“พล.อ.ประวิตร” ประกาศรับรอง 15 เมืองอัจฉริยะไทยแลนด์
พร้อมดัน 7 เมืองขึ้นชั้นอัจฉริยะอาเซียนหนุนเศรษฐกิจดิจิทัล
9 พฤศจิกายน 2565 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยมี นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และผู้แทนจากสำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และผ่านระบบออนไลน์
ทั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะที่มี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน โดยเฉพาะประเด็นการมอบตราสัญลักษณ์เพื่อรับรองการเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ 15 พื้นที่ใน 14 จังหวัด ประกอบด้วย
1) นครระยอง เมืองอัจฉริยะและน่าอยู่ จังหวัดระยอง
2) คันทรงโมเดล เมืองแห่งความสุขที่พึงประสงค์และสังคมแห่งการแบ่งปัน จังหวัดชลบุรี
3) เมืองอัจฉริยะจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
4) โครงการพิษณุโลกนครอัจฉริยะอย่างยั่งยืน จังหวัดพิษณุโลก
5) นครเชียงรายสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดเชียงราย
6) เมืองน่านสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดน่าน
7) โคราชเมืองอัจฉริยะ จังหวัดนครราชสีมา
8) Smart City อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
9) กระบี่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดกระบี่
10) จังหวัดพังงาสู่เมืองอัจฉริยะ จังหวัดพังงา
11) Satun Smart City จังหวัดสตูล
12) พัฒนาเทศบาลนครเกาะสมุย สู่เมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
13) หาดใหญ่เมืองอัจฉริยะสีเขียว จังหวัดสงขลา
14) ปัตตานีเมืองอัจฉริยะ จังหวัดปัตตานี
15) เมืองสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์นราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
อย่างไรก็ตามการประกาศดังกล่าว ปัจจุบันส่งผลให้ประเทศไทยมีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะรวม 30 พื้นที่ใน 23 จังหวัดแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้มากกว่า 20 ล้านคน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการส่งเสริมการลงทุนสำหรับกิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ และกิจการพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะจากบีโอไอ โดยทั้ง 15 เมืองอัจฉริยะประเทศไทยใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาทและพัฒนาสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาการเสนอเมืองเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network: ASCN) เพิ่มเติม ประกอบด้วย เชียงใหม่ ขอนแก่น ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งเดิมมีเมืองที่เข้าร่วมแล้วคือ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งทั้ง 7 เมืองนับเป็นเป้าหมายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของรัฐบาล
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบผลการจัดกิจกรรมสานต่อความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network: ASCN) ผลการดำเนินกิจกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในปี 2565 ผ่านกิจกรรมการพัฒนากำลังคนด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ อาทิ โครงการนักส่งเสริมดิจิทัลพัฒนาเมืองรุ่นใหม่ (Smart City Ambassadors) รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนากำลังคนดิจิทัลรุ่นใหม่ ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะด้านดิจิทัลให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กิจกรรมส่งเสริมและสร้างความตระหนัก อาทิ การจัดประกวด The Smart City Solution Awards 2022 เพื่อมอบรางวัลแก่ผู้ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อการบริการภาคประชาชน และการจัดนิทรรศการ Smart City Expo 2022 ที่จะมีขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2565
พลเอกประวิตร กล่าว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลผ่านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ตามแนวทางที่แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีได้วางไว้ โดยการประชุมในวันนี้เพื่อรับทราบผลการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2565 กิจกรรมการพัฒนากำลังคนด้านเมืองอัจฉริยะ การสร้างกลไกการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพิจารณาเพิ่มเมืองเพื่อเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ทั้งนี้ ขอให้ทุกภาคบูรณาการการทำงาน เพื่อขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะของประเทศ เนื่องจากเป็นวาระแห่งชาติ และจะนำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของภาคประชาชน ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยเฉพาะหมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน
ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤศจิกายน 2565