้ใส่กล่องไม้ ที่ทำให้ดูมีคุณค่าสมกับความอร่อย ซึ่งในวันที่เราไปเยี่ยมชมโรงงาน ปรากฏว่าเขากำลังจัดทำกล่องไม้ผูกโบว์จำนวน 30 กล่อง ที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้สั่งซื้อเพื่อเอาไปแจกเป็นของขวัญในวันที่ไปเยี่ยมชมโรงงาน ตนจึงอยากให้คนไทยช่วยกันโปรโมทรีแบรนด์ตากใบ รีแบรนด์สามจังหวัดชายแดนภายใต้ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าดีกว่า

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 พฤษภาคม 2567

การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เชิญเข้าร่วมพร้อมรับชม “พิธีเปิดงาน 24 พฤษภาคม วันป่าชุมชนแห่งชาติ” จ.กาฬสินธุ์ ประจำปี2567

,

การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เชิญเข้าร่วมพร้อมรับชม “พิธีเปิดงาน 24 พฤษภาคม วันป่าชุมชนแห่งชาติ” จ.กาฬสินธุ์ ประจำปี2567

วันที่ 24 พฤษภาคม ของทุกปีถือเป็นวันป่าชุมชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ส่งเสริมให้ชุมชนร่วมกับทางภาครัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ ในการฟื้นฟูรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนและให้ชุมชนดูแลรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างสมบูรณ์ยั่งยืน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมป่าไม้ได้จัดงาน วันป่าชุมชนแห่งชาติประจำปี 2567 โดยมีวัตถุประสงค์รณรงค์การจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าชุมชน ตลอดจนทุกภาคส่วนได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในด้านการส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่า และใช้ประโยชน์จากป่าตามทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ซึ่งในวันนี้ (24 พฤษภาคม 2567) ถือเป็นวันป่าชุมชนแห่งชาติประจำปี 2567 ได้มีการจัดงาน “พิธีเปิดงาน 24 พฤษภาคม วันป่าชุมชนแห่งชาติ” โดยได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี ณ โรงแรมริมปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เวลา 13.00 น. โดยประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตามปกติ หรือ รับชมผ่าน Live ได้ที่ เฟสบุ๊ค ป่าชุมชนออนไลน์

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 พฤษภาคม 2567

“สส. องอาจ” ปธ. กมธ.กฎหมายฯ เปิดเวทีระดม 40 องค์กร ร่วมศึกษาความเห็นข้อบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองรับมาตรฐานสากล

,

“สส. องอาจ” ปธ. กมธ.กฎหมายฯ เปิดเวทีระดม 40 องค์กร
ร่วมศึกษาความเห็นข้อบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองรับมาตรฐานสากล

นายองอาจ วงษ์ประยูร สส.สระบุรี เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.ในฐานะรองประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า คณะ กมธ.ได้จัดงานสัมมนา เรื่องการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง ผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง และแนวทางในการแก้ไขกฎหมายคนเข้าเมือง โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการฯ คณะทูตานุทูต ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง องค์กรระหว่างประเทศ ภาคประชาชน รวมทั้งผู้แทนองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รวม 40 หน่วยงาน ตลอดจนผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากภาควิชาการ ภาคเอกชน องค์ระหว่างประเทศ และผู้แทนจากกลุ่มผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ เพื่อร่วมกันพิจารณาศึกษาปัญหา และทางออก เพื่อมิให้ขัดต่อระเบียบ และข้อกฎหมาย เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายองอาจ กล่าวต่อว่า คณะ กมธ.เห็นความสำคัญของเรื่องดังกล่าว จึงมีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนต่อการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ เพื่อพิจารณาศึกษาปัญหานี้อย่างจริงจัง ซึ่งประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศทางผ่าน ที่พักพิงชั่วคราว และเป็นที่แสวงหาโอกาสในการทำงานของคนที่ไม่มีสัญชาติไทยหลายกลุ่ม รวมถึงคนที่ยังไม่มีสัญชาติ แม้จะอยู่ในประเทศไทยมานาน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมจัดการของประเทศไทยผ่านกฎหมายฉบับเดียว คือ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ที่บังคับใช้มานานเป็นเวลา 45 ปีแล้ว ไม่เท่าทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ โจทย์ท้าทายสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญต่อไป คือ การขาดกำลังแรงงานจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ ดังนั้น ข้อเสนอในเรื่องการโยกย้ายถิ่นเพื่อทดแทนประชากรที่ลดลง จึงเป็นข้อเสนอที่ควรถูกหยิบยกมาทบทวน และถึงเวลาที่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้ทันสถานการณ์และการยอมรับในต่างประเทศ 

สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีการนำเสนอรายงานเรื่องปัญหาและแนวทางการแก้ไขแบบยั่งยืนเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ โดยมีข้อสังเกตต่อการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง การอภิปรายกลุ่มเรื่องพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และการบังคับใช้ ผลกระทบ ข้อท้าทาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมาย สำหรับการบริหารจัดการผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน และเรื่องการปฏิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองเพื่อตอบโจทย์ประเทศไทยภายใต้บริบทสังคมสูงอายุ ข้อเสนอจากภาคส่วนต่าง ๆ ต่อการแก้ไขกฎหมายคนเข้าเมือง และการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนประชากร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 พฤษภาคม 2567

“สันติ รมช.สธ.” เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ คสช.มุ่งยกระดับสุขภาพปชช. ระดมสมองแก้วิกฤตเด็กเกิดน้อย-ยาเสพติดระบาดในเยาวชนเสนอรัฐบาล

,

“สันติ รมช.สธ.” เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ คสช.มุ่งยกระดับสุขภาพปชช.
ระดมสมองแก้วิกฤตเด็กเกิดน้อย-ยาเสพติดระบาดในเยาวชนเสนอรัฐบาล

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เป้าหมาย ทิศทาง หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เพื่อระดมความเห็น ด้านส่งเสริมหน่วยงานหรือองค์กร ที่จะมุ่งขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะร่วมกัน นำไปสู่การสร้าง “สุขภาพ” หรือ “สุขภาวะ” ของประชาชน ที่ห้องประชุม Sapphire 2 – 3 โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ อ.เมือง จ.นนทบุรี

ทั้งนี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้มีส่วนทำให้ประชาชน เข้าใจและสามารถวางแผนด้านสุขภาพมากขึ้นและยังคงผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งทางด้านสุขภาพจิตของประชาชนที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยเฉพาะครอบครัวใหม่ๆกังวลเรื่องการมีบุตร ทำให้ปัจจุบันอัตราการเกิดของประชาชนต่ำกว่าเป้าหมายหรืออยู่ในขั้นวิกฤต โดยประเทศไทยมีประชากร 66-67 ล้านคน ต้องมีอัตราการเกิดปีละกว่า 8 แสนคน แต่ที่ผ่านมา มีการเกิดกว่า 400,000 คน ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตด้านแรงงานที่จะหายไปกว่าครึ่ง และจากการลงพื้นที่พบประชาชนในชนบทและชุมชนเมืองพบว่า ครอบครัวใหม่ๆ มีความกังวลในการมีบุตร เนื่องจากขาดศักยภาพในการเลี้ยงดู และพร้อมมีบุตรเมื่อครอบครัวมีฐานะมั่นคงขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ร่วมกันระดมความคิดในการวางแนวทางการส่งเสริมการมีบุตรมากขึ้น เพื่อเสนอปัญหาดังกล่าวไปยังรัฐบาลต่อไป

“จากการลงไปเยี่ยมสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมแต่ละแห่งพบว่า มีแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในทุกรูปแบบต่างๆเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงเด็ก และเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายมากกว่า 3 ล้านคน และส่วนที่เข้ามาไม่ถูกต้องตามกฎหมายมีอีกกว่า 2 ล้านคน โดยรวมแล้วมีถึง 6 ล้านคน แต่ละวันจ่ายค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท ใน 1 ปี ต้องจ่ายเงินจ้างแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเกินกว่า 7 แสนล้านบาท ดังนั้นเงินที่ใช้จะต้องมีประสิทธิภาพ หากนำมาใช้ในการเพิ่มจำนวนประชากรก็จะสามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้ในอนาคต สิ่งเหล่านี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จะเข้ามามีบทบาทในการเสริมการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลสนใจเรื่องเหล่านี้” นายสันติ กล่าว

สำหรับประเด็นของปัญหาเรื่องยาเสพติด ที่มีผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน และกระทบเศรษฐกิจของประเทศด้วย เช่น ยาบ้า 1 เม็ด 5 เม็ด หรือ 10 เม็ด ในอดีตเป็นสิ่งที่ทำลายพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ซึ่งจากการลงพื้นที่ไปยังชุมชนเมืองและชุมชนต่างจังหวัด บรรดาลูกหลานจำนวนมากเป็นทั้งผู้ค้าและผู้เสพ การปราบปรามของกระบวนการยุติธรรมยังไม่รัดกุม ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพของวัยที่ใช้แรงงาน ก่อให้เกิดวิกฤตด้านการเรียนรู้ เนื่องจากไปทำลายระบบประสาทไม่สามารถพัฒนาด้านการเรียนรู้ทั้งทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้ ส่งผลต่อสุขภาพครัวเรือน และสุขภาพจิตของพี่น้องประชาชนอีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 พฤษภาคม 2567

“รมว.ธรรมนัส” ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างฝาย จ.ลำปาง เร่งชลประทานตรวจสอบระบบกระจายน้ำส่งถึงพื้นที่เกษตรกรรม

,

“รมว.ธรรมนัส” ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างฝาย จ.ลำปาง เร่งชลประทานตรวจสอบระบบกระจายน้ำส่งถึงพื้นที่เกษตรกรรม

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการ พร้อมมอบนโยบายด้านการเกษตรให้กับจังหวัดลำปาง โดยมี นายนวนิตย์ พลเคน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพัชระ สิมะเสถียร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ตำบลศาลา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อรับฟังปัญหาด้านการเกษตร และการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงมอบโฉนดเพื่อการเกษตรให้กับเกษตรกร จำนวน 200 ราย

“เนื่องจากลำปางเป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา วันนี้จึงลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างฝายในตำบลปกยางคก อำเภอห้างฉัตร และตำบลนายาง อำเภอสบปราบ เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรมีน้ำใช้ให้เพียงพอ รวมถึงมารับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดลำปาง หากปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีจะรีบสั่งการ แต่หากปัญหาใดที่ต้องร่วมกันแก้ไขหลายฝ่ายจะประสานหน่วยงานอื่นบูรณาการร่วมกันต่อไป”รมว.ธรรมนัส กล่าว

หลังจากนั้น รมว.ธรรมนัสเดินทางไปต่อที่คลองส่งน้ำที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างของโครงการ-กิ่วคอหมา ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ก่อสร้างระบบส่งน้ำกิ่วลม 3 ระยะ 3 (โครงการกิ่วคอหมา) โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน (ชป.) ดูแลการก่อสร้างให้เสร็จสิ้นภายในปี 2569 หรือเร็วที่สุดภายใน 15 เดือน รวมถึงให้ตรวจสอบระบบส่งน้ำในจังหวัดลำปางให้มีน้ำส่งทั่วถึงพื้นที่ทำเกษตรกรรมในช่วงหน้าแล้ง เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนและเกษตรกรให้มีน้ำใช้ตลอดปี

สำหรับช่วงบ่าย รมว.ธรรมนัส เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมโครงการฝายแม่วังบ้านไร่-บ้านใหม่พัฒนา ตำบลนายาง อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง ซึ่ง ชป. ได้ศึกษา สำรวจ และออกแบบฝายขนาดความยาว 150 ซม. ความสูง 350 ซม. ผลประโยชน์ที่จะได้รับครอบคลุมพื้นที่ 8 หมู่บ้าน 2 ตำบล ทั้งนี้ รมว.ธรรมนัส ได้สั่งการให้ ชป. ทำอนุมัติของบประมาณใช้เงินเหลือจ่ายปี 2567 และเร่งสร้างฝายทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 พฤษภาคม 2567

“รมช.อรรถกร” ลงพื้นที่ตลาดอาหารทะเลอ่างศิลา แก้ปัญหาแผงร้านค้าผิดระเบียบ สั่ง อสป.หามาตรการพัฒนาตลาด เพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดึงทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

,

“รมช.อรรถกร” ลงพื้นที่ตลาดอาหารทะเลอ่างศิลา แก้ปัญหาแผงร้านค้าผิดระเบียบ
สั่ง อสป.หามาตรการพัฒนาตลาด เพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดึงทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

(วันที่ 17 พ.ค.) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตลาดประมงพื้นบ้าน อ่างศิลา บริเวณริมทะเล ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี ในความรับผิดชอบขององค์การสะพานปลา (อสป.) เพื่อแก้ไขปัญหาร้านค้า ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เนื่องจากพบว่าผู้ค้ามีการต่อเติมหลังคาและแบ่งพื้นที่เพื่อการเช่าช่วง พร้อมทั้งการตรวจความเรียบร้อยด้านความสะอาด ความปลอดภัย คุณภาพของอาหารทะเล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นธรรมกับผู้ค้าที่นำไปสู่การยกระดับมาตรฐานตลาดอาหารทะเลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ให้กับทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน

นายอรรถกร กล่าวว่า การลงพื้นที่วันนี้ ทำให้ได้เห็นสภาพจริงของปัญหาและอุปสรรคในการจัดการและบริหารตลาดอาหารทะเลสด และแปรรูปตลาดประมงพื้นบ้าน อ่างศิลา เพื่อจะได้นำไปสู่การปรับปรุงและยกระดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของกลุ่มเกษตรกร ควบคู่ไปกับการขจัดปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นในด้านต่างๆ โดยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องบูรณาการ ในการพัฒนาร่วมกัน ที่ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับทุกฝ่าย

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ตนได้รับแจ้งว่า เรื่องของร้านค้าในตลาด มีความขัดแย้งระหว่าง ผู้ค้าที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ส่งผลให้ อสป.เสียประโยชน์ จำเป็นต้องมีกลไก มาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้สั่งการให้ อสป.เร่งหามาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางการพัฒนาตลาดแห่งนี้ให้มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยความปลอดภัย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค และผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้า ควบคู่ไปกับการรักษาชื่อเสียงแหล่งอาหารทะเลที่ได้รับความนิยมทั้งจากคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศต่อไป

“จากการพบปะพ่อค้าแม่ค้ายังพบว่า มีปัญหาเรื่องของระบบสาธารณูปโภค เพื่อให้บริการกับประชาชนและนักท่องเที่ยว รวมถึงปัญหาของพ่อค้าแม่ค้าบางรายมีรายได้น้อย ทำให้ไม่สามารถชำระค่าเช่าได้ตรงตามเวลา แม้ตลาดจะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการกู้ยืมเงินนอกระบบมาชำระแทน ซึ่งเรื่องดังกล่าว ได้มอบหมายให้ผู้จัดการองค์การสะพานปลา ไปหาแนวทางร่วมกันกับทุกฝ่าย เพื่อให้ตลาดฯ มีระเบียบ และมาตรฐานการให้บริการที่สูงขึ้น และเน้นย้ำในเรื่องการดูแลด้านความสะอาด โดยเฉพาะห้องน้ำ หลังคาที่การต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้เร่งดำเนินการโดยด่วน และมารายงานให้ทราบโดยเร็ว ซึ่งจะมีการติดตามในพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง”นายอรรถกร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 พฤษภาคม 2567

พปชร.ประชุมสาขาพรรค จ.สิงห์บุรี เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น สู่การกำหนดนโยบายพรรค ด้าน “ชัยวุฒิ”เปิดชู“อนุรักษ์นิยมทันสมัย“ขับเคลื่อนพรรคอย่างประนีประนอม ไม่ทำให้สังคมแตกแยก

,

พปชร.ประชุมสาขาพรรค จ.สิงห์บุรี เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น สู่การกำหนดนโยบายพรรค ด้าน “ชัยวุฒิ”เปิดชู“อนุรักษ์นิยมทันสมัย“ขับเคลื่อนพรรคอย่างประนีประนอม ไม่ทำให้สังคมแตกแยก

วันนี้ (17 พฤษภาคม 2567) ที่ห้องประชุมโรงแรมไชยแสง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมเปิดงานประชุมใหญ่สาขาพรรคภาคกลาง จังหวัดสิงห์บุรี เวทีประชารัฐร่วมใจเพื่อสร้างชีวิตที่สดใสให้คนไทยทั้งประเทศ โดยมีกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเข้าร่วม อาทิ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ผ่านการเป็นรัฐบาลมาแล้ว4 ปี และการเลือกตั้งรอบนี้ก็ยังได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพียงแต่เราไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากจำนวน สส.ลดลง แต่สำหรับจังหวัดสิงห์บุรี เราก็ยืนหยัดอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ และต้องขอบคุณที่ประชาชนไว้ใจและสนับสนุนให้ สส.โชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เข้ามาทำหน้าที่ สส. เราก็จะทำให้จังหวัดสิงห์บุรีได้รับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆตนเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่มีความพร้อม มีความชัดเจนในการที่จะทำงานให้พี่น้องประชาชน และตนในฐานะรองหัวหน้าพรรค สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ในหลายๆด้าน

“ชาวจังหวัดสิงห์บุรี อาชีพหลักในพื้นที่คือการเกษตร ซึ่งพปชร.ก็ดูแลเต็มที่ในเรื่องน้ำ และระบบชลประทาน ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนรู้สึกได้ที่พรรคเราทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ทำให้เราได้รับการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญ นอกจากการดูแลพื้นที่ ตอนนี้มีการแข่งขันในด้านโซเชียลมีเดีย ซึ่งตรงนี้จะทำให้นักการเมืองดูแลพื้นที่ ดูแลชาวบ้านอย่างเดียวมันไม่พอแล้วพรรคพลังประชารัฐ จึงต้องปรับตัวและทำนโยบายทำความชัดเจนในเรื่องของอุดมการณ์ เพื่อสร้างกระแสให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ”นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า คำว่า อนุรักษ์นิยมทันสมัย ก็คือ สิ่งที่ดีเราก็ดูแลส่งเสริมให้มันเข้มแข็งให้สิ่งดีๆเหล่านั้นอยู่กับสังคมไทยสืบทอดไปให้ลูกหลายของเรา แต่ขณะเดียวกัน เราก็พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ให้ต่อเนื่องกันไป และอนุรักษ์สิ่งที่ดีไว้ สิ่งสำคัญก็คือ การหารือร่วมกัน ประนีประนอมเข้าใจกัน หาทางออกร่วมกันไม่ใช่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้ความรู้สึกที่เกลียดชังกัน ไม่ใช่การที่ทำให้สังคมแตกแยกกัน และอีกสิ่งหนึ่งคือ เรายึดมั่นในอุดมการณ์ปกป้องสถาบัน ทำให้บ้านเมืองสงบสุข และพัฒนาประเทศไปร่วมกัน นี่คือแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ และตนเชื่อว่าแนวทางนี้อยู่ในหัวใจของเราทุกคนตลอดไปแน่นอน

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ กล่าวภายหลังการประชุมว่า การประชุมประจำปีของสมาชิกพรรคที่จังหวัดสิงห์บุรีเรียบร้อยดี เป็นการประชุมและรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรคและพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบายของพรรคต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 พฤษภาคม 2567

“สส. สัมพันธ์” รับหนังสือร้องเรียน “นิคมสหกรณ์ปิเหล็ง”วอน“รมว.ธรรมนัส”เร่งช่วยหลือปมที่ดินของสหกรณ์ฯ เป็นที่ทับซ้อนกับกรมป่าไม้

,

“สส. สัมพันธ์” รับหนังสือร้องเรียน “นิคมสหกรณ์ปิเหล็ง”วอน“รมว.ธรรมนัส”เร่งช่วยหลือปมที่ดินของสหกรณ์ฯ เป็นที่ทับซ้อนกับกรมป่าไม้

นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ นราธิวาส เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยว่า ทางผู้ใหญ่บ้านปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง พร้อมด้วยคณะกรรมการนิคมสหกรณ์ปิเหล็ง ได้เข้ามายื่นหนังสือ เพื่อขอให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ปิเหล็ง ที่มีความเดือดร้อน กรณีป่าสงวนแห่งชาติทับซ้อนกับพระราชฎีกา ในการจัดตั้งนิคมสหกรณ์ปิเหล็งในท้องที่

”ผมจะนำเสนอไปยังท่านร้อยเอกธรรมนัส เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป เพราะทราบมาว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่รอการแก้ไขมานานกว่า 30 ปี วันนี้ ซึ่งผมมั่นใจว่า รัฐบาลไม่ทอดทิ้งและจะร่วมกันหาทางออกทุกวิถีทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้ชาวบ้านได้รับที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหลังรอคอยมานาน“นายสัมพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของที่ดินทับซ้อนในพื้นที่นิคมสหกรณ์ปิเหล็ง เกิดขึ้นเนื่องจากเส้นแนวเขตของพื้นที่ทับซ้อน บางส่วนระหว่างเขตห้ามล่าสัตว์ป่ากับพื้นที่นิคมสหกรณ์ปิเหล็ง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 พฤษภาคม 2567