โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ผู้เขียน: pprpadmin

ส.ส.พปชร.ร่วมเวทีหารือทางออกปัญหาที่ทำกินเขตอุทยานให้ประชาชน

,

ส.ส.พปชร.ร่วมเวทีหารือทางออกปัญหาที่ทำกินเขตอุทยานให้ประชาชน

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ พปชร. จ.นครศรีธรรมราช” พร้อมด้วยคณะทำงาน ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า รวมถึงกำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต. และผู้นำท้องถิ่น ร่วมประชุมรับฟังการชี้แจ้งเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและเพื่อที่อยู่อาศัย ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า บ้านวังหอน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ส.ส.อาญาสิทธิ์ ยังได้ร่วมพูดคุยเพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งชี้แจงเรื่องการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เพื่อทำความรู้และความเข้าใจกับชาวบ้านในเรื่องคุณสมบัติและของสิทธิต่างๆ ที่ควรจะได้รับ ณ ตำบลวังอ่าง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 16 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร. กทม.ออกหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุก!!!

, ,

ส.ส.พปชร. กทม.ออกหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุก!!!

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา พปชร. กทม. เขต 4 ร่วมกับ Bangkok Community Help ออกหน่วยเคลื่อนที่ตรวจคัดกรองเชิงรุกการแพร่ระบาดโควิด 19 ให้ประชาชนในพื้นที่ ชุมชนชุมชนวัดคลองเตยใน เขตคลองเตย พร้อมมอบข้าวสารอาหารแห้ง จัดชุดยารักษาให้กับผู้ติดเชื้อถึงบ้าน

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ ตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 16 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ติดตามแผนรับมวลน้ำเข้าพื้นที่จ.สระบุรี ระดมทุกหน่วยป้องกันอุทกภัย- พร้อมแผนเตือนภัย ปชช.

,

“พล.อ.ประวิตร”ติดตามแผนรับมวลน้ำเข้าพื้นที่จ.สระบุรี
ระดมทุกหน่วยป้องกันอุทกภัย- พร้อมแผนเตือนภัย ปชช.

“พล.อ.ประวิตร” เร่งหน่วยงาน จ.สระบุรี รับมือปริมาณฝนสัปดาห์หน้า ติดตามสภาพอากาศแจ้งเตือนประชาชน ดึงแผน 13 มาตรการ ป้องกันผลกระทบอุทกภัยในระยะสั้น พร้อมเดินหน้าวางระบบจัดการน้ำ ในระยะยาวแก้ภัยแล้ง – อุทกภัยซ้ำซาก ในพื้นที่ เร่งโครงการเสริมคันดิน พร้อมแผนระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบชุมชนท้ายน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.และปริมณฑลริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก

วันที่ 15 สิงหาคม 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมด้วยชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคกลาง ณ จังหวัดสระบุรี โดยมี ส.ส.พรรคประชารัฐ อาทิ น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี นายประทวน สุทธิอำนวยเดช ส.ส.ลพบุรี ร่วมลงพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์และแนวโน้มปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้นตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ในสัปดาห์นี้จะมีฝนตกหนักต่อเนื่อง หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลายจังหวัดของภาคเหนือ ได้รับผลกระทบน้ำท่วมฉับพลันจากพายุโซนร้อนมู่หลาน ทำให้ปริมาณน้ำสูง
พล.อ.ประวิตร’ ได้สั่งการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช. )ร่วมกับ กรมชลประทาน รวมทั้ง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และฝ่ายปกครองระดับจังหวัด ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนรับมือฤดูฝน 13 มาตรการ โดยให้ปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เนื่องจากมีฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องจากมรสุมในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลพื้นที่หลายจังหวัดมีน้ำท่วมขังสูง โดยเฉพาะพื้นที่ริมลำน้ำสายหลักยังคงต้องเฝ้าระวัง และติดตามสภาพอากาศแจ้งเตือนประชาชนให้ทันกับสถานการณ์ รวมทั้งให้การช่วยเหลือประชาชนทันที เน้นการมีส่วนร่วมมากขึ้น

ทั้งนี้ได้นำแผนการจัดการในระยะสั้นตาม 13 มาตรการรับมือฝน รวมทั้งแผนบริหารจัดการน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อระบายน้ำจากฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด เพื่อควบคุมไม่ให้เกินขีดจำกัดที่รับน้ำได้ เพื่อรับมือน้ำต่อเนื่องในภาคเหนือ-ใต้-ออก-ตก ที่ทำการเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล และการซ่อมคันกั้นน้ำบริเวณ 23 ขวา คลองชัยนาท-ป่าสัก โครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาเริงราง ในการรองรับปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังได้ติดตามการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำป่าสักในเขต จ.สระบุรี ซึ่งเป็นแผนระยะยาว ที่จะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดสระบุรี และภาคกลางทั้งหมด ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จ.สระบุรี เป็นหนึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของพายุเตี้ยนหมู่ เมื่อปี 2564 ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ และเกิดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สิน และในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2565 คาดว่าจะมีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคกลาง จ.สระบุรี จึงอาจจะได้รับผลกระทบซ้ำอีก จึงขอสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งบูรณาการให้วางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบด้วยการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อเตรียมความจุในการรองรับน้ำฝน พร้อมทั้งเร่งซ่อมแซมคันกั้นน้ำทั้งหมดที่ได้รับความเสียหายจากปีที่แล้วที่ปริมาณฝนมากจนดินอุ้มน้ำเกิดการกัดเซาะจนพังทลาย โดยทราบว่าเบื้องต้นใช้งบประมาณกว่า 3 ล้านบาท ในการซ่อมแซมระยะสั้น ส่วนในระยะยาวที่จะต้องปรับปรุงประตูระบายน้ำทั้งสองฝั่ง ที่จะต้องใช้งบประมาณกว่า 145 ล้านบาท จะนำเรื่องเข้าพิจารณาว่าจะใช้งบใดได้บ้าง เนื่องจากจะทำให้การจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง รวมถึงการพิจารณาก่อสร้างเขื่อนริมน้ำป่าสัก เพื่อลดการพังทลายของตลิ่ง

โดยในระยะสั้นจะต้องเป็นไปตามแผนรับมือ 13 มาตรการอย่างเคร่งครัด ส่วนในระยะยาวทุกหน่วยงาน จะต้องเร่งดำเนินการตาม 9 แผนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ควบคู่ไปกับกลไกการบริหารให้มีความเหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพในการจัดหารบริหารน้ำให้ดีที่สุด พร้อมสร้างการตระหนักรู้และความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้รับรายงาน และได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจความคืบหน้าการซ่อมแซมซ่อมแซมคันกั้นน้ำบริเวณ 23 ขวา คลองชัยนาท-ป่าสัก โครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาเริงราง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ได้กำชับให้ดำเนินการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ให้ทันสถานการณ์ฝนที่อาจตกหนักในช่วงวันที่ 20 ส.ค.นี้ รวมทั้งดูการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำป่าสัก พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณวัดเชิงราก อ.เสาไห้ ซึ่งเป็นแผนจัดการน้ำท่วมระยะยาว ที่หากเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำป่าสักฯ เสร็จเรียบร้อย ก็จะเป็นพื้นที่ที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ได้อย่างเป็นระบบ

โดยขณะลงพื้นที่ มีประชาชนมาคอยให้กำลังใจ และพูดคุยถึงปัญหาต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นพล.อ.ประวิตร ก็ได้พูดกับประชาชนว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อมาตรวจโครงการต่างๆ ว่ามีความก้าวหน้าไปอย่างไรบ้าง เนื่องจากทราบว่าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย และภัยแล้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซาก ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน เกิดการกินดีอยู่ดีของประชาชน เพราะน้ำคือชีวิต และเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตของทุกคน

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 15 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแปรรูปน้ำมันปาล์มสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริม 8 ผลิตภัณฑ์รักษาเสถียรภาพราคาเพิ่มรายได้ยั่งยืน

,

“พล.อ.ประวิตร”เร่งแปรรูปน้ำมันปาล์มสร้างมูลค่าเพิ่ม
ส่งเสริม 8 ผลิตภัณฑ์รักษาเสถียรภาพราคาเพิ่มรายได้ยั่งยืน

เร่งส่งเสริมแปรรูปน้ำมันปาล์มสู่ผลิตภัณฑ์สร้างมูลเพิ่ม รักษาเสถียรภาพด้านราคา สร้างรายได้เกษตรมั่นคง!!!พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ได้มอบหมายให้หน่วยงาน กนป. ดูแลราคาปาล์มน้ำมันให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้เกิดความผันผวน และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จากการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบมาเลเซียและอินโดนีเซีย พร้อมกับเร่งหามาตรการส่งเสริมสร้างมูลค่าเพิ่ม 8 ผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนไบโอดีเซลที่ใช้ลดลงเหลือ B5 ในช่วงวิกฤตพลังงาน

คณะอนุกรรมการทำการวิเคราะห์จัดทำข้อเสนอมาตรการเร่งด่วน ขับเคลื่อนปาล์มน้ำมันสู่พืชเศรษฐกิจมูลค่าเพิ่มแห่งอนาคตของไทย และสร้างสมดุลโครงสร้างราคาตลอดห่วงโซ่อุปสงค์อุปทานที่เป็นธรรมทั้งระบบ และรายงานผลดำเนินการ กนป. ปี 2563 ได้มีการผลักดันให้เพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล ให้ B10 เป็นดีเซลมาตรฐาน และส่งออกน้ำมันดิบส่วนเกินในปี 2564 สูงถึงปริมาณ 6 แสนตันเศษ
โดยคาดว่าในปี 2565 นี้ ยอดส่งออกแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นราว 7 แสนตันเศษ และผลักดันมาตรการเพิ่มมูลค่าน้ำมันปาล์มดิบแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (BCG) 8 ชนิด ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานชีวภาพ น้ำมันจาระบีชีวภาพ น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า สารซักล้างชีวภาพ พาราฟิน สารจำกัดศัตรูพืชชีวภาพ น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ (กรีนดีเซล) และ นำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ เป็นนโยบายรัฐบาลพืชเศรษฐกิจต้นแบบ โดยอยู่ระหว่างการส่งเสริมให้มีการลงทุนผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels – SAF) ที่สามารถนำน้ำมันไบโอดีเซล เอทานอลจากมันสำปะหลังและกากอ้อย รวมทั้งน้ำมันพืชรีไซเคิล มาใช้เป็นวัตถุดิบในการทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่สามารถลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 80 %และเดินหน้าไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง SAF ของภูมิภาคในปี 2566

อย่างไรก็ตามจากผลงานการกำกับดูแลนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติภายใต้การกำกับอย่างต่อเนื่อง 8 ปีที่ผ่านมา ที่ชาวสวนปาล์มทั่วประเทศชื่นชมผลงานรัฐบาล รักษาระดับราคาปาล์มทะลายให้สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2562 ราคาเฉลี่ยทั้งปีที่ 3.11 บาท/กก. ปี 2563 เพิ่มเป็น 4.80 บาท/กก. ปี 2564 เพิ่มเป็น 6.66 บาท/กก. และ ปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มถึง 7.50 บาท/กก. และมีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่า มีปริมาณมากถึง 1.5 ล้านตัน ทำให้ในช่วง 4 ปี ระหว่างปี 2562 – 2565 นี้ สามารถนำเงินตราเข้าประเทศได้อีกประมาณ 6 – 7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลที่สามารถช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มได้ในช่วงเศรษฐกิจผันผวนระยะนี้


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 14 สิงหาคม 2565

“พล.อ.ประวิตร”ประธานฯมูลนิธิป่ารอยต่อถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม

,

“พล.อ.ประวิตร”ประธานฯมูลนิธิป่ารอยต่อถวายพระพร
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม

‘ พล,อ.ประวิตร’ ประธานฯมูลนิธิป่ารอยต่อ5 จังหวัดจัดพิธีเครื่องราชสักการะ ถวายราชสดุดี และพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะ กรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะถวายราชสดุดี และถวายพระพรชัยมงคลเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรรษา 12 สิงหา 2565 ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เขตพญาไท โดยมีคณะกรรมการมูลนิธิรวมในพิธี

ในโอกาสนี้ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 ได้กล่าวถวายราชสดุดีถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงและกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในทุกๆด้านอย่างเอนกอนันต์ ทรงส่งเสริมอาชีพ พร้อมยังอนุรักษ์ส่งเสริมงานศิลปะพื้นบ้านที่มีความงดงามหลายสาขา เช่นการปั้น การทอ การจักสาน

นอกจากนี้ ยังทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอนุรักษ์คุ้มครอง และฟื้นฟูและความหลากหลายทางชีวภาพอันเป็นฐานการดำรงชีวิตของพสกนิกรชาวไทยเสมอมา

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 14 สิงหาคม 2565

‘รมว.สุชาติ’ เตรียมเสนอ ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เร็วๆนี้!!!

,

‘รมว.สุชาติ’ เตรียมเสนอ ครม. เคาะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เร็วๆนี้!!!

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและ และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เเปิดเผยถึง ความคืบหน้าการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ว่าจะต้องมีการปรับตามสถานการณ์ของเงินเฟ้ออยู่แล้ว โดยดูว่าฐานเงินเฟ้อในประเทศไทยเท่าไหร่ แล้วเอามาเป็นตัวหลัก ซึ่งเรื่องนี้มีไตรภาคีจังหวัดที่จะพิจารณาก่อน มีทั้งลูกจ้างนายจ้างและฝ่ายรัฐบาลอยู่ใน ไตรภาคี ที่จะสุ่มตัวเลขมาว่า พอใจที่ตัวเลขเท่าไหร่ ส่วนกลางจะมาพิจารณาอีกทีว่า ที่ไตรภาคีเสนอมานั้นเหมาะสมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ได้ให้นโยบายกระทรวงแรงงานไปว่า การปรับค่าแรงอยากให้กระชับ ให้ช่วงสั้น ยังมีหลายกลุ่ม ส่วนการประกาศใช้ปกติ หลายคนอยากให้พูดในวันที่ 1 มกราคม แต่ในความเป็นจริงเราต้องยอมรับว่าของสินค้าต่างๆขึ้นราคาไปแล้ว ถ้าเราไปประกาศก่อน แล้วไปมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม อาจจะทำให้มีการขึ้นราคาสินค้าอีกรอบหนึ่ง ซึ่งจะไม่มีผลอะไรในการที่เราได้ปรับค่าแรง

นายสุชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้พูดคุยกับนายจ้างและผู้ประกอบการเขายอมรับในตัวเลขนี้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการเหล่านี้ไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันประกันสังคมรถหย่อนไปแล้วถึง 6 รอบ แต่ละรอบเป็นหมื่นล้านบาท ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อพยุงให้มีการจ้างงาน ลดค่าใช้จ่าย ลดค่าของชีพ ตามนโนบายของพรรค พปชร. ในการบรรเทาความเดือดร้อนของ ประชาชนในทุกกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตอย่างมั่นคง พปชร. พร้อม ให้ความร่วมมือเป็นกลไกผลักดันผ่าน กระทรวงแรงงานฯในการขับเคลื่อนการยกระดับีมือแรงงานให้สอดคล้องกับาภวะการผลิต และบริการที่เปลี่ยนไป วันนี้จึงต้องขอความร่วมมือนายจ้าง ซึ่งเขาให้ความร่วมมือ จะพยายามกลับให้เร็วกว่า 1มกราคม

ส่วนการปรับค่าจ้างนั้น จะดูพื้นที่โซนอุตสาหกรรมหลักๆ ก่อน เช่น จังหวัดภูเก็ต กรุงเทพมหานคร พื้นที่อีอีซี ซึ่งโซนเหล่านี้ถือเป็นหัวแถวอยู่แล้ว แต่จะปรับกี่เปอร์เซนต์ ต้องพิจารณาให้เหมาะสม เท่าที่ดูตัวเลขคร่าวๆ ประมาณ 5-8% ให้รับได้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

” เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งตอนนั้นยังใช้มาตรา 75 อยู่ หากปรับในตอนนั้นนายจ้างจะเอาเงินที่ไหนจ่าย และสุดท้ายอาจจะต้องตกงานกัน แต่เมื่อเราประคับประคอง นายจ้างและลูกจ้างจะอยู่ได้ โดยคาดว่าจะสามารถนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในเดือนกันยายนนี้”นายสุชาติกล่าว

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 12 สิงหาคม 2565

“รมช.สันติ”กดปุ่มลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ทั่วประเทศเริ่ม 5 ก.ย.นี้

,

“รมช.สันติ”กดปุ่มลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ทั่วประเทศเริ่ม 5 ก.ย.นี้

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเลขาธิการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. )เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนประชารัฐสวัสดิการ ว่าที่ประชุมได้ข้อสรุปในการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “บัตรคนจน” รอบใหม่ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2565 -19 ตุลาคม 2565 โดยจะเปิดลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะสาขาของธนาคาร 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) การธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย รวมถึง อำเภอ หน่วยงานท้องถิ่น อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สำนักงานเขต ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเปิดในลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย

“วันที่ 19 ตุลาคม 2565 จะเป็นวันสุดท้ายของการลงทะเบียนบัตรคนจน จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติโดยระบบเอไอ ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงาน กับ 38 หน่วยงาน ของภาครัฐ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการอุทธรณ์สิทธิเร็วที่สุดสิ้นปี 2565 คาดว่าจะพร้อมใช้สิทธิได้เร็วที่สุดในเดือนมกราคม ปี 2566 โดยจะมีการจัดพิธีลงนาม MOU ความร่วมมือโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 และแถลงข่าว ในวันที่ 16 สิงหาคม นี้ ที่กระทรวงการคลัง ”

สำหรับจุดรับลงทะเบียนได้มีการจ้างนักศึกษาที่จบใหม่ 2-3 ปี และยังไม่มีงานทำ ประจำหน่วยลงทะเบียน ตำบลละ 5 คน ทั่วประเทศ รวมทั้งหมดกว่า 30,000 คน โดยอัตราค่าจ้างในระดับปริญญาตรี จำนวน 15,000 บาทต่อเดือน ระดับปวส. จำนวน 11,500 บาทต่อเดือน และระดับ ปวช. 9,500 บาทต่อเดือน ใช้งบการจ้างงานรวมจำนวน 750 ล้านบาท ระยะเวลาการจ้างงาน 45 วัน และอบรมอีก 6 วัน

ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ในบัตรคนจนรอบใหม่จะใช้บัตรประชาชนใบเดียวเพื่อให้เกิดความสะดวก โดยจะเพิ่มจำนวนหรือไม่นั้นต้องดูที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเข้าไปดูแลปากท้องประชาชนในทุกกลุ่ม ให้มีความกินดีอยู่ดีในทุกมิติตามแนวทางของพปชร. ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นนโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐ ในการเข้าไปช่วยประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสวัสดิแห่งรัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคมอย่างเป็นรูปธรรม นับเป็นการเข้าไปดูแลระบบเศรษฐกิจฐานากให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีประชาชนลงทะเบียนครั้งนี้ จะมี 15-16 ล้านคน จากเดิมที่มี 13 ล้านคน อย่างไรก็ตามตัวเลขของประชาชนที่เพิ่มหรือลด จะไม่ตายตัวเพราะทุกปีจะมีการตรวจคุณสมบัติ


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 12 สิงหาคม 2565

“รมต.อนุชา”ลงพื้นที่ชลบุรีขับเคลื่อนกองทุนฯ สร้างเศรษฐกิจฐานรากพัฒนาอาชีพ-เพิ่มรายได้

,

“รมต.อนุชา”ลงพื้นที่ชลบุรีขับเคลื่อนกองทุนฯ
สร้างเศรษฐกิจฐานรากพัฒนาอาชีพ-เพิ่มรายได้

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดโครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมและสร้างโอกาสในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน ซึ่งจัดขึ้นโดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) โดยมี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เครือข่ายหมู่บ้าน องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน

นายอนุชา กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้การสนับสนุนการขับเคลื่อนงานกองทุนหมู่บ้านฯ มาโดยตลอด เนื่องจากเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน รวมถึงการสร้างกิจกรรมในชุมชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาการประกอบอาชีพ ส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการในชุมชน ก่อให้เกิดการจ้างงาน การสร้างรายได้ การจัดสวัสดิการ และการแก้ไขปัญหาในหมู่บ้านและชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศให้เกิดความเข้มแข็งบนพื้นฐานของความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ภายใต้แนวคิด BCG Economy Model เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

โครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมและสร้างโอกาสในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สร้างเสริม ส่งต่อ สู่อนาคต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านฯ รวมถึงการเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชน รวมถึงเครือข่ายได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ถ่ายทอดบทเรียนอย่างสร้างสรรค์ นำผลิตภัณฑ์ของกองทุนหมู่บ้านฯ มาต่อยอดทำการตลาดสู่ภาคประชาชนให้แพร่หลายมากขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการแสดงอัตลักษณ์ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแต่ละแห่ง สร้างความภาคภูมิใจจากการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และใช้ศักยภาพในการบริหารจัดการร่วมกัน เสริมสร้างความสามัคคีของชุมชน และทำให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน

กองทุนหมู่บ้านฯ ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 14 จังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง สมุทรปราการ สระแก้ว ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบรางวัลชนะเลิศแก่ผู้แทนกองทุนหมู่บ้านฯ ใน 3 สาขา ประกอบด้วย รางวัลกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตัวอย่าง รางวัลโครงการตามแนวทางประชารัฐตัวอย่าง และรางวัลเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตัวอย่าง พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการ ‘กองทุนสร้างชุมชน’ สร้างเสริม ส่งต่อ สู่อนาคต ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนที่คัดเลือกมาจากแต่ละจังหวัด และการนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเผยแพร่ผลเป็นบทเรียนแห่งการเรียนรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ

สำหรับกองทุนหมู่บ้านฯ ที่มีการบริหารจัดการและการดำเนินงานที่โดดเด่นในพื้นที่ จ.ชลบุรี ประกอบด้วย กองทุนหมู่บ้านห้วยทวน หมู่ 3 อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เป็นชุมชนในเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถบริหารจัดการกองทุนซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลลัพธ์การดำเนินงานเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนด้วยการเปิดโอกาสและสร้างอาชีพให้กับประชาชนในชุมชน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย ประมง และรับจ้าง การสนับสนุนของกองทุนฯ เปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนรวมถึงฐานะทางการเงินของหมู่บ้านดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกองทุนหมู่บ้านบางพลี หมู่ที่ 9 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ที่มีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และมีผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานในแต่ละปีจำนวนมาก โดยกองทุนหมู่บ้านบางพลีได้ตั้งโรงผลิตน้ำดื่มประชารัฐ เพื่อผลิตน้ำดื่มที่สะอาดบริสุทธิ์ ได้มาตรฐานให้แก่ประชาชนและชุมชนใกล้เคียงในราคาถูก ทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนในชุมชน สร้างงานสร้างอาชีพให้ประชาชน รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานด้านร้านค้าประชารัฐให้แก่ชุมชนอื่น รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสงเคราะห์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการออมเงินและดูแลระบบสวัสดิการชุมชนอีกด้วย


ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

“รมว. ตรีนุช”เปิดตัวคลังข้อมูลดิจิทัลครู-บุคลากรสพฐ. ยกระดับการสอนในระบบการศึกษาไทย

,

“รมว. ตรีนุช”เปิดตัวคลังข้อมูลดิจิทัลครู-บุคลากรสพฐ.
ยกระดับการสอนในระบบการศึกษาไทย

วันนี้ (11 ส.ค.2565) ที่ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานเปิดระบบ HRMS.OBEC ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการ และแนวทางการปฏิบัติงานในภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ หรือที่เรียกว่ารัฐบาล 4.0 และตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศธ.ก็มีนโยบายให้พัฒนาประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษาของประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ รวมถึงการพัฒนาการจัดเก็บข้อมูล หรือ Big Data อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพรวมการศึกษาของประเทศที่มีความครบถ้วน สมบูรณ์ ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง โดยกำหนดเป็นหนึ่งใน 7 วาระเร่งด่วนของ ศธ.และวันนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ยกระดับการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลของครูและบุคลากรในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ โดยจัดทำระบบ HRMS.OBEC (เอช-อาร์-เอ็ม-เอส-ดอท-โอ-เบค) ได้สำเร็จ ตามที่ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้นำเสนอไว้ และนำมาใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในปีการศึกษานี้

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อไปว่า HRMS.OBEC เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ที่ สพฐ.นำมาใช้จัดเก็บฐานข้อมูลครูและบุคลากรทางการศึกษาของ สพฐ. โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บรักษาข้อมูล ควบคุมการเข้าถึงข้อมูล สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการคาดการณ์และวิเคราะห์ที่แม่นยำมากขึ้น ทำให้ส่วนราชการมีข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารงานบุคคลที่เป็นปัจจุบันแบบ Real Time ประหยัดเวลาในการรายงานและสืบค้นข้อมูล ลดกระบวนการที่ซ้ำซ้อน ช่วยลดภาระการทำงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำให้ครูได้มีเวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มประสิทธิภาพ

“ HRMS.OBEC เป็นผลงานของข้าราชการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สพฐ. ที่ได้พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถของข้าราชการในสังกัด สพฐ.เอง ดิฉันขอชื่นชมผลงานที่เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งระบบฐานข้อมูลนับเป็นหัวใจ และเป็นรากฐานที่สำคัญในการบริหารงานราชการ ไม่เพียงประโยชน์จะเกิดภายใน สพฐ. แต่สามารถนำมาขยายผล และต่อยอดกับหลายส่วนงานใน ศธ.เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อระบบการบริหารการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบ DPA (Digital Performance Appraisal) ของทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่ใช้ในการประเมินวิทยฐานะของครูผ่านระบบดิจิทัล สร้างความโปร่งใส ความเป็นธรรมต่อระบบการประเมินวิทยฐานะ และเป็นการยกระดับวิชาชีพครูให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น และจะมีส่วนสำคัญต่อการยกระดับการบริหารจัดการฐานข้อมูลของ ศธ.ให้เป็นหนึ่งเดียว” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันฐานข้อมูลในระบบ HRMS.OBEC จะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญ ในการส่งต่อให้แก่สถาบันอุดมศึกษา เพื่อการวางแผน และเตรียมการในการผลิตบุคลากรด้านการศึกษาของประเทศ ได้ในปริมาณที่ตรงกับความต้องการ สอดรับกับการแผนอัตรากำลัง รวมถึงการวางแผนพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งในภาพของ ศธ. และการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถได้ครู และบุคลากรทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในทุกพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น จากนี้ไปข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากระบบ HRMS.OBEC จะกลายเป็น big data ที่สำคัญของ ศธ.ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และสามารถบอกกล่าวได้ว่า การบริหารทรัพยากรบุคคลของ ศธ.เป็นการวางแผนเพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษา และนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง.

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร.นครสวรรค์ ร่วมสืบสานประเพณีทิ้งกระจาด แจกถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนปชช.

,

ส.ส.พปชร.นครสวรรค์ ร่วมสืบสานประเพณีทิ้งกระจาด แจกถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนปชช.

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.สัญญา นิลสุพรรณ พปชร. จ.นครสวรรค์” พร้อมด้วย คุณพิมพ์ปวีณ์ นิลสุพรรณ เลขาฯนายก อบจ.นว. ร่วมกันมอบถุงยังชีพในประเพณีทิ้งกระจาด ประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อบรรเทาและแบ่งเบาภาระให้กับชาวบ้านและผู้ยากไร้ ซึ่งจัดประเพณีโดยคณะกรรมการจัดงานประเพณีแห่เจ้าพ่อ-เจ้าแม่บรรพตพิสัยณ ณ ศาลเจ้าส้มเสี่ยว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์

สำหรับประเพณีทิ้งกระจาด ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพราะถือว่าเป็นประเพณีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งที่เป็นญาติและไม่เป็นญาติพร้อมกับทำทานให้แก่ผู้ยากไร้

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร.นครราชสีมา ดูแลผู้ประสบภัยน้ำท่วม มอบถุงยังชีพบรรเทาทุกเบื้องต้น

,

ส.ส.พปชร.นครราชสีมา ดูแลผู้ประสบภัยน้ำท่วม มอบถุงยังชีพบรรเทาทุกเบื้องต้น

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.ทัศนียา รัตนเศรษฐ พปชร. จ.นครราชสีมา” พร้อมด้วย นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำถุงยังชีพและข้าวสาร มามอบให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ในตำบลรังกาใหญ่ ตำบลโบสถ์ ตำบลในเมือง อาทิ วัดพัฒนาราม วัดพุทรา ศาลาบ้านหนองไทร วัดหนองขาม วัดวังหิน วัดดอนแซะ วัดใหม่ประตูชัย วัดเดิม ศาลาบ้านกอก และวัดบ้านขาม

ทั้งนี้ การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อดูแลและบรรเทาทุกข์ความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมบ้านเรือนและพื้นที่ทำกิน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการแก้ไขและดูแลเรื่องปัญหาปากท้องของคนไทยให้กินดีอยู่ดีและมีความสุขอย่างยั่งยืน

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565

ส.ส.พปชร. กทม. หารือโครงการปรับปรุง ถ.รามคำแหง-หัวหมาก แก้ไขปัญหาจราจรประชาชน

,

ส.ส.พปชร. กทม. หารือโครงการปรับปรุง ถ.รามคำแหง-หัวหมาก แก้ไขปัญหาจราจรประชาชน

พรรคพลังประชารัฐ โดย “ส.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ พปชร.กทม.เขต 13 ร่วมประชุมพิจารณาศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชน กรณีโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนรามคำแหง 24 และถนนหัวหมาก เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและเชื่อมโยงโครงข่ายถนนรามคำแหง และแก้ไขปัญหาการทรุดตัวของถนนรามคำแหง 24 และหัวหมาก โดยมี นายสามารถ มะลูลีม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตบางกะปิ และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเจ้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ ทางสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงความคืบหน้าของโครงการว่า เบื้องต้นผู้อำนวยการสำนักการโยธา พร้อมคณะผู้สำนักการโยธา และข้าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เข้าหารือกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหง เรื่องขอใช้พื้นที่บางส่วนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อดำเนินการโครงการก่อสร้าง โดยสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร จะใช้พื้นที่ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดำเนินการปรับปรุงแก้รูปแบบโครงการ จากเดิมก่อสร้างทางยกระดับขนาด 2 ช่องจราจร มาเป็นการก่อสร้างถนนระดับทางราบขนาด 4 ช่องจราจร (ยกเลิกการก่อสร้างทางยกระดับ) ซึ่งจะทำให้ประชาชนซอยรามคำแหง 24 ได้ใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด และประหยัดงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนด้วย

พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าในการเข้าถึงดูแลประชาชนเป็นไปตามนโยบาย ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้กินดีอยู่ดี พร้อมการเข้าไปรับฟังปัญหา ความเดือดร้อนนำมาสู่การแก้ไขต่อไป โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยั่งยืน

ที่มา : ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ : 11 สิงหาคม 2565