โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรมพรรค

รมว.ธรรมนัส หารือร่วมกับ RSPO มุ่งยกระดับผลิตปาล์มน้ำมัน พร้อมผลักดันสินค้าจากปาล์มน้ำมันสู่การแข่งขันในตลาดโลก

, ,

รมว.ธรรมนัส หารือร่วมกับ RSPO มุ่งยกระดับผลิตปาล์มน้ำมัน พร้อมผลักดันสินค้าจากปาล์มน้ำมันสู่การแข่งขันในตลาดโลก

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับ นาย โจเซฟ เดอ ครูซ ประธานบริหารของ Roundtable on Sustainable Palm Oil : RSPO โดยมี นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนสาร ธรรมสอน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายระพีภัทร จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นางสาวกาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ดร.วนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องรับรองพิเศษ 201 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า น้ำมันปาล์มเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการปลูกปาล์มน้ำมันยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable and Climate – friendly Palm Oil Production and Procurement in Thailand : SCPOPP) โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และกรมวิชาการเกษตร ร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในการผลิตน้ำมันปาล์ม เพิ่มความยั่งยืนในการผลิตน้ำมันปาล์มทั้งทางสิ่งแวดล้อมและสังคม และสนับสนุนเกษตรกรในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้ให้เกษตรกร พร้อมเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก

นอกจากนี้ RSPO มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการปลูกปาล์มน้ำมันที่สอดคล้องกับโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะยกระดับมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในประเทศไทยอย่างยั่งยืน กระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะสนับสนันและยินดีร่วมมือกับ RSPO เพื่อประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกร และเป็นแนวทางในการเปิดตลาดใหม่สำหรับน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยเฉพาะในกลุ่มสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นต่อไป

ทั้งนี้ RSPO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปลูกและใช้ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันที่ยั่งยืนผ่านมาตรฐานการรับรองที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และยังมีสำนักงานตัวแทนอยู่ในอินโดนีเซีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ จีน และโคลัมเบีย ปัจจุบัน สมาชิกของ RSPO มากกว่า 5,000 ราย มาจากหลายภาคส่วนทั้งบริษัทผู้ปลูก ผู้ค้าและผู้ผลิตสินค้าแปรรูป สถาบันการเงินและ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจากประเทศผู้ผลิตหรือใช้น้ำมันปาล์ม RSPO

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 5 เมษายน 2567

พัชรวาท ตรวจฝุ่น ภาคอุตสาหกรรม-เกษตรกรรม ชมผู้ว่าฯปทุมธานี จัดการปัญหาแบบเอาอยู่

,

“พัชรวาท” ตรวจฝุ่น PM2.5 ภาคอุตสาหกรรม-เกษตรกรรม ปทุมธานี ชื่นชมผู้ว่าฯ จัดการปัญหาแบบเอาอยู่ ยกสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ต้นแบบจัดการสิ่งแวดล้อม ขอบคุณชาวนาตื่นตัวลดการเผา

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวง น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เดินทางลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่จังหวัดปทุมธานี พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของโครงการสวนอุตสาหกรรมบางกะดี มีนายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัทสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารจังหวัดปทุมธานี ให้การต้อนรับ ภายหลังเยี่ยมชมสวนอุตสากรรมบางกะดีแล้วเสร็จ ได้เดินทางไปเยี่ยมชม โรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด ของบริษัท วีอาร์พี ดีเวลลอปเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด และแปลงนาสาธิตการทำนาปลอดการเผา

พล.ต.อ.พัชรวาท เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาตรวจเยี่ยมและติดตามปัญหาปัญหาฝุ่น PM2.5 ของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งบริหารจัดการได้ดีมาก ภายใต้การดูแลของผู้ว่าฯปทุมธานี โดยที่ปทุมธานีมีพื้นที่การทำนาถึง 67 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด อีกทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 3,400 แห่ง แต่ยังสามารถบริหารจัดการคุณภาพอากาศให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะสวนอุตสาหกรรมที่มี 38 โรงงาน แต่สามารถบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม มีระบบบำบัดอากาศทำให้ไม่ส่งผลกระทบด้านฝุ่น สามารถอยู่ร่วมกับชุมชน และยังเป็นต้นแบบโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส่วนการดูงานโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดที่กรมควบคุมมลพิษ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท วีอาร์พี ดีเวลลอปเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด สนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันและลดการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ ทางการเกษตรเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยนำเศษวัสดุการเกษตร ได้แก่ ฟางข้าว ใบอ้อย ไม้ไผ่ต้นและซังข้าวโพด เปลือก มะพร้าว และ เศษต้นไม้อื่นๆ มาอัดเม็ด ทำให้สามารถลดปริมาณฝุ่นและส่งขายให้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่วนแปลงนาปลอดการเผานับเป็นความร่วมมือที่ดีจากชาวนาปทุมธานี เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ให้กับกรุงเทพฯ และปริมณฑล

“กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ พยายามบูรณาการแก้ปัญหากับทุกภาคส่วนเพื่อลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ควบคู่กับการส่งเสริมภาคเกษตรกรรมปลอดการเผาอย่างเป็นอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมนำเศษวัสดุเหลือใช้มาผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด เป็นแนวทาวช่วยลดการเผา ขณะเดียวกันปัญหานี้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่ายด้วย”

ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4501142
วันที่ 30 มีนาคม 2567

“อัคร” โชว์ แนวทางขับเคลื่อนไทย สู่ลดก๊าซเรือนกระจก ใช้กลไกสภา ดันกฎหมาย

,

“อัคร” โชว์ แนวทางขับเคลื่อนไทย สู่ลดก๊าซเรือนกระจก ใช้กลไกสภา ดันกฎหมาย

“สส.อัคร” พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถ้อยแถลง ประชุมยุวสหภาพรัฐสภา โชว์ แนวทางขับเคลื่อนไทย สู่การลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมใช้กลไกรัฐสภา ผลักดันกฎหมายสร้างกลไกมีส่วนร่วม สู่เป้าหมายเน็ตซีโร่

วันที่ 26 มี.ค. 67 นายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพชรบูรณ์ เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมยุวสหภาพรัฐสภา ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า การดำเนินนโยบายของไทย สู่เป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และเป็นไปตามร่างข้อมติเรื่องความร่วมมือเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานสีเขียวในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการผสมผสานและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด และการสนับสนุนไปสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียวเพื่อรองรับ การดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในเรื่องนี้ Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ให้สอดรับกับสถานการณ์ของประเทศและ ความต้องการใช้พลังงาน ทุกระดับโดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทย ได้มีแนวทางในด้านการบริหารจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผ่านการดำเนินการโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการลดก๊าซเรือนกระจก

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยให้ความสำคัญกับปฏิญญาของการประชุมประเทศภาคีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (UN Climate Change Conference) หรือ COP และเพิ่มความเข้มข้น และแสวงหาความร่วมมือในระดับพหุภาคี ที่จะนำไปสู่การจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยมุ่งเน้นภารกิจที่ชัดเจนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติได้มีการตั้ง “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” เพื่อเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และมุ่งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและองค์กรระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยังใช้กลไกทางรัฐสภา โดยสมาชิกรัฐสภาผู้แทนราษฎร มีบทบาทสำคัญในการผลักดันกฎหมาย รวมถึงประสานงานกับฝ่ายบริหารเพื่อจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อและมีการจัดสรรทรัพยากรให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ การดำเนินการของรัฐสภา ทุกฝ่ายได้ให้ความสำคัญ ในการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างกว้างขวางเพื่อที่จะออกกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เป็นไปตามข้อตกลงปารีส และเป้าหมายลดการเพิ่มอุณหภูมิของโลก เราหวังว่ารัฐสภาไทยจะประสบความสำเร็จในการออกกฎหมายนี้ จะนำไปสู่สิทธิขั้นพื้นฐานของอากาศบริสุทธิ์ให้กับประชาชนทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ในการผลักดันของสมาชิกรัฐสภารุ่นเยาว์ ปัญหาที่เกิดขึ้น จำเป็นต้องเปิดกว้างในการรับความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของเยาวชนอย่างสร้างสรรค์ เพราะในโลกใบนี้เยาวชนจะเป็นและจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศในอนาคตเพื่อให้เยาวชนเป็นหัวใจสำคัญของทุกสภาพอากาศ นโยบายและเสียงของคนรุ่นอนาคตไม่ควรละเลย กระบวนการตัดสินใจด้านสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา
ความคืบหน้าอีกประการหนึ่งที่เราอยากแบ่งปันก็คือสภาผู้แทนราษฎร ของไทยมีมติเป็นเอกฉันท์ยอมรับในหลักการ “ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” ในเดือนมกราคมปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขมลพิษทางอากาศด้วยแนวทางที่ยั่งยืนและระยะยาว เราหวังว่า รัฐสภาไทยจะประสบความสำเร็จในการออกกฎหมายนี้ เราภูมิใจในสิทธิขั้นพื้นฐานในการสูดอากาศบริสุทธิ์ให้กับประชาชนทุกกลุ่มและยุคสมัย

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/politics/1119279
วันที่ : 27 มีนาคม 2567

‘ธรรมนัส’ ประกาศสงครามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ยื่น ป.ป.ง. 220 คดี เอาผิดทางแพ่ง

,

“ธรรมนัส” ประกาศนโยบาย ทำสงครามกับสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย รับลูก “นายกฯ”สั่งลุยเต็มที่ เผย ยื่นดำเนินการไปแล้วกว่า 220 คดี ร้อง ป.ป.ง. หนุนเดินหน้าเอาผิดทางแพ่ง “ผบ.หน่วยพญานาคราช” ชี้ เรื่องยังไม่จบเท่านี้ จ่อลากอีก 9 บริษัทนำเข้า

25 มี.ค.2567 ที่รัฐสภา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ, รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.), พันเอกรวิรักษ์ สัตตบุสย์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช, นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง, นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมแถลงข่าว ประกาศนโยบายทำสงครามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและภาคการเกษตรของประเทศ

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตั้งแต่ลงพื้นที่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พบว่ามีการลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนหมูเถื่อนมากับสินค้าประมง และพบความผิดมากกว่า 220 คดี จากการปลอมแปลงเอกสารขออนุญาตนำเข้าสินค้าประมง แต่กลับนำสินค้าประเภทเนื้อหมู จำนวน 1,800,000 กิโลกรัม เนื้อวัว 4,000,000 กิโลกรัม สร้างมูลค่าความเสียหาย 1,400 ล้านบาท ต่อภาคการเกษตร ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ไปยื่นดำเนินคดีกับบริษัทนำเข้า ซึ่งพบว่ามีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารเพิ่มขึ้นสองเท่า มีมูลค่าความเสียหายเกือบ 3,000 ล้านบาท

ด้าน อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้าน มีทั้งนักกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสาร และผู้เชี่ยวชาญปศุสัตว์ เราได้แจ้งความที่กรมสอบสวนกลางกับ 3 บริษัทผู้นำเข้า คือ บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริบูรณ์ เทรดดิ้ง พบความผิดปกติว่า บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด ใช้ใบรับรองสุขอนามัยสัตว์ที่ได้รับการรับรองจากประเทศบราซิล มาปลอมแปลงข้อมูลให้เป็นใบรับรองสุขภาพสัตว์น้ำ ยื่นขอตรวจที่ด่านชลบุรี ซึ่งเมื่อตรวจสอบไปยังต้นทางได้รับการยืนยันว่า เป็นเอกสารปลอม

ทั้งนี้ กรมประมงได้แจ้งความต่อตำรวจสอบสวนกลางให้ดำเนินคดี 4 ข้อกล่าวหา คือ
1.ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารมาตรา 264
2.ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมมาตรา 268
3.ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานเจ้าหน้าที่มาตรา 137
4.พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 จึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว นำข้อมูลพยานหลักฐานข้อเท็จจริงมาชี้แจงกับพนักงานสอบสวน เพื่อต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม

ส่วนพล.ต.ต.วิทยา ระบุว่า มีบริษัทนำเข้า 3-5 ราย นำใบรับรองสุขาอนามัยสัตว์ (Health certificate) เอกสารปลอมกระทรวงเกษตรฯ และกรมสอบส่วนกลาง ยืนยันว่าใบที่แสดงไม่ได้ออกจากต้นทาง มูลเหตุจูงใจเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และหลีกเลี่ยงการกักกันโรค ที่กำลังทำการสืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มนายทุน ที่อยู่เบื้องหลัง

นอกจากนี้ รองเลขา ป.ป.ง. เผยว่า เราได้รับคำสั่งให้สนับสนุน การปฎิบัติของกระทรวงเกษตรฯ ในการใช้กฎหมาย นอกจากคดีอาญา ความผิดทางการเงิน ป.ป.ง. จะดำเนินการในทางแพ่ง นอกจากจะติดคุก จะหมดตัวด้วย
ด้านพันเอกรวิรักษ์ ย้ำว่า เรื่องนี้ยังไม่จบเท่านี้ เพราะจะมีผู้ประกอบการที่จะถูกดำเนินคดีอีก 9 บริษัท และคดีมีมากกว่า 400 คดี

เมื่อผู้สื่อข่าว ข้อมูลชุดนี้เป็นตัวเดียวกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กำลังทำอยู่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นชุดเดียวกัน แต่ในส่วนของกรมประมง และหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช เราป้องกันการนำเข้าสินค้าประมงผิดกฎหมายที่นำมาขยายต่อ

ทางด้าน หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช กล่าวว่า เหตุเกิดจากวันที่ ร.อ.ธรรมนัส ไปตรวจที่แหลมฉบัง ซึ่งในตู้คอนเทนเนอร์พบว่า มีหมูเถื่อนอยู่ข้างใน ทำให้กรมประมงจึงได้จัดตั้งวอร์รูม ซึ่งความผิดปกติที่เราเจอเป็นเส้นทางใหม่ของสินค้าประมง สำหรับเอกสารหลักฐานต่างๆ พบว่ามีความผิดปกติ เราเปิดหลักฐานชิ้นใหม่ในข้อกล่าวหาต่างๆ เป็นการเริ่มต้นปลอมแปลงเอกสารนำเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวเสริมว่า ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเดียวกัน แต่จะเพิ่มอีก 5 บริษัท ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ที่ดีเอสไอดำเนินคดีกับผู้นำเข้าตู้คอนเทนเนอร์ โดยเมื่อขยายผล ตรวจสอบ เราพบหลักฐานว่า สามารถดำเนินคดีได้ 220 คดี และเพิ่มอีก 400 กว่าคดี และมีความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาคการเกษตรไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท หรืออาจจะมีมูลค่าถึง 10,000 ล้านบาท

ถามว่าคดีที่มีจำนวนเยอะแบบนี้ จะต้องประสานกับดีเอสไอในการดำเนินคดี และมีความเชื่อมโยงกับคดีที่ดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า นายกฯเห็นว่า เรื่องนี้สำคัญ และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบคดีนี้โดยตรง กว่า 3 เดือนที่ผ่านมา เราทำงานเชิงรับกันมาตลอด และกรมสอบสวนกลางจะเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามคดีทั้งหมด

ทั้งนี้ ในอนาคตจะประสานให้ดีเอสไอมาช่วยรับผิดชอบถ้าเกี่ยวข้องกับคดีเก่าๆ ย้ำว่า ไม่ใช่ว่าเราไม่ไว้ใจการทำงานของดีเอสไอ แต่เป็นการทำงานที่ต้องช่วยกัน เพราะในหลายคดีก็ทำงานรวดเร็ว แต่คดีที่สร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตร มีความจำเป็นที่ต้องทำงานใกล้ชิดอย่างละเอียด โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมสอบสวนดำเนินคดีแล้ว

ด้านพันเอกรวิรักษ์ ย้ำว่า เอกสารที่ตรวจเจอก่อนหน้านี้ ดีเอสไอได้ขอกับกรมประมงและกรมปศุสัตว์ แต่เอกสารที่เปิดวันนี้ ต้องใช้ความชำนาญโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่กรมประมง แต่กรมปศุสัตว์ที่มีความเชี่ยวชาญ ก็ต้องมานั่งหาสาเหตุร่วมกัน ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ตนขอตอบได้เลยว่า ไม่ใช่เอกสารที่จะตรวจพบความปกติได้ง่าย

ทั้งนี้ คดีกว่า 200 คดี หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ร.อ.ธรรมนัส ก็ได้มอบนโยบายกับอธิบดีกรมประมงและอธิบดีกรมปศุสัตว์ ให้สามารถดำเนินคดีได้เลย ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐระดับไหนก็ตามมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งตอนนี้ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนสอบสวนเรื่องนี้โดยเฉพาะแล้ว

ส่วนคดีนี้จะมีตอหรือไม่นั้น ร.อ.ธรรมนัส ย้ำว่า เราทำงานตามหน้าที่เพื่อตอบสังคม ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้จะเจออุปสรรค แต่นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เดินหน้าเต็มที่ ตนไม่ต้องการจะพูดคำว่า ’โค่น‘ แต่ต้องทำลายวงจรอุบาทว์นี้ให้ได้ และหากพบว่าบริษัทนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์เกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินคดีเช่นกัน

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/politics/1119279
วันที่ : 25 มีนาคม 2567

ทีม ศก. พลังประชารัฐเสนอนายกฯ เร่งแก้หนี้ครัวเรือน ที่กำลังเป็นปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนเวลานี้

,

ทีม ศก. พลังประชารัฐเสนอนายกฯ เร่งแก้หนี้ครัวเรือน ที่กำลังเป็นปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนเวลานี้

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยผลการศึกษา เรื่อง “ปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศไทย” โดยระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ได้ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้นเกือบร้อยละ 91 ของจีดีพี คิดเป็นมูลค่าถึง 16.2 ล้านล้านบาท (ณ ไตรมาสที่ 3/2566) สถานการณ์ดังกล่าว กำลังสั่นคลอนความมั่นคงในครอบครัวคนไทย เนื่องจากตกอยู่ในภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่มีเงินในการจับจ่ายใช้สอยเพียงพอ เพราะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว สุดท้ายนอกจากจะกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศแล้ว ยังเป็นชนวนเหตุให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมารอบด้าน

ทั้งนี้ จากการศึกษาภาวะหนี้ครัวเรือนไทย พบว่า สัดส่วนหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึงกว่าร้อยละ 76 ประกอบด้วยหนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ หนี้สินส่วนบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับของ ธปท. หนี้เพื่อการศึกษา ส่วนหนี้เพื่อการลงทุนประกอบอาชีพและอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนเพียง ร้อยละ 24

ขณะที่ สถิติของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในปี 2566 มีหนี้เสียในระบบถึง 1.05 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้าร้อยละ 6.6 โดยหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือกลุ่มหนี้สินเชื่อยานยนต์ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล นอกจากนี้ ในกลุ่มหนี้ที่จับตาเป็นพิเศษ (SM) หรือหนี้ที่กำลังจะกลายเป็น NPL สูงถึง 6.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 17.8 และจากรายงานของกรมบังคับคดี ประเมินว่าจะมีลูกหนี้ถูกพิพากษาให้ชำระหนี้และถูกบังคับคดีราว 1.05 ล้านคดี ทุนทรัพย์รวมกว่า 15 ล้านล้านบาทภายในระยะ 10 ปีข้างหน้า

เมื่อพิจารณาด้านรายได้ พบว่าภายหลังวิกฤติโควิด-19 ยุติลง ได้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในคนไทยมากขึ้น โดยมีคนมากถึง ร้อยละ 50 ที่ไม่สามารถสร้างรายได้กลับมาในระดับเดิมก่อนโควิด ในทางกลับกันมีคนเพียงร้อยละ 10 ที่สามารถสร้างรายได้สูงกว่าระดับเดิมก่อนช่วงโควิด

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ว่า ผู้มีรายได้น้อย คือคนที่มีความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง เข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์และล้มละลายมากที่สุด เนื่องจากกลุ่มรายได้น้อยมีภาระรายจ่ายและภาระหนี้สูงกว่ารายได้ในสัดส่วนสูงที่สุด โดยกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน จะมีรายจ่ายบวกภาระคืนหนี้คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 138.2 ของรายได้ กลุ่มรายได้ 1.5-3 หมื่นบาทต่อเดือนคิดเป็น ร้อยละ 109.4 กลุ่มรายได้ 3-5 หมื่นบาทเดือนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 104.7

ด้าน นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากรายงานของ IMF ชี้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อGDP ของไทยอยู่ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ สวีเดน แต่ขีดความสามารถทางการแข่งขันและโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับประเทศเหล่านั้น ดังนั้น ไทยจึงมีความเสี่ยงที่หนี้ครัวเรือนจะก่อปัญหาทางเศรษฐกิจสูง ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนด้วยการยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลต้องจับมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนสถาบันการเงินเอกชนมาร่วมกันแก้ไข

นายอุตตม กล่าวว่า ส่วนมาตรการที่กำหนดขึ้นควรขับเคลื่อนภายใต้ 4 แนวคิด เพื่อให้การแก้ไขปัญหาประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย 1.ครอบคลุม เข้าถึงประชาชนในทุกพื้นที่ทุกอาชีพด้วยความเป็นธรรมเสมอภาค 2.ครบวงจร เชื่อมโยงการแก้หนี้เดิมเติมทุนใหม่ พร้อมกับเติมทักษะเพื่อสร้างอาชีพ

3.ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยให้ความสำคัญกับการใช้ AI Data สร้างฐานข้อมูลการจัดการปัญหาหนี้อย่างเป็นระบบ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคนและชุมชนให้มีความเข้มแข็งต่อการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 4.ขับเคลื่อนขบวนการต่อเนื่อง โดยกำหนดมูลค่าหนี้และกลุ่มเป้าหมายชัดเจน พร้อมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ และติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดงบประมาณที่เพียงพอ

“ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ เสนอว่าภาครัฐควรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยเร่งด่วน เพื่อไม่ให้หนี้ครัวเรือนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยการแก้ไขจะสำเร็จได้จะต้องทำพร้อมกัน 2 ด้าน คือ ทั้งการลดหนี้และสร้างรายได้หรือเม็ดเงินเข้ากระเป๋าประชาชนเพิ่มด้วยจึงจะเป็นการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ” นายอุตตม กล่าว

ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการวิชาการกล่าวว่า จากการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ภาครัฐควรใช้กลไกลบรรษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่จัดตั้งเป็นรูปแบบกองทุนแก้หนี้ภาคครัวเรือน ส่วนเม็ดเงินที่นำมาใช้ สามารถออกมาตรการกระตุ้นให้ธนาคารพานิชย์เข้าร่วมช่วยเหลือลูกหนี้ โดยวิธีที่ทำได้คือ กระทรวงการคลังต้องทำงานร่วมกับ ธปท. กำหนดนโยบายลดการส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู (FIDF) ครึ่งหนึ่งให้กับธนาคาร เหลือร้อยละ 0.23 ต่อ 6 เดือนเป็นการชั่วคราว 5 ปี และให้นำเม็ดเงินส่วนที่ลดลงนั้นมาตั้งกองทุนดังกล่าว และธนาคารจะต้องนำเอากำไรสะสมของตนเองเข้าร่วมโครงการด้วยไม่น้อยกว่า ร้อยละ 25 ของหนี้ที่ลดให้แก่ลูกหนี้ด้วย

อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า สำหรับแนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้ของกองทุน คือ ปรับโครงสร้างหนี้แบบตัดยอดหนี้ (hair cut) ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่รวดเร็วทันกาล และสร้างโอกาสให้ลูกหนี้ตั้งตัวกลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดีต่อไป โดยกำหนดใช้กับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ส่วนลูกหนี้ที่ธนาคารฟ้องคดีเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างบังคับคดียึดบ้าน ยึดหลักประกัน หรืออาจถูกฟ้องล้มละลายนั้น ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการต้องยอมสละสิทธิในการฟ้องล้มละลาย ต้องยอมชะลอการยึดหลักประกัน และต้องลดราคาขายประกันเพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสมาซื้อหลักประกันคืน ตามหลักเกณฑ์ที่สมาคมธนาคารไทยจะกำหนดกับ ธปท. ทั้งนี้ เฉพาะสำหรับลูกหนี้ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 3 ล้านบาท

อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ทั้งนี้ทีมเศรษฐกิจพลังประชารัฐ เสนอว่าแม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้รวมทั้งมาตรการ hair cut จะต้องทำควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้เข้ากระเป๋าประชาชน ภายใต้ 4 มาตรการ ดังนี้ 1.นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีคลัง ควรหารือกับ ธปท. เพื่อกระตุ้นการลงทุนเอกชนขยายกำลังผลิตและเพิ่มการจ้างงาน ด้วยการเพิ่มสภาพคล่องเข้าในระบบการเงินและหรือการลดดอกเบี้ย

2. รัฐบาลควรพิจารณาค้ำประกันหนี้ให้ SMEs ที่จะกู้ใหม่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ในสัดส่วนสูงเป็นพิเศษชั่วคราว อาจจะถึง 80% ถ้าเป็นโครงการใหม่ที่ธนาคารเห็นว่ามีศักยภาพ และไม่ใช่การกู้หนี้ใหม่ไปเพื่อใช้คืนหนี้เก่า

3. รัฐบาลควรพิจารณาจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจเอกชนตั้งใหม่ที่เน้นนวัตกรรมในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยร่วมกับหน่วยงานที่ชำนาญด้านการลงทุน เช่นตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมธนาคารไทย เป็นต้น

4. สร้างรายได้เพิ่มเติมหรือลดค่าใช้จ่ายให้เอกชน เช่น สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยเปิดเสรีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และรับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบแบบ “หักกลบลบหน่วย” โดยธนาคารของรัฐเข้าไปสนับสนุนเงินทุนแก่ครัวเรือน รวมทั้ง อบต. เทศบาล เพื่อจัดทำโซลาร์ฟาร์ม และถ้าหากมีที่ราชพัสดุอยู่ใกล้ชุมชน ก็ควรพิจารณาให้ชุมชนเช่าใช้ในการทำโซลาร์ฟาร์มด้วย เป็นต้น

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/3282710/
วันที่: 24 มีนาคม 2567

พปชร. เดินหน้าเสนอร่างพรบ.ลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิต เข้าสภาฯ

,

พปชร. เตรียม ยื่นร่าง พ.ร.บ.ลดก๊าซเรือนกระจกฯ เข้าสภาฯ หวัง ช่วยกำหนดยุทธศาสตร์-ทิศทางให้อำนาจหน่วยงานรัฐ เข้าจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุเป้า Carbon Net Zero

21 มี.ค. 2567 – ที่รัฐสภา นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เตรียมที่จะเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิตพ.ศ. … ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมทุกภาคส่วน มุ่งสู่การลดก๊าซเรือนกระจกและการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตต่อสภาผู้แทนราษฎร

โดย ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องทางกฎหมายในการยกร่าง ซึ่งการดำเนินการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าพรรคให้ความสำคัญ เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการดูแลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในระยะยาว สอดรับกับทิศทางของนานาชาติ

“การแก้ไขปัญหาการจัดการก๊าซเรือนกระจกในขณะนี้ ถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่ต้องการความร่วมมือ และแนวทางที่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเข้ามากำหนดยุทธศาสตร์ และทิศทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง พล.อ.ประวิตร มีความห่วงใยในเรื่องการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศของไทยที่เป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน เพราะส่งต่อกระทบต่อประชาชน โดยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายในวงกว้างในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านสุขอนามัย และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชนโดยตรง ที่นับวันทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น“ นายอรรถกร กล่าว

นายอรรถกร กล่าวต่อว่า ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความก้าวหน้าและตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ยังไม่มีเครื่องมือในการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาะ จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายฉบับดังกล่าว เพื่อให้อำนาจหน่วยงานรัฐในการกำกับดูแลการดำเนินงาน และให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศแบบครบวงจร รวมถึงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตที่เร่งให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างแท้จริงที่ชัดเจนต่อไป

ด้านนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero เพื่อให้ควบคู่ไปกับกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถทำการค้าระหว่างประเทศได้ พรรคพลังประรัฐ เราต้องการที่จะทำให้ประเทศไทยน่าอยู่มากขึ้น มีอากาศที่บริสุทธิ์ และฟื้นเศรษฐกิจให้เทียบเท่ากันกับนานาชาติ

ด้านนายนายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะมีการพูดถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศแถบสหภาพยุโรป และอเมริกา ได้ใช้มาตรการ CBAM ในการจำกัดและควบคุมการนำเข้าสินค้า ที่ผลิตโดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ หากสินค้าไทยจะส่งออกไปยังต่างประเทศ เราจำเป็นต้องมีการนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ เพื่อลดผลกระทบในการส่งสินค้าไทยออกนอกประเทศ

ที่มา: https://www.thaipost.net/general-news/556418
วันที่: 24 มีนาคม 2567

‘บิ๊กป้อม’ ถือฤกษ์ดี 07.29 น. บวงสรวงท้าวมหาพรหมที่ทำการพรรค พปชร.

,

“บิ๊กป้อม” ถือฤกษ์ดี 07.29 น. บวงสรวงท้าวมหาพรหมที่ทำการพรรค พปชร. เสริมสิริมงคล นำความเจริญรุ่งเรืองสู่พรรค “อนุรักษนิยมทันสมัย”

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 21 มี.ค. 67 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประะวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงอัญเชิญท่านท้าวมหาพรหม ประดิษฐานบริเวณด้านหน้าอาคารที่ทำการพรรค พปชร. เพื่อเสริมสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สมาชิก พรรค บุคลากร พนักงาน ทุกคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนพรรคสู่การเป็นสถาบันการเมืองที่มั่นคง ด้วยจุดยืนของการเป็นพรรค “อนุรักษนิยมทันสมัย” ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับใช้ประชาชน โดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรค และ สส. เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ถือฤกษ์ เวลา 07.29 น. เริ่มพิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหม ลงไม้ศักดิ์สิทธิ์ ถวายพวงมาลัย จุดธูปและเทียน ปักธูปที่เครื่องสังเวย ตอกเครื่องมงคลที่ฐาน โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ หลังจากนั้น เริ่มพิธีอัญเชิญท้าวมหาพรหม สถิตบนศาล และภายในประดิษฐานประกอบด้วย องค์ท้าวมหาพรหม 4 พระพักตร์ 8 กร โดยท้าวมหาพรหมถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดในคติของศาสนาฮินดู เป็นเทพเจ้าแห่งความสร้างสรรค์ ความเมตตา เป็นพระผู้สร้างโลก และให้กำเนิดสิ่งต่างๆ พร้อมประทานพรให้กับทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข.

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 21 มีนาคม 2567

“ส.ส.ปริญญา ฤกษ์หร่าย” งานวันกีฬาแห่งชาติ ปี 2566 พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการและร่วมสัมมนา ทิศทางกีฬาไทย ณ อาคารรัฐสภา

, ,

“ส.ส.ปริญญา ฤกษ์หร่าย” งานวันกีฬาแห่งชาติ ปี 2566 พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการและร่วมสัมมนา ทิศทางกีฬาไทย ณ อาคารรัฐสภา

18 ธค 2566 นายปริญญา ฤกษ์หร่าย สมาชิกสภาผู้แทยราษฎร ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกีฬาชุดที่ 26 พร้อมด้วยที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ นายพรรษศรณ์ สาครเสถียร ร่วมงาน ทิศทางกีฬาไทย
ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 15 ธค 66 ณ.กิจกรรมชั้น B1 อาคาร รัฐสภา เพื่อสร้างโอกาสทางกีฬาให้กับเยาวชน และผู้สนใจ เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งนี้มีการมอบเกียรติบัตร แก่ ผู้ที่มีส่วน ร่วมสนับสนุนงานของ คณะกรรมาธิการกีฬา วุฒิสภาด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18 ธันวาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร -รมว.ธรรมนัส” ห่วงใยพี่น้องชาวใต้เผชิญอุทกภัย ส่งทีมสส.พปชร.นราธิวาส รุดเข้าช่วยเหลือปชช. 3 จ.ชายแดนใต้

,

“พล.อ.ประวิตร -รมว.ธรรมนัส” ห่วงใยพี่น้องชาวใต้เผชิญอุทกภัย
ส่งทีมสส.พปชร.นราธิวาส รุดเข้าช่วยเหลือปชช. 3 จ.ชายแดนใต้

17 ธ.ค. 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ติดตามสถานการณ์พายุฝน เข้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากมีความห่วงใยในสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะจ.ยะลา และจ. นราธิวาส จ.สงขลา และปัตตานี โดยได้ประสานงาน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ เลขาธิการพรรค นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.เขต 3 จ.นราธิวาส นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.เขต 2 จ.นราธิวาส เข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พร้อมติดตามสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวัง และให้ความช่วยเหลือ ผ่านทีมงานสส.ในพื้นที่พปชร.อย่างต่อเนื่อง

โดยในวันนี้ สส.สัมพันธ์ และสส.อามินทร์ ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดและเข้าช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปีนี้ พายุฝนตกชุกเข้ามาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในวันนี้ ก็เตรียมระดมทีมเจ้าหน้าที่ ส่งถุงยังชีพ เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับพี่น้องประชาชนในจ.นราธิวาส พร้อมสอบถามปัญหาความเดือดร้อน เพื่อนำไปสู่การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 17 ธันวาคม 2566

“พัชรวาท” มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน แจกไม้มงคล 19 ชนิด 101,010 กล้า ผ่านพิธีพุทธาภิเษก จาก “สมเด็จธงชัย” ได้สิริมงคล – เพิ่มพื้นที่สีเขียว นำบัตรประชาชนมารับได้ตั้งแต่ 13-28 ธ.ค. พร้อมกันทั่วประเทศ

,

“พัชรวาท” มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน แจกไม้มงคล 19 ชนิด 101,010 กล้า ผ่านพิธีพุทธาภิเษก จาก “สมเด็จธงชัย” ได้สิริมงคล – เพิ่มพื้นที่สีเขียว นำบัตรประชาชนมารับได้ตั้งแต่ 13-28 ธ.ค. พร้อมกันทั่วประเทศ

พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ “พฤกษามหามงคล” โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ท่านเจ้าประคุณธงชัย) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่
หนกลาง วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระสงฆ์รวม 10 รูป
ร่วมเจริญพระพุทธมนต์พุทธาภิเษกกล้าไม้มงคลกว่า 19 ชนิด จำนวน 101,010 กล้า พร้อมทั้งแจกจ่ายให้กับประชาชนเพื่อสิริมงคลและเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2567
ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตั้งใจมอบให้ประชาชน

พล.ต.อ. พัชรวาท กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ผลักดันและส่งเสริม
ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศ ด้วยวิธีสนับสนุนการปลูกและฟื้นฟูป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า ปลูกคน” สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วม ประกอบกับช่วงโอกาสพิเศษ
ในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2567 ที่กำลังจะมาถึง กระทรวงทรัพย์ฯ โดยกรมป่าไม้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ “พฤกษามหามงคล” ซึ่งนำกล้าไม้มงคลกว่า 19 ชนิด อาทิ สักทอง พะยูง ไผ่สีสุก ล่ำซำ (สั่งทำ)
หอมหมื่นลี้ จิกเศรษฐี หัวใจเศรษฐี แผ่บารมี (หูกระจง) มั่งมี (เฉียงพร้านางแอ) ชะแมบทอง จำปี ขนุน พิกุล ทองหลาง ทรงบาดาล ชัยพฤกษ์ บุนนาค มะขาม และกันเกรา จำนวน 101,010 กล้า ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี จะได้นำกล้าไม้มงคลดังกล่าวแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่
ให้นำกลับไปปลูกเป็นสิริมงคลกับครอบครัวและที่อยู่อาศัย หรือนำไปปลูกตามสถานที่หน่วยงาน
ซึ่งเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกต้นไม้

ทั้งนี้ประชาชนสามารถเดินทางมาขอรับกล้าไม้มงคลได้ระหว่างวันที่ 13-28 ธันวาคม 2566 ณ กรมป่าไม้ บางเขน กรุงเทพมหานคร โดยแบ่งเป็น 4 รอบ รอบละ 50 ท่าน ช่วงเช้ารอบแรกเวลา 9.00 น.
และรอบสองเวลา 10.30 น. สำหรับช่วงบ่ายเริ่มเวลา 13.00 น. และรอบสุดท้ายเวลา 15.00 น. สามารถขอรับกล้าไม้ได้ท่านละ 50 ต้น โดยนำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนรับกล้าไม้ พร้อมนำถุงผ้าหรือภาชนะมาใส่กล้าไม้ และขอความร่วมมือประชาชนในการงดใช้ถุงพลาสติกเพื่อช่วยลดโลกร้อน

ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นอกจากการจัดพิธี
ในส่วนกลางแล้ว ประชาชนในส่วนภูมิภาคก็สามารถขอรับกล้าไม้มงคลได้เช่นกัน โดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้
ทั่วประเทศจะจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ “พฤกษามหามงคล” พร้อมกับส่วนกลาง และประชาชนในพื้นที่
สามารถโทรสอบถามและขอรับกล้าไม้มงคลได้ที่สถานีเพาะชำกล้าไม้ทั่วประเทศ หรือติดต่อขอรับกล้าไม้ได้ที่เว็บไซต์กรมป่าไม้ www.forest.go.th/nursery/requestseedling/seedlingnurserylocation

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ คาดว่าจะมีประชาชนต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา
เพื่อกลับไปเยี่ยมครอบครัวจำนวนมาก กระทรวงทรัพย์ฯ โดยกรมป่าไม้ ได้จัดเตรียมของขวัญให้กับประชาชนในช่วงระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 66 – 1 ม.ค. 67 โดยจะยกเว้นค่าบริการท่องเที่ยวในป่านันทนาการ
3 แห่ง ได้แก่ ป่านันทนาการทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จ.ยะลา ป่านันทนาการหินสามวาฬ จ.บึงกาฬ
และป่านันทนาการน้ำตกเขาอีโต้ จ.ปราจีนบุรี เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ได้เข้าไปท่องเที่ยวธรรมชาติกับครอบครัว นอกจากนี้ กรมป่าไม้ได้จัดจุดให้บริการประชาชน นักท่องเที่ยว
เป็นจุดพักรถ จำนวน 297 จุด และให้บริการช่วยเหลืออำนวยความสะดวก บริการเครื่องดื่ม ผ้าเย็น
ยาสามัญเบื้องต้น ให้ข้อมูลการเดินทาง และห้องสุขา ในช่วงเวลาดังกล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ธันวาคม 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาท” ดึงหน่วยงานแหล่งกำเนิดฝุ่น ร่วมวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหา – ออกมาตรฐานรับมือฤดูฝุ่นจิ๋ว สื่อสารให้ประชาชนรับทราบข้อมูลให้ทันท่วงที ด้าน อธิบดี คพ. แนะเช็ก 2 แอปฯ Air4Thai – AIRBKK เป็นหลัก ป้องกันการสับสน

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท” ดึงหน่วยงานแหล่งกำเนิดฝุ่น ร่วมวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหา – ออกมาตรฐานรับมือฤดูฝุ่นจิ๋ว สื่อสารให้ประชาชนรับทราบข้อมูลให้ทันท่วงที ด้าน อธิบดี คพ. แนะเช็ก 2 แอปฯ Air4Thai – AIRBKK เป็นหลัก ป้องกันการสับสน

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีความห่วงใยเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในหลายพื้นที่และเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน โดยได้สั่งการไปยัง นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ให้เร่งรัดประสานหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5

นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า เนื่องจากช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาว การถ่ายเทอากาศไม่ดี ทำให้ฝุ่นระบายออกยาก จึงทำให้ค่าฝุ่นเพิ่มขึ้นในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล แหล่งกำเนิดฝุ่นที่สำคัญคือภาคจราจรและขนส่ง ทำให้ค่าฝุ่นแตะเกินค่ามาตรฐานสีส้ม ในอนาคตจะเริ่มมีการเผาในพื้นที่โล่ง โดยเฉพาะภาคการเกษตร ยิ่งทำให้ค่าฝุ่นในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นอีก หากควบคุมไม่ได้ในปัจจุบัน สำหรับพื้นที่ กทม.ที่เกิดฝุ่นพิษจากจราจรและการขนส่งนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรณรงค์ให้เข้มข้น เรื่องการหันมาใช้น้ำมันยูโร 5 โดยที่ไทยเริ่มปรับมาใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.ผ่านมา ช่วยค่าฝุ่นในกทม.ลงได้ถึงร้อยละ 10 ควบคู่กับบำรุงรักษาเครื่องยนต์และตรวจเช็คสภาพรถยนต์ให้ดี จะช่วยลดการเกิดฝุ่นลงได้มากถึงร้อยละ 50 ของรถคันดังกล่าว และได้รับการประสานข้อมูลจากจิสด้า เพื่อแยกแยะจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ว่าเกิดจากการเผาป่าหรือภาคเกษตร เผานาข้าว ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งมายังกระทรวงฯ จากนั้นจะส่งไปยังจังหวัด เป็นซิงเกิ้ลคอมมานด์ ที่มีผู้ว่าราชการเป็นผู้สั่งการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น เช่น มีข้อมูลจากจิสด้าระบุว่ามีการเผาไหม้นาข้าวในเขตจังหวัดภาคกลาง ทำให้ชี้เป้าจุดเกิดเหตุได้ และสั่งการแก้ไขในทันที

นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า เราได้มีการตั้งศูนย์สื่อสาร ภายใต้คณะกรรมการสื่อสาร ที่มีอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เป็นประธาน เพื่อให้สื่อสารว่าควรแก้ไขอย่างไร พื้นที่ไหน เวลาใด ขณะนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน กำลังทำเรื่อง เพื่อขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและการสื่อสารรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“พล.ต.อ.พัชรวาท ได้วางระบบแนวทางแก้ปัญหาไว้ โดยมีอนุกรรมการและคณะทำงานวิชาการส่วนกลาง เพื่อวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร รวบรวมข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อให้มีมาตรการที่เหมาะสม และส่งข้อมูลให้ศูนย์ซิงเกิ้ลคอมมานด์ในระดับจังหวัด และระดับภาคที่มีแม่ทัพภาคเข้ามาช่วยแก้ปัญหา” นายปิ่นสักก์ กล่าว

อธิบดี คพ. กล่าวด้วยว่า นอกจากแอปพลิชันที่ใช้ในการสื่อสารอย่าง Air4Thai กรุงเทพฯ แล้ว จะมี AirBKK ที่ใช้มาตรฐานเดียวกัน จึงอยากให้ใช้ 2 แอพนี้เป็นหลัก เพราะจะมีการเตือนที่ถูกต้อง ซึ่งหากใช้แอปฯ อื่น อิงมาตรฐานประเทศอื่น ค่าสีจะไม่เท่ากัน อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้ และจากความตระหนักอาจกลายเป็นความตระหนก เช่น มีการถามว่า กทม.สีแดงแล้วทำไมไม่เวิร์คฟอร์มโฮม ทั้งที่จริงๆ แล้ว ผู้ว่าฯ กทม.เตรียมความพร้อมแล้วว่าจะต้องสีแดงต่อเนื่อง 3 วัน แต่ค่ามาตรฐานของไทยยังไม่สีแดง แต่พอเราไปใช้มาตรฐานประเทศอื่น ที่มีการแบ่งสี 6 ช่วง 6 เฉด ทำให้เกิดการตระหนกเกิดขึ้น เป็นต้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ธันวาคม 2566

“โฆษก พปชร.” เผยพล.อ.ประวิตร เร่งสส.พร้อมให้ความรู้ ปชช. แปลงเอกสารสิทธิ์ส.ป.ก.เป็นโฉนดที่ดินทำกิน เพื่อการเกษตร

,

“โฆษก พปชร.” เผยพล.อ.ประวิตร เร่งสส.พร้อมให้ความรู้ ปชช. แปลงเอกสารสิทธิ์ส.ป.ก.เป็นโฉนดที่ดินทำกิน เพื่อการเกษตร

วันนี้ (12 ธ.ค.) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ฉะเชิงเทรา เขต 3 ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธานประชุม ซึ่งประเด็นการหารือครั้งนี้ เป็นการเตรียมความพร้อม การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 เนื่องจากมีพ.ร.บ.สำคัญหลายฉบับรอเข้าสภาเพื่อพิจารณา ซึ่งได้ให้ความสำคัญในประเด็นต่างๆที่พรรค พร้อมร่วมแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ได้กินดีอยู่ดี ทั้งในเรื่องการรณรงค์ให้ความรู้กับเกษตรกรในการดำเนินการของแปลงเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนด เพื่อเกษตรกรรม ซึ่งจะมีการมอบเอกสารสิทธิ์ที่จะมีผลในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ เป็นนโยบายที่พรรค ผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ที่มีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ทำหน้าที่ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนในเรื่องการยื่นญัตติด่วน เรื่องของนิรโทษกรรม พรรคพร้อมพิจารณาความเหมาะสม หากมีโอกาส พรรค ก็ขอยื่นญัตติ เพื่อนำเรื่องดังกล่าว เข้าสู่ของกรรมาธิการ เพื่อให้เป็นเวทีทุกฝ่าย ได้แสดงเหตุผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ใช้กระบวนการของรัฐสภา เป็นฝ่ายดำเนินการ เพราะเป็นพื้นที่สำหรับทุกฝ่าย ในการหาทางออกให้ดีที่สุด

“สำหรับการพิจารณางบประมาณประจำปี 2567 จากที่มีกระแสข่าว ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะขอเลื่อนเรื่องนี้ออกไป เนื่องจากเห็นว่า ยังไม่พร้อมนั้น เรื่องดังกล่าว เห็นว่าคงต้องดูภาพรวมของรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ว่าจะมีความพร้อมเมื่อไร ซึ่งสส.ในสภา ก็พร้อมพิจารณา เพราะเราต้องการเดินหน้าให้เร็วที่สุด เนื่องจาก พรบ. ผ่านสภา เร็วเท่าไหร่ ก็จะส่งผลดีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้เร็วยิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ที่ประชุม ยังได้รับทราบ ประเด็นของ นายสมรักษ์ คำสิงห์ อดีตสมาชิกพรรค พปชร. ซึ่งได้ลาออก และหมดสมาชิกภาพไปแล้ว ก่อนเกิดเหตุการณ์ ถือเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับพรรค

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 13 ธันวาคม 2566