โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพหลวงเปิดเวทีใหญ่ภาคใต้ คนแน่นเต็มลานหน้าเมือง ขอความรักคนเมืองคอนฯ เลือก พปชร.ทั้ง 10 เขตร่วมก้าวข้ามความยากจน

,

“พล.อ.ประวิตร” ขนทัพหลวงเปิดเวทีใหญ่ภาคใต้ คนแน่นเต็มลานหน้าเมือง ขอความรักคนเมืองคอนฯ เลือก พปชร.ทั้ง 10 เขตร่วมก้าวข้ามความยากจน

วันที่ 29 เมษายน 2566 เวลา 18.30 น. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ภาคใต้ ณ สนามหน้าเมือง ถนนราชดำเนิน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และคณะกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายพรรค

พร้อมด้วยผู้สมัครส.ส.ทั้ง 10 เขตในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยนายรงค์ บุญสวยขวัญ เขต 1 เบอร์ 1 นางสุภาพ ขุนศรี เขต 2 เบอร์ 6 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง เขต 3 เบอร์ 5 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เขต 4 เบอร์ 6 นายสุชาติ จิตติศักดิ์ เขต 5 เบอร์ 2 นายสุธรรม จริตงาม เขต 6 เบอร์ 5 นายคมเดช มัชฌิมวงศ์ เขต 7 เบอร์ 3 นายสุนทร รักษ์รงค์ เขต 8 เบอร์ 1 นายพิชาญศักดิ์ บุญมาศ เขต 9 เบอร์ 1 และนายชุ้น กังสุกุล เขต 10 เบอร์ 6 ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยประชาชนเข้าร่วมรับฟังนโยบายเต็มพื้นที่ กว่า 20,000 คน โดยประชาชนต่างโบกธงให้กำลังใจ พร้อมประสานเสียงโห่ร้องเชียร์ เบอร์ 37 อย่างต่อเนื่อง

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมจะรับใช้ชาวนครศรีธรรมราชทุกคนให้มีความเจริญรุ่งเรือง เราเลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของชาวนครฯจึงขอให้เลือกผู้สมัครของพลังประชารัฐทั้ง 10 เขต และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 บัตรสีเขียว วันนี้ตนอยากให้คนไทยรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และความยากจนไปด้วยกัน จึงขอให้เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส ค่าไฟฟ้าลงทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายเพิ่มเงินในบัญชีของประชาชนอย่าง สวัสดิการผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงนโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท ในเดือนที่ 5 เดือน จนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ ซึ่งอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากกว่าสามปี และเราจะทำต่อไป เช่นเดียวที่ดินกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่อาศัย มีที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วย

นายสันติ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะความขัดแย้งเป็นตัวบ่อนทำลายและขวางการพัฒนาประเทศ นโยบายของพล.อ.ประวิตรจึงเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศที่จะสร้างให้พ่อแม่พี่น้องอยู่ดีกินดี นอกจากนี้เรายังมีนโยบายที่จะก้าวข้ามความยากจนที่จะพัฒนาให้ความช่วยเหลือดูแลลงมายังประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

“จากการที่กระทรวงการคลังได้ดำเนินการบัตรประชารัฐให้ประชาชนจำนวน 14.59 ล้านคน พล.อ.ประวิตร จึงเติมเงินเข้าไปในบัตรประชารัฐเป็น 700 บาท เรายังคำนึงถึงการสร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนที่มีบัตรประชารัฐต้องมีที่ทำกิน มีฝีไม้ลายมือ ในการประกอบอาชีพ พรรคพลังประชารัฐจึงจะเติมเงินให้ไปเป็นทุนอีกรายละ 30,000 บาท เพื่อให้ทุกคนได้นำไปตั้งต้นประกอบอาชีพ ทั้งนี้เราจะส่งเสริมให้มีการฝึกอาชีพก่อนเพื่อให้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญที่จะไปประกอบอาชีพในอนาคตด้วย”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ของพี่น้องชาวนครฯ ตนเชื่อว่าเวทีแห่งนี้ไม่เคยมีพรรคใดทำยิ่งใหญ่เหมือนครอบครัวพลังประชารัฐ ที่นี่คือเมืองหลวงของปักษ์ใต้ ดังนั้นพรรคของเราเล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ให้มีความเจริญเช่นเดียวกับภาคตะวันออก

“การเลือกตั้งเมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐได้รับเกียรติและโอกาสจากชาวนครศรีธรรมราชทุกคน ส่งผู้สมัครของเราเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้อง ซึ่งทุกคนก็ทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิใจ เต็มศักยภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่ผลประโยชน์ของชาวนครฯ ครั้งนี้เรากลับมาขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง และเราพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า พปชร.เรามีความตั้งใจ ตั้งมั่นที่จะรับใช้คนไทยทั้งประเทศ”

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า เราจะมาพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ทั้ง 5 จังหวัด ได้แก่ สตูล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สงขลา จะผลักดันให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบเดียวกันกับภาคตะวันออก ที่จะเห็นว่าปัจจุบันเศรษฐกิจเติบโตเป็นเท่าตัว โดย พล.อ.ประวิตรได้มีการคุยกับนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งร่วมกันแล้ว

“เมื่อ พปชร.ได้จัดตั้งรัฐบาล เราจะเปิดเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น เพื่อสร้างให้ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยกระดับเป็นพื้นที่ ๆ มีศักยภาพ สามารถสร้างรายได้ และอาชีพ โดยนโยบายดี ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพี่น้องประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ เลือกพล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30”

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พปชร. กล่าวปราศรัยว่า จ.นครศรีธรรมราช เป็นหนึ่งในจังหวัดที่จะชี้ชะตาการเลือกตั้ง ซึ่งวันนี้มีพรรคการเมืองเดียวที่จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจชองชาวภาคใต้ โดยเป็นตัวแปรให้ผ่านพ้นการต่อสู้และขัดแย้ง ก็คือ พปชร.ซึ่งเราเป็นพรรคที่จะสามารถรวมทุกฝ่าย พี่น้องประชาชนกำลังชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย หากตัดสินใจผิด เลือกพรรคผิด เลือกผู้แทนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ของรัฐบาล จะไม่มีใครดูแลประชาชน ดังนั้นขอให้เลือก ส.ส.ของ พปชร.ทั้ง 10 เขต และเลือก พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ เพราะเป็นคนเดียวที่มีบารมีการเมืองมากที่สุด เชื่อมโยงคนทุกฝ่ายได้ เป็นคนเดียวที่มีประสบการณ์การเมืองยาวนานที่สุด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” สักการะศาลหลักเมืองคอน เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ พร้อมขอบคุณคนใต้อีกครั้งบนเวทีใหญ่ ปชช.กว่า 2 หมื่นคนแห่ต้อนรับ

,

“พล.อ.ประวิตร” สักการะศาลหลักเมืองคอน เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ พร้อมขอบคุณคนใต้อีกครั้งบนเวทีใหญ่ ปชช.กว่า 2 หมื่นคนแห่ต้อนรับ

​ วันที่ 29 เมษายน เวลา 16.44 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยคณะ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายธรรมนัส พรมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายพรรค เดินทางมาที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่พบปะประชาชนชาวใต้ ได้เข้าสักการะศาลหลักเมืองสวดบทบูชาองค์พ่อ พระคาถาบูชาจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างเวทีปราศรัย และจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัย 10,000 นัด เพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนขึ้นเวทีปราศรัย

โดยมี ผู้สมัครส.ส.ทั้ง 10 เขตในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยนายรงค์ บุญสวยขวัญ เขต 1 เบอร์ 1 นางสุภาพ ขุนศรี เขต 2 เบอร์ 6 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง เขต 3 เบอร์ 5 นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เขต 4 เบอร์ 6 นายสุชาติ จิตติศักดิ์ เขต 5 เบอร์ 2 นายสุธรรม จริตงาม เขต 6 เบอร์ 5 นายคมเดช มัชฌิมวงศ์ เขต 7 เบอร์ 3 นายสุนทร รักษ์รงค์ เขต 8 เบอร์ 1 นายพิชาญศักดิ์ บุญมาศ เขต 9 เบอร์ 1 และนายชุ้น กังสุกุล เขต 10 เบอร์ 6 และพี่น้องประชาชนชาวใต้รอให้การต้อนรับรวมกว่า 20,000 คน ส่งเสียงเชียร์ลั่นบริเวณสนามหน้าเมือง ถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช

ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวกับประชาชนที่มารอต้อนรับเพื่อปลุกพลังส่งกำลังใจให้ พล.อ ประวิตร พร้อมนำประชาชนตะโกนให้กำลังใจ “ลุงป้อมนายกฯ ของประชาชน” และขอให้ประชาชนเข้าไปช่วยแชร์และกดไลค์เพจเฟซบุ๊กของพรรคพลังประชารัฐ เลือกพล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย และกล่าวย้ำกับประชาชนว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาลจะเดินหน้าแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชน รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันแพง

พล.อ. ประวิตร ได้ทักทายประชาชนด้วยสีหน้าที่มีความสุขภายหลังสักการะศาลหลักเมืองและองค์พ่อจตุคามรามเทพ ว่า พบกันเป็นวันที่ 2 แล้วขอขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ พร้อมที่จะเข้ามาทำงานรับใช้ประชาชน และจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ฝากพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และฝากผู้สมัครทั้ง 10 เขต ของพรรคพลังประชารัฐให้ช่วยลงคะแนนด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“ชัยวุฒิ”สักการะพระบรมธาตุ เมืองคอน ขอปักธงพปชร.เป็นรัฐบาล มั่นใจคะแนนนิยม พล.อ.ประวิตร เป็นนายก พร้อมสานต่องานเพื่อประชาชน

,

“ชัยวุฒิ”สักการะพระบรมธาตุ เมืองคอน ขอปักธงพปชร.เป็นรัฐบาล

มั่นใจคะแนนนิยม พล.อ.ประวิตร เป็นนายก พร้อมสานต่องานเพื่อประชาชน

​ เมื่อเวลา 15.20 น.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยได้เดินทางมา กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ทำพิธีห่มผ้ารอบพระบรมธาตุ และสวดอิติปิโส ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเปิดเวทีปราศรัยที่บริเวณสนามหน้าเมือง ถนนราชดำเนิน ในช่วงเย็น

นายชัยวุฒิ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ในขณะนี้อาจจะดีกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ประชาชนในพื้นที่นครศรีธรรมราชก็ให้ความรักทั้งลุงตู่และลุงป้อมอยู่แล้ว ดูจากการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ที่ผ่านมา ก็ได้รับ ส.ส.ถึง 4 คน วันนี้เมื่อทั้ง 2 ลุงแยกกันทำงาน ตนก็เชื่อมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐก็ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจจนประชาชนมีความเชื่อมั่นและรัก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือ ลุงป้อม และอยากให้เขาไปทำงานให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน

กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ขอแรงสนับสนุนจากชาวเมืองคอนในฐานะสะใภ้เมืองคอน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ลุงป้อมก็เป็นนายหัวเมืองคอน ทำงานเพื่อประชาชน ช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชจะมีปัญหาอะไร พล.อ.ประวิตรก็ลงมาดูแลโดยตลอด ตนมั่นใจว่า คะแนนนิยมดีกว่าแน่นอนส่วนจะได้ ส.ส.กี่คนนั้น ก็คงจะระบุได้ยาก รู้เพียงแค่ว่าพล.อ.ประวิตร สู้ทุกที่ สู้ทุกเขต เพราะเราเป็นพรรคใหญ่และที่ผ่านมาก็เป็นแกนนำรัฐบาล เราก็สู้ทุกเขตทั่วประเทศ

นายชัยวุฒิ ได้เข้าขอพรให้ชนะเลือกตั้ง ให้ประชาชนรักและศรัทธาในพรรคพลังประชารัฐ เลือกพรรคพลังประชารัฐให้เข้าไปเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่เพื่อประชาชน

ส่วนกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศพร้อมลาออกจากหัวหน้าพรรค หากเพื่อไทยจับมือร่วมรัฐบาลกับ พปชร.หรือ รทสช.นายชัยวุฒิ กล่าวว่า จริงๆ ก็ไม่อยากให้ นพ.ชลน่าน ลาออก ก็เห็นใจท่านแต่ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเห็นหัวหน้าพรรคลาออกมาแล้ว เพราะหัวหน้าพรรคก็อาจจะคิดไม่ตรงกับพรรคก็ได้ ทั้งนี้ก็คงต้องดูผลการเลือกตั้ง ไม่อยากให้รีบตัดสินว่า ใครจะจับมือกับใคร ที่สำคัญวันนี้นโยบายหรืออุดมการณ์บางอย่างของเรากับเขา ก็อาจจะไม่ตรงกัน แต่ถ้าหากมีการจับมือร่วมกันทำงาน ก็คงต้องมีการพูดคุย ทำข้อตกลงร่วมกัน แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว ไม่สามารถจับมือกันได้ ก็คงต้องแยกย้ายกันทำงาน

“การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะทุกพรรคก็มีนโยบายที่แตกต่างกัน ผู้สมัครก็แตกต่างกันประชาชนก็คงเลือกผู้สมัครที่มาทำงานรับใช้ได้ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เราก็พร้อมที่จะทำงานรับใช้ชาวนครฯทุกคน ขอให้ทุกคนเลือกพรรคที่รัก เลือกคนที่ใช่คนที่ชอบ อย่าไปยึดติดกับฝ่าย เพราะภายหลังการเลือกตั้ง มันไม่มีผ่านหรอกครับ ก็สลายกันไปหมด ต่างฝ่าย ต่างอาจจะมาจับมือกันร่วมรัฐบาลไป ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้หมด”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“ศันสนะ” ลงพื้นที่พบผู้สูงอายุนอนเสียชีวิตโดดเดี่ยวในบ้าน เผย เตรียมผลักดันพัฒนาคน สร้างงานในพื้นที่ ส่งเสริมสายใยครอบครัว

,

“ศันสนะ” ลงพื้นที่พบผู้สูงอายุนอนเสียชีวิตโดดเดี่ยวในบ้าน เผย เตรียมผลักดันพัฒนาคน สร้างงานในพื้นที่ ส่งเสริมสายใยครอบครัว

ดร.ศันสนะ สุริยะโยธิน ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตธนบุรี-คลองสาน-ราษฎร์บูรณะ พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 1 เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ว่า ขณะเดินหาเสียงพร้อมทีมงานที่ชุมชนโกวบ๊อพัฒนา เขตธนบุรี ตนได้กลิ่นเหม็นเน่าจากตึกพักอาศัย ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่าบริเวณดังกล่าวมีหนูเยอะ อาจเป็นซากหนูตาย แต่ทีมงานที่อาศัยอยู่ในชุมชน เกิดข้อสงสัยจึงกลับมาดูช่วงค่ำอีกครั้ง ซึ่งหลังจากสอบถามผู้พักอาศัยใกล้เคียง จึงได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเข้าไปตรวจสอบในห้องพักดังกล่าว และเมื่อเข้าไปก็พบศพชายชราอายุประมาณ 80 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 3 วัน ส่วนสาเหตุยังไม่สามารถระบุได้ คาดว่าน่าจะมาจากอากาศร้อน ทั้งนี้ ชายชราคนดังกล่าว ปกติอาศัยอยู่คนเดียว ไม่ได้มีญาติพี่น้องดูแล อาศัยเพื่อนบ้านแวะเวียนมาดูบ้าง

ดร ศันสนะ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าสังคมไทยของเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ โดยกำหนดเป็นเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือ‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’ให้ผู้สูงวัยพอสามารถดูแลตัวเองได้ และไม่เป็นภาระลูกหลานโดยต้องการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การส่งเสริมให้มีการสร้างอาชีพในพื้นที่ ในชุมชม เพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่ต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด หรือในพื้นที่ ๆ ห่างไกล เพื่อที่จะได้สามารถดูแลญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวได้ เพราะ
ผู้สูงอายุ มักมองว่าตนเองด้อยค่า ต้องพึ่งพาผู้อื่น และร่างกายก็เสื่อมโทรม ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ดี แต่แท้จริงแล้ว ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคมเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งความรู้ความชำนาญ และเป็นผู้ธำรงไว้ซึ่งประเพณี วัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นสายใยสำคัญของครอบครัวอีกด้วย”ดร ศันสนะ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“สกลธี” จี้ กกต.เร่งทำความเข้าใจเรื่องบัตรเลือกตั้ง

,

“สกลธี” จี้ กกต.เร่งทำความเข้าใจเรื่องบัตรเลือกตั้ง

​เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่สวนพฤกษชาติคลองจั่น ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพ ร่วมกับนางนฤมล รัตนาภิบาล ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 14 (บางกะปิ-วังทองหลาง) หมายเลข 5 เพื่อพบปะประชาชน
​โดยนางนฤมลกล่าวว่า ตนเป็น ส.ก.มา 3 สมัย จึงรู้ปัญหาและความต้องการของคนในพื้นที่ดี เขตบางกะปิเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่น จึงมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ขาดพื้นที่สีเขียว และปัญหาน้ำท่วมเพราะท่อตัน อีกทั้งยังมีการจราจรหนาแน่น ซึ่งแม้จะมีรถไฟฟ้าเข้ามา 2 เส้นทางคือสายสีส้มและสายสีเหลือง แต่ยังขาดการเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกมากอย่างที่ควร
​“ปัญหาเหล่านี้จะหวังพึ่งท้องถิ่นอย่าง กทม.อย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีงบประมาณไม่พอ และบางปัญหาบางพื้นที่ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายหน่วยงาน หากดิฉันได้รับโอกาสให้เข้าไปทำงานในฐานะ ส.ส. จะสามารถประสานงานกับทุกหน่วยงานและแก้ไขปัญหาใหญ่ๆ ให้พี่น้องประชาชนได้มากกว่าเดิม จึงอยากขอโอกาสจากชาวบางกะปิ วังทองหลางด้วย”
​ด้านนายสกลธีกล่าวว่า แม้เขตนี้จะมีคู่แข่งหลายคน แต่ตนมั่นใจว่านางนฤมลก็มีความผูกพันกับคนในพื้นที่มานาน และพรรคพลังประชารัฐก็มีชุดนโยบายที่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง ทั้งการลดราคาน้ำมัน ลดค่าแก๊สค่าไฟฟ้า รวมถึงการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะเพิ่มเงินในกระเป๋าให้มีการจับจ่ายใช้สอยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมีเงินจากกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท ใช้สร้างย่านเศรษฐกิจใหม่ทุกเขตในกรุงเทพเพื่อให้มีเงินจากนักท่องเที่ยวเข้าถึงทุกๆ พื้นที่ได้ดีขึ้น
​ในส่วนของการทำงานของ กกต.นั้น นายสกลธีกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ทุกวันพบว่าประชาชนยังสับสนกับการเปลี่ยนมาใช้บัตร 2 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ รวมถึงการที่บัตรเลือก ส.ส.เขตไม่มีชื่อผู้สมัคร ตนมองว่า กกต.ทำงานแบบเน้นความสะดวกของตนเอง เพราะต้องการพิมพ์บัตรแบบเดียวเพื่อใช้ได้ทั่วประเทศ แต่สร้างความลำบากให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เสี่ยงที่จะมีการกาผิดไม่ได้เลือกคนที่อยากได้จริงๆ ซึ่งการทำงานของราชการควรปรับเข้าหาประชาชนมากกว่านี้ ตนจึงจะขอให้ กกต.เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเรื่องบัตรเลือกตั้งให้มากขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 29 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” ทำทีมใหญ่ล่องภาคใต้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ จ.สงขลา ชูนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ขอเสียงกวาดทั้ง 9 เขต ลั่นพร้อมรับใช้ ปชช.

,

“ไพบูลย์”แถลง พปชร.ประชุมใหญ่สามัญพรรคฯรับรองการดำเนินงานในรอบปีงบการเงินพรรค รับรอง 20 นโยบายสำคัญของพรรค “ 3 ลด ค่าใช้จ่าย 7 เพิ่มเงินปชช.”

วันที่ 28 เมษายน 2566 เวลา 18.00 น. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่ จ.สงขลา เปิดเวทีปราศรัยใหญ่แห่งแรกของภาคใต้ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติสงขลา นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรคประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายพรรค นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำภาคใต้ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส. จ.สงขลา ทั้ง 9 เขต ได้แก่ นายภวัต นิตย์โชติ เขต1 เบอร์ 7 นายอดิสัณห์ ชัยวิวัฒน์พงศ์ เขต 2 เบอร์ 6 นายอาทิตย์ สุวิทย์ เขต 3 เบอร์ 5 นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว เขต 4 เบอร์ 1 นายญาณพง เพชรบูรณ์ เขต 5 เบอร์ 6 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ เขต 6 เบอร์ 5 นายธเนศ ล่องนาวา เขต 7 เบอร์ 7 นายธีรพงศ์ ดนสวี เขต 8 เบอร์ 3 และนายล่องหิ้น ทิพย์แก้ว เขต 9 เบอร์ 2 ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยประชาชนในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง เข้าร่วมรับฟังนโยบายเต็มพื้นที่ กว่า 8,000 คน เต็มความจุศูนย์ประชุม เพราะครั้งนี้ถือเป็นการปราศรัยใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้เป็นครั้งแรก ประชาชนต่างโบกธงให้กำลังใจ พร้อมประสานเสียงโห่ร้องเชียร์ เบอร์ 37 อย่างต่อเนื่อง

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันทีที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายดูแลทุกช่วงวัย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ’ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือนจนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ เพื่อให้สตรีมีขวัญกำลังใจในการช่วยกันเพิ่มประชากร และอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญก็คือ มีเราไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน ที่เราได้บริหารจัดการมากว่าสามปี ได้ทำให้น้ำบนดิน น้ำใต้ดิน น้ำบ่อ น้ำตื้นต่างๆ เช่นเดียวที่ดินกิน ถ้ามีเราก็มีที่ดินทำกิน ไม่มีจน เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีที่อยู่ที่อาศัย ที่ประกอบสัมมาวิชาชีพ ทั้งนี้เราจะสนับสนุนเงินให้เกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 30,000 บาท ทั้ง 8 ล้านครอบครัว เพื่อแก้ปัญหาความยากจน

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า ถ้าเลือกพรรคพลังประชารัฐวันนี้ หมายความว่าพี่น้องประชาชนเลือกตัวแทนที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาลที่จะมาดูแลพวกเราอย่างเต็มศักยภาพ และทำให้ชีวิตของชาวใต้ยกระดับขึ้น ขอให้ทุกคนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เราจะได้รับอะไรคืนมา

“ประเทศไทยวันนี้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พรรคพลังประชารัฐจึงเล็งเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุในประเทศไทยทุกคน ด้วยการมอบสวัสดิการดูแลเป็นรายเดือน รวมไปถึงอนาคตของลูกหลานของเรา ก็ต้องได้รับการดูแลตั้งแต่คลอดออกมา และต้องมีการศึกษาที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปอย่างมีศักยภาพและจะเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศไทยของเราต่อไป ซึ่งคนทั้ง 2 กลุ่มถือว่าเป็นกลุ่มเปาะบางที่พรรคพลังประชารัฐต้องปกป้องให้พวกเขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็ง”

ด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวปราศรัยว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐยกทัพใหญ่มาจังหวัดสงขลาเพราะเรามั่นใจว่าเราจะได้รับความเมตตาจากพี่น้องที่นี่ ผู้สมัครครั้งนี้แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น การเลือกตั้งครั้งนี้ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายที่จะเข้ามาดูแลสวัสดิการของประชาชนแต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐเราเป็นพรรคแรกที่พูดแล้วทำจริง ๆ ตั้งแต่ปี 62 และครั้งนี้ก็เช่นกัน บัตรประชารัฐของเราในครั้งนี้ลุงป้อมจะเพิ่มเงินจาก 300 บาทเป็น 700 บาทและยังมีวงเงินประกันชีวิตอีกรายละ 200,000 บาทด้วย

“เราต้องการจะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเด็กเกิดมาก็ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างประชาชนทั่วไปก็ต้องได้รับการส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อที่เขาจะสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองให้ได้ สิ่งนี้ภาครัฐก็จะต้องเข้าไปดูแลเช่นกัน นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องของสวัสดิการประชารัฐไม่ใช่เพียงแค่บัตรประชารัฐเท่านั้น”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก แต่ครั้งนี้หลังจากวันที่ 14 พ.ค.เมื่อเราเข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศต่อ เราจะพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้โดยผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้พื้นที่ภาคใต้มีความเจริญมากขึ้น ขอฝากให้พี่น้องประชาชนพิจารณาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 9 คน 9 เขตด้วย

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐพูดเสมอว่า เราเป็นพรรคของประชาชน ชื่อพรรคก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นการรวมกันของพลังของคน 2 กลุ่ม นั่นก็คือ การร่วมพลังของประชาชนทั้งแผ่นดินทั้ง 77 จังหวัด ภายใต้การดูแลของรัฐ ก็คือรัฐบาล ประเทศไทยของเรามีโครงสร้างเป็นฐานพีระมิด เริ่มจากฐานรากหญ้า คือ พี่น้องประชาชน นโยบายที่พรรคนำเสนอออกมา คือ ต้องการทำให้คนฐานรากมีความเข้มแข็ง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้ทางการเมืองมีพี่น้องหลายท่านติดคุกติดตาราง หลายท่านมีคดีติดตัว หลายท่านต้องเสียลูก เสียเมีย เสียผู้นําครอบครัว ถ้าถามว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ถามว่าคนไทยได้อะไร ตอบได้ทันทีว่ามีแต่เพิ่มความบอบช้ำ เกิดความแตกแยกความสามัคคี บ้านใดเมืองใดไม่มีความสามัคคี อย่าหวังเลยว่าประเทศชาติจะเกิดความมั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน มีแต่ประชาชนอดอยากปากแห้งทั้งนั้น

“จึงเป็นที่มาของนโยบายสำคัญในเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง ต่อจากนี้คนไทยจะร่วมเป็นหนึ่งเดียวไม่มีการแบ่งแยกสี เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน พูดภาษาเดียวกัน แม้จะนับถือศาสนาที่แตกต่างกันแต่เราจะเลิกทะเลาะ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมพลังของคนไทยทั้งแผ่นดิน รวมเป็นหนึ่งเดียว”

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวต่อถึง นโยบายบริหารจัดการที่ดินทำกิน-น้ำ โดย พปชร.จะสานต่อนโยบายการบริหารจัดการน้ำ ยกระดับทั้งระบบ และปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกินให้ประชาชน เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด พร้อมจัดที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คนไร้ที่ทำกินกว่า 2 ล้านคน ทันทีที่เราเข้าไปบริหารประเทศในฐานะรัฐบาล

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ทีมนโยบายเศรษฐกิจ พปชร. กล่าวว่า วันนี้หัวหน้าพรรคให้ช่วยมาดูเศรษฐกิจภาคใต้ว่าจะสามารถช่วยพัฒนาได้อย่างไร ซึ่งภาคใต้ประกอบไปด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ สตูล นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ที่พรรคจะผลักดันให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบเดียวกันกับภาคตะวันออก ที่จะเห็นว่าปัจจุบันเศรษฐกิจเติบโตเป็นเท่าตัว ซึ่งภาคใต้ถือเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นรากแก้วที่ต้องทำให้เกิดการฟื้นตัว โดยหัวหน้าพรรคได้มีการคุยกันอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งร่วมกัน

เมื่อพรรคพลังประชารัฐได้จัดตั้งรัฐบาลสิ่งที่ทีมของเราจะทำคือการดูแลเรื่องสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวทั้งระบบ ท่าเรือ รวมถึงการเปิดเศรษฐกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสงขลามีชายหาดยาวกว่า 200 กิโลเมตร เราจะเอาเศรษฐกิจลงไปช่วยเรื่องการท่องเที่ยวโดยจะพัฒนาเป็นแลนด์บิดเชื่อมติดกับอันดามันและฝั่งอ่าวไทย รวมถึงอีกหลายแห่ง เช่น สุราษฎร์ธานี กระบี่ และจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักที่สำคัญ เพื่อสานต่อโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ดให้ทั้ง 14 จังหวัดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะยกระดับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะเป็นอนาคตสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับลูกหลานต่อไป

“ถ้าอยากจะให้เราทำและให้เป็นอนาคตของลูกหลานต่อไปขอความกรุณาเลือกพรรคพลังประชารัฐเลือกพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566

“ไพบูลย์”แถลง พปชร.ประชุมใหญ่สามัญพรรคฯรับรองการดำเนินงานในรอบปีงบการเงินพรรค รับรอง 20 นโยบายสำคัญของพรรค “ 3 ลด ค่าใช้จ่าย 7 เพิ่มเงินปชช.”

,

“ไพบูลย์”แถลง พปชร.ประชุมใหญ่สามัญพรรคฯรับรองการดำเนินงานในรอบปีงบการเงินพรรค รับรอง 20 นโยบายสำคัญของพรรค “ 3 ลด ค่าใช้จ่าย 7 เพิ่มเงินปชช.”

พรรคพลังประชารัฐจัดประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐ ประจำปี ครั้งที่ 2/2566 มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีกรรมการบริหารพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ศ. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค เป็นต้น และผู้แทนสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และสมาชิกพรรค เกิน 250 คน เข้าร่วมครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด

นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวถึงผลการประชุมสามัญประจำปี 2566 ว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้ตนทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม โดยการประชุมในวันนี้เป็นการประชุมตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 43 ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองต้องจัดทำรายงานการดำเนินการกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา เพื่อเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรค โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้นองค์ประชุมเกิน 250 คน

โดยที่ประชุมเห็นชอบการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองที่ดำเนินการ ตามที่นายสันติ เป็นผู้นำเสนอ และเห็นชอบรายงานการเงินของพรรคในรอบปี ตามที่นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคเสนอ นอกจากนั้นที่ประชุมได้รับรองและเห็นชอบ เรื่องการนำเสนอ 20 นโยบายสำหรับหาเสียงของพรรคพปชร.ที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกกต. เห็นชอบทั้ง 20 นโยบาย ที่มีประเด็นสำคัญ แยกเป็น 3 นโยบายลด ค่าใช้จ่ายให้ประชาชน คือ 1.ลดค่าไฟฟ้า เหลือ 2.50 บาท เพื่อช่วยประชาชน และ2.70 บาท ช่วยภาคอุตสาหกรรม 2.ลดค่าน้ำมันเบนซิน เหลือลิตรละ 25.99บาท ดีเซลเหลือลิตรละ 28.07 บาท โดยยึดหลักให้ความยุติธรรม ไม่เพิ่มภาระประชาชน ไม่เห็นด้วยเก็บภาษีสรรพามิต และกองทุนน้ำมัน และ3.ลดค่าแก๊ส 173 บาท เหลือ 253 บาท

ส่วน 7 นโยบายเพิ่มเงินในบัญชีให้ประชาชนโดยตรง ที่จะทำให้ประชาชน คือ 1.บัตรประชารัฐ 700 พร้อมวงเงินประกันชีวิต 2 แสนบาท 2. โครงการ แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ 3.เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 4.ให้ทุนการเพาะปลูกเกษตรกร 7.5 ล้านครัวเรือน ที่ลงทะเบียน ครัวเรือนละ 30,000 บาท 5.สร้างอาชีพผู้ถือบัตรประชารัฐ 1 ล้านคน โดยให้ทุนรายละ3 หมื่นบาท 6. ลดต้นทุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวให้ชาวนา ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 15ไร่ เป็นเงิน 30,000 บาท และ7. สนับสนุนปุ๋ยคนละครึ่ง โดยให้รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือประชาชนครึ่งหนึ่ง โดยที่ประชุมรับรองทุกประเด็นที่เสนอเรียบร้อยแล้ว เหล่านี้คือนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐเสนอที่จะทำให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศอยู่ดีกินดี ตามความตั้งใจและตั้งมั่นของพล.อ.ประวิตร”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566

ชัยวุฒิ ขึ้นเวทีปราศัยจังหวัด ตาก ขอ พปชร แลนสไลด์ จังหวัดตาก บอกปัญหาชังชาติ ต้องแก้ที่การเลือกตั้งเลือกคนดีไม่ทำชาติแตกแยก แซะ เพื่อไทย กั้กยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ลั่นทั่วโลกไม่มีใครใช้เเงินดิจิทัล ซื้อขายสินค้าและบริการ เพราะมีปัญหา เว้น เอลซัลวาดอร์

,

ชัยวุฒิ ขึ้นเวทีปราศัยจังหวัด ตาก ขอ พปชร แลนสไลด์ จังหวัดตาก บอกปัญหาชังชาติ ต้องแก้ที่การเลือกตั้งเลือกคนดีไม่ทำชาติแตกแยก แซะ เพื่อไทย กั้กยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ลั่นทั่วโลกไม่มีใครใช้เเงินดิจิทัล ซื้อขายสินค้าและบริการ เพราะมีปัญหา เว้น เอลซัลวาดอร์

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ เปิดเวทีปราศรัย อำเภอ เมือง จ.ตาก เพื่อช่วยผู้สมัคร เขต 1 นาย ประสงค์ นามเสถียร หมายเลข 7 พรรคพลังประชารัฐ โดยนายชัยวุฒิ กล่าวว่า อยากพูดถึง ความต่อเนื่องของบัตรประชารัฐ บัตรที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย บางคนก็เรียกว่ามีรายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เรามีบัตรนี้มาหลายปีแล้วพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนริเริ่มนโยบายนี้ และจะทําต่อไป แล้วจะทําให้ดีขึ้น เติมเงินเป็น 700 บาทแล้วถ้าใครยังไม่ได้ ต้องลงทะเบียนใหม่ดีไหม อยากให้ได้ทุกคน ที่สําคัญผมก็ไปดีเบตมาเรื่องนโยบาย เมื่อวานไปเจอคุณช่อ พรรคก้าวไกล ผมก็ถามว่า ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล บัตรประชารัฐจะอยู่ไหม เขาไม่เอา เขาจะเอาสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งผมก็ฟังแล้วไม่เข้าใจว่าคืออะไร เพราะไม่ชัดเจนเหมือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้แน่นอน 700 บาททุกเดือน ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ตอบแบบเหลี่ยมๆ ไม่แน่ใจเดี๋ยวไปดูเฉยๆ ปล่อยเฉยๆไว้ก่อนให้มันหมดไปเอง ไม่รู้แปลว่าอะไรก็คือไม่ทําต่อ ไม่เติมเงินแต่เขาจะให้อย่างอื่น เขาจะให้เงินดิจิทัลคนละ10,000 บาท ทุกคนเลยเอาไปใช้ภายใน6เดือน แต่เงินดิจิทัลคืออะไร พี่น้องรู้จักไหม ผมยังคิดว่าแม่ค้าจะรับรึเปล่ายังไม่รู้เพราะมันใหม่เกินไป ผมอยู่กระทรวงดิจิทัล ผมรู้จักดี วันนี้เงินดิจิทัลเป็นเงินที่มีปัญหามากที่สุด เพราะเราเปิดให้ลองใช้กันในการเก็งกําไรในการซื้อขาย แล้วก็คนขาดทุนกันเยอะมากเพราะราคามันขึ้นลงเยอะ ผันผวนจนคนไม่กล้าเล่นแล้ว บิทคอยน์ เงินดิจิทัลไม่มีใครเขา ทั้งประเทศทั่วโลกไม่มีใครให้ใช้เงินดิจิทัลซื้อขายสินค้าและบริการ เพราะเขากลัวมีปัญหากับค่าเงินกับระบบการเงินของเขา วันนี้ผมตรวจแล้ว มีประเทศเดียวในโลก ที่ให้ใช้เงินดิจิทัลซื้อของได้คือประเทศ เอลซัลวาดอร์ เพราะประเทศเขาก็ไม่มีระบบการเงินที่เข้มแข็ง เขาใช้เงินดอลลาร์ แทนเงินของประเทศเขามานานแล้ว มีปัญหาเขาก็ลองใช้เงินดิจิทัล ถ้าเราได้พรรคเพื่อไทย บัตรสวัสดิการรัฐก็อาจจะไม่มีหรือไม่เติมเงิน แต่จะได้เงินดิจิทัล ประเทศไทยเราจะเป็นประเทศที่สองในโลก ที่สามารถใช้เงินดิจิทัลได้ ผมว่ามันน่าจะมีปัญหา
ทําไมต้องเป็นเงินดิจิทัลให้พี่น้องปวดหัว และระบบการเงินก็จะมีปัญหาในอนาคตเพราะฉะนั้นการเลือกตั้ง นอกจากดูนโยบายแล้วต้องดูอุดมการณ์ด้วย อุดรการณ์คือพรรคนี้คิดยังไงกับประเทศไทย จะให้ประเทศไทยเราเป็นอย่างไร จะให้ลูกหลานเรามีอนาคตอย่างไรต่อไป วันนี้ ก่อนมาที่นี่ผมก็แวะมาจากแม่สอด มาที่ตากก็ขับรถผ่านศาลเจ้าพ่อพะวอ เป็นศาลที่พวกเราเคารพนับถือกันมากที่สุดในจังหวัดตาก ผมก็ไปไหว้ ไปขอพรท่าน ขอให้ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐแลนด์สไลด์ที่จังหวัดตาก ทั้งสามคนได้รับการเลือกตั้งทั้งหมด แต่ที่สําคัญนอกจากขอเรื่อง ส.ส. แล้ว ผมขอให้ ท่าน ช่วยปกปักคุ้มครอง แผ่นดินไทย ให้คนไทยอยู่อย่างสงบร่มเย็นตลอดไป เพราะเจ้าพ่อพะวอคือ นักรบ คือกะเหรี่ยงคือปกาเกอะญอ เป็นตํานานของพวกเราที่เป็นทหารที่คุมด่าน แล้วต่อสู้กับกองทัพพม่า ที่จะบุกมารุกรานประเทศไทย

การที่ให้คนไม่รักชาติ ให้คนเกลียดประเทศไทย ให้คนเกลียดชังกันแล้วมันทําให้คนมีปัญหาบ้านเมืองไม่สงบสุข วันนี้เราต้องคิดอุดมการณ์สําคัญคือ เราทํายังไงให้ประเทศชาติเราสงบสุข ประชาชน อยู่ดีกินดีเพราะสงบสุข ผมถามคน ปกาเกอะญอหลายคน โดยเฉพาะที่อยู่ที่ฝั่งประเทศไทย มี2ฝั่ง ฝั่งพม่ากับฝั่งไทย ฝั่งไทยถึงแม้ชีวิตจะยังลําบากอยู่ แต่เขาก็อยู่ดีขึ้นเรื่อยๆมีชีวิตที่ดี วันนี้มีถนนหนทาง มีน้ํา อินเทอร์เน็ตใช้ ลูกหลานได้เรียนหนังสือ มีการมีงานทํา บางคนจบปริญญาตรี ปริญญาโท พี่น้องลองข้ามไปฝั่งพม่า วันนี้ยังจับปืนสู้กับทหารพม่าอยู่เลย เหมือนเมื่อ200ปีก่อน เพราะบ้านเมืองเขาไม่สงบสุข เขาเป็นรัฐซ้อนรัฐเขาไม่ได้เป็นราชอาณาจักรไทยแบบเรา ประเทศเพื่อนบ้านเรา นี่คืออุดมการณ์ ผมถึงพูดตลอดว่าผมเห็นด้วย ใครมาด่าทหาร ทหารไปทําอะไร ทําให้คนเกลียดทหารเพื่อหวังผลทางการเมือง อันนี้ไม่ใช่อุดมการณ์ของพรรคเรา เพราะผมคิดว่ากองทัพต้องเข้มแข็งเพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ผมเคยคุยกับนักการเมืองบางคน แล้วติดตามความคิดของเขา เขาบอกว่าเขาอยากเปลี่ยนประเทศ ผมก็รู้ว่าพี่น้องผมหมายถึงใครนะ อยากเปลี่ยนประเทศ เขาบอกว่าประเทศไทยมีปัญหาเยอะ คนเกลียดชังกัน คนลําบาก จะเปลี่ยนประเทศได้ ต้องเปลี่ยนที่ต้นตอของปัญหา ต้องแก้ที่ต้นตอ ผมฟังแล้วผมรู้แล้ว เขาหมายถึงอะไร ต้นตอปัญหาของเขา แต่ผมว่ามันไม่ใช่เพราะปัญหาในมุมมองของเขาที่เขามองเป็นต้นตอ ผมมองว่าสิ่งนั้นคือต้นไม้ใหญ่ ที่มีรากแก้ว แผ่ออกไปเต็มผืนแผ่นดิน ยึดแผ่นดินไทยให้เป็นปึกแผ่น แล้วมีร่มเงา ปกป้องคุ้มครองให้คนไทยร่มเย็น อยู่เย็นเป็นสุขมาตลอดนับ100ปี ไม่ใช่ต้นตอของปัญหา ต้นตอของปัญหาคือนักการเมืองขี้โกง ทุจริตคอรัปชั่น ถ้ามองปัญหาผิด ไปตัดต้นไม้ผิดต้น ประเทศฉิบหายแน่นอน นี่คือความแปลกของอุดมการณ์ ความแตกต่างของอุดมการณ์
วันนี้เราต้องแก้ปัญหาที่การเลือกตั้งให้ได้คนดี ให้ได้นักการเมืองที่จะไปทํางานเพื่อพี่น้องประชาชน ไม่ไปทํางานเพื่อเห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่ครอบครัว แล้วทําให้บ้านเมืองแตกแยก เพราะถ้าไปทําให้บ้านเมืองแตกยากอีก ผมเชื่อว่าพี่น้องไม่มีความสุขแน่นอน ผมถามมาหลายคนแล้วนะป้า ไม่รู้เราเป็นเหมือนกันเปล่านะ ผมเจอมาหลายครอบครัวแล้ว เวลากินข้าวด้วยกัน พ่อใส่เสื้อสีแดง แม่ใส่เสื้อสีเหลือง ตอนนี้ลูกใส่เสื้อสีส้ม นั่งคุยกันแล้วทะเลาะกัน พอมันขัดแย้งกันด้วยความเหนื่อย คนมันก็ไม่มีความสุข คนมันจะมีความสุขได้กินข้าวอร่อย ต้องไม่ทะเลาะกัน วันนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นคนแรกที่พูด เราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นอุดมการณ์สําคัญของพรรค ทำให้คนทะเลาะกันขัดแย้งกัน เราไม่เอา เราคิดอะไรที่ทําได้ ให้บ้านเมืองสงบสุข แต่เราคิดต่างกันได้เห็นต่างกันได้เป็นประชาธิปไตย แต่เราต้องมาคุยกันด้วยเหตุที่ผล หาทางออกด้วยกัน ทํางานด้วยกันให้ได้ นี่คือจุดยืนของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ท่านจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง ประสานให้ทุกคนทุกกลุ่มรักกันสามัคคีกัน ให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าให้ได้ และผมเชื่อ ผมอยู่กับลุงป้อมมา ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ท่านจะเป็น คนที่คุยได้ทุกคนแล้วทําให้ทุกคนรักกันสามัคคีกันได้แน่นอน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566

‘ผู้กองธรรมนัส’ ลุยปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ มีประชาชนให้กำลังใจล้นหลาม ย้ำ แม้ตาซ้ายยังเจ็บ แต่ใจสั่งมาพบพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ชูภาคเหนือ 8 จังหวัด รวมพลังก้าวข้ามขัดแย้ง แก้ปัญหาแหล่งน้ำ ที่ดินทำกิน ผลักดัน พ.ร.บ.ลำไย ทันที

,

“ศ.ดร.นฤมล” ควง “อ้น ณิรินทร์”ผู้สมัคร พปชร.คันนายาว ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับฟังปัญหา มั่นใจ พปชร.พร้อมดูแล ปชช.ทุกช่วงวัย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 เวลา 16.00-19.00 น. ณ บริเวณกาดแม่วาง ต.บ้านกาด อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้จัดเวทีปราศรัยหาเสียง นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พปชร.และในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะกรรมการบริหาร พปชร.ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค พร้อมผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ประกอบด้วย นายพจนารถ ศรียารัณย เขต1 เบอร์ 4, นางศรีพรรณ เขียวทอง เขต2 เบอร์ 5,นายพรชัย อรรถปรียางกูร เขต 3 เบอร์1, ดร.มนสิชา ภัคดิเมธีเขต 4 เบอร์ 2 นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ เขต5 เบอร์ 1, นางรัตนประภา ดิศวัฒน์ เขต6 เบอร์ 5 ,นายบดินทร์ กินาวงษ์ เขต 7 เบอร์13,นางสาวกุสุมา บัวพันธ์ เขต8 เบอร์9 ,นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ เขต9 เบอร์6และนายนรพล ตันติมนตรี เขต10 เบอร์ 8 โดยมีประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัยอย่างเนืองแน่น

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่าดีใจที่ได้มาพบปะพ่อแม่พี่น้องทุกท่านในวันนี้ และขอบคุณที่มาให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ ของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นลูกหลานของพ่อแม่พี่น้องชาวเชียงใหม่ที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว และแม้ว่าวันนี้ตนเองจะยังต้องปิดตาซ้ายข้างหนึ่ง จากสาเหตุที่วันก่อนขี้นรถแห่ปราศรัยหาเสียงที่พะเยาช่วงมืดค่ำ ทำให้แมลงบินเข้าตา ทำให้ตาแดงอักเสบ หมอให้พักรักษาเป็นเวลา 5 วัน แต่ตนเองไม่สามารถพักได้เพราะใจสั่งมาต้องทำตามที่รับปากไว้แล้ว ก็ต้องมาพบพ่อแม่พี่น้องทุกท่านและช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครของเราทุกคน

“พ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับ สิ่งที่อยากบอกคือพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีหลักยึดชัดเจนคือก้าวข้าวความขัดแย้ง เพื่อให้ประชาชนมีความรักสามัคคีกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง นอกจากนี้ยังสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มเป็น 700 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน และยังมีเงินประกันชีวิต 2 แสนบาทด้วย ที่สำคัญคือแก้ปัญหาที่ดินทำกิน โดยผลักดันเปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด และ ค.ท.ช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก. ตามเป้าหมาย ‘มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน’ ซึ่งพร้อมจะทำทันทีหลังจากเลือกตั้งและได้จัดตั้งเป็นรัฐบาลครับ”

ร.อ. ธรรมนัส ยังย้ำว่า วันนี้ภาคเหนือทั้ง 8 จังหวัดเราต้องเดินหน้าขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อให้มีพลังในการผลักดันแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประชาชน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาแหล่งน้ำ การผลักดันเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไยต่อเนื่องคือไร่ละ 2 พันบาท ไม่น้อยกว่า 25 ไร่และผลักดัน พ.ร.บ.ลำไย เป็นรูปธรรม ตนเอง ซึ่งเป็นลูกข้าวนึ่งคนหนึ่งจะเดินหน้าทำงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องทุกท่านให้ดีที่สุด ขอฝากว่าวันที่ 14 พฤษภา นี้ไปใช้สิทธิ์กาบัตรเลือก ส.ส.ซึ่งเป็นลูกหลานของท่านยกจังหวัดไปเป็นปากเป็นเสียงแทนในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันงบประมาณต่างๆ มาพัฒนาบ้านเมืองของเราต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566

ปุ๋ยคนละครึ่ง-กองทุนปุ๋ยประชารัฐ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

,

ปุ๋ยคนละครึ่ง-กองทุนปุ๋ยประชารัฐ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้เกษตรกร

พปชร.เอาใจเกษตรกร 8 ล้านครัวเรือน ชู “ปุ๋ยคนละครึ่ง” รัฐช่วยเหลือ 50% พร้อมตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ ลดต้นทุนการเพาะปลูก เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวไร่-ชาวนา

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึงนโยบายด้านการเกษตร ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้ความสำคัญกับเกษตรกรทุกกลุ่ม มีนโยบายด้านการเกษตรออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ

จากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาปุ๋ยขยับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าปัจจุบัน ปัญหาราคาปุ๋ยแพงจะคลี่คลายลงบ้าง จากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่เริ่มทยอยปรับลดลง แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกษตรกรเกิดความไม่มั่นใจ และเป็นห่วงว่าราคาปุ๋ยเคมีที่แพงและผันผวนมาก จะกระทบต่อต้นทุนการเพาะปลูก รวมถึงรายได้ของเกษตรกรอาจไม่เพียงพอต่อภาระค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น

ที่สำคัญ ปีนี้ มีแนวโน้มว่า สถานการณ์ “ผลผลิตเกษตร” ของโลกลดลง จากปัญหา “ร้อน-แล้ง” และยังมีความ “ต้องการ” เพิ่มขึ้น ฉะนั้น เกษตรกรไทยจึงควรทำให้พืชผลทางการเกษตรมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยดูแลให้เกษตรกรมีต้นทุนการเพาะปลูกที่ต่ำ อีกทั้ง จำหน่ายผลผลิตเกษตรให้ได้ในราคาสูง

ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบาย “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ออกมาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ทำให้สามารถซื้อปุ๋ยได้ในราคาถูก เนื่องจากรัฐบาลจะช่วยอุดหนุน 50 % พร้อมกับจัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพ ซึ่งจะครอบคลุมเกษตรกร จำนวน 8 ล้านครัวเรือน เพื่อลดต้นทุนการเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน พร้อมฝากประชาชน พิจารณาเลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล” ควง “อ้น ณิรินทร์”ผู้สมัคร พปชร.คันนายาว ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับฟังปัญหา มั่นใจ พปชร.พร้อมดูแล ปชช.ทุกช่วงวัย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง

,

“ศ.ดร.นฤมล” ควง “อ้น ณิรินทร์”ผู้สมัคร พปชร.คันนายาว ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับฟังปัญหา มั่นใจ พปชร.พร้อมดูแล ปชช.ทุกช่วงวัย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงพื้นที่ ซอยเสรีไทย 4 เขตคันนายาว ชุมชนซอยสมหวัง เพื่อพบปะประธานกลุ่มผู้สูงอายุ และอาจารย์ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนสมหวัง ร่วมกับ น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง (อ้น) ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 15 เบอร์ 8 เขตคันนายาว-บึงกุ่ม (เฉพาะแขวงคลองกุ่ม)เพื่อสอบถามปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนนักเรียนประมาณ 170 คน โดยรับการดูแลเด็กทั้งในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง ซึ่งพบว่าสวัสดิการไม่เหมือนครูทั่วไป ทั้งในด้านค่ารักษาพยาบาล เงินเดือนประจำ ซึ่งควรได้รับความเท่าเทียมเช่นเดียวกับข้าราชการครู ซึ่ง พปชร.ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากศูนย์เด็กเล็กเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคให้ความสำคัญในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่เห็นความสำคัญในการยกระดับชีวิต เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อ แม่สามารถไปประกอบอาชีพได้โดยไม่ต้องกังวล ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวจำนวนมาก ดังนั้นการผลักดันให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพทั่วกรุงเทพ และทั่วประเทศ เราจะได้หมดห่วงเรื่องของคุณภาพของเด็ก ตัวอย่าง ของ”ชุมชนสมหวัง”ที่สามารถดูแลพัฒนาการได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนอื่นๆสนับสนุน ในการพัฒนาการของเด็กในชุมชนได้อย่างเท่าเทียม เพื่อลดปัญหาทางสังคมได้อย่างยั่งยืน

“เรื่องของการพัฒนาการของเด็ก และแม่ เป็นเรื่องที่พรรคให้ความสำคัญ จึงมีนโยบายดูแลสตรีเป็นพิเศษ ในนโยบายดูแลทุกช่วงวัย “แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ” จะเห็นว่า ดูแลตั้งแต่เริ่มตั้งแต่ในครรภ์ จนถึงเดือนที่ 5-9 ที่จะใกล้คลอด โดยเราจะสนับสนุนค่าดูแลเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือน จนกว่าจะคลอด และมีนโยบายดูแลเด็กแรกเกิด จนถึง 6 ขวบ ได้เดือนละ 3,000 บาท”

ศ.ดร. นฤมล กล่าวต่อว่า เขตคันนายาวและบึงกุ่ม เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่พรรคให้ความสำคัญ ซึ่งเรามี “อ้น ณิรินทร์ เงินยวง ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 15 เบอร์ 8 “ ที่พร้อมเข้ามาดูแล และให้การช่วยเหลือชุมชนอย่างเต็มกำลัง โดยพร้อมผลักดันสิทธิสตรี คนชรา การส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง ทั้งนี้ในพื้นที่ทั่วประเทศ พปชร.มีผู้สมัครอยู่ครบทุกเขต ที่จะพร้อมจะทำงานให้กับประชาชน และขอฝากขอความเมตตาพี่น้องชาว กทม.ช่วยเลือกผู้แทนจากพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 33 เขตใน กทม. เราก็หวังว่าจะได้เข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชนกทม. ในการทำงตามนโยบายต่างๆซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคน กทม.

ด้าน น.ส.ณิรินทร์ กล่าวว่า ปัญหาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไม่ว่าจะเป็น ค่าอาหารกลางวัน ได้เพียงวันละ 32 บาทต่อหัว อุปกรณ์การเสริมทักษะ ขาดแคลนในการจัดซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะกับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งปัจจุบันต้องอาศัยเงินบริจาคคนในชุมชน โดยศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่ดูแลเด็กเล็กของชุมชนที่ต้องให้เวลาในการดูแลมากกว่าปกติ เนื่องจากสถานะครอบครัวที่พ่อแม่ต้องออกไปประกอบอาชีพตั้งแต่เช้าและกลับค่ำ ทำให้คุณครูประจำศูนย์ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่สอดรับกับอัตราจ้างเป็นรายวัน ส่งผลให้จำนวนครูผู้สอนไม่สอดคล้องกับจำนวนเด็กนักเรียน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะนำเสนอต่อผู้บริหารของพรรคเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่อไป เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการหาบุคคลากรที่มีคุณภาพให้เพียงพอ

น.ส.ณิรินทร์ กล่าวต่อว่า พปชร.ยังให้ความสำคัญในเรื่องของกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ พรรคมีนโยบายเข้าไปยกระดับคุณภาพชีวิต นอกจากสวัสดิการที่พปชร. มีนโยบายผลักดันให้เกิดขึ้น ทั้งการเพิ่มสวัสดิการ 700 บาทต่อเดือน และเงินทุนประกันอีก 200,000 บาท และเงินเริ่มต้นประกอบอาชีพ 30,000 บาท และเงินกู้วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทเพื่อประกอบอาชีพ นับว่าเป็นนโยบายที่ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะชุมชนที่ต้องการสวัสดิการเพื่อการดูแลคุณภาพชีวิต ให้สามารถยืนได้ด้วยตนเอง”

“ส่วนใหญ่อ้นจะลงพื้นที่ชุมชนเองทุกกลุ่ม และเดินเข้าไปหาตามบ้านเอง เสียงตอบรับก็จะดี และก็คล้ายๆกันไม่ว่าจะมีเรื่องศูนย์สุขภาพเด็ก หรือว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือเรื่องวัคซีนหรือเรื่องต่างๆ ทั้งนี้ อ้นขอฝากให้พี่น้องประชาชนเลือกทั้งพรรคทั้งคน เพราะเราจะได้เข้าไปบริหารร่วมกันทั้งตัวบุคคล และตัวพรรค”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 เมษายน 2566

ใจเกินร้อย ! “ธรรมนัส” บุกหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย ทั้งที่ตาซ้ายเยื่อบุตาขาด จากเหตุลุยหาเสียงมืดค่ำโดนแมลงบินเข้าตา ย้ำตั้งใจมุ่งมั่นมาพบชาวอำเภอแม่สรวย – แม่ลาว เพื่อฝากนโยบายสำคัญ ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผลักดัน พ.ร.บ.ลำไย ให้เป็นรูปธรรม เพื่อเยียวยาผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ

, ,

ใจเกินร้อย ! “ธรรมนัส” บุกหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย ทั้งที่ตาซ้ายเยื่อบุตาขาด จากเหตุลุยหาเสียงมืดค่ำโดนแมลงบินเข้าตา ย้ำตั้งใจมุ่งมั่นมาพบชาวอำเภอแม่สรวย – แม่ลาว เพื่อฝากนโยบายสำคัญ ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผลักดัน พ.ร.บ.ลำไย ให้เป็นรูปธรรม เพื่อเยียวยาผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เวลา 17.00-19.45 น. ณ บริเวณศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต.แม่พริก อ.แม่สรวย จ.เชียงราย พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้จัดเวทีปราศรัยหาเสียง นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พปชร.และในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะกรรมการบริหารพปชร.ร่วมขึ้นปราศรัยนโยบายพรรค พร้อมผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงรายประกอบด้วย เขต 1 นายศรัณย์พัส ศรีสวัสดิ์ เบอร์ 7 เขต 2 นางวันดี ราชชมภู เบอร์ 7 เขต 3 พ.ต.อ.รัฐพล น้อยช่างคิด เบอร์ 5 เขต 4 นายเกียรดิศักดิ์ อุดขา เบอร์ 8 เขต 5 นายพันธวัช ภูผาพันธกานต์ เบอร์ 2 เขต 6 นายระพิน เตมียะ เบอร์ 3 และ เขต 7 นายบุญเกิด ร่องแก้ว เบอร์ 10 โดยมีประชาชนกว่า 5,000 คนมาร่วมฟังการปราศรัย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 18.00 น. ร.อ.ธรรมนัส เดินทางมาถึงบริเวณเวทีปราศรัยด้วยใบหน้าที่ปิดตาด้านซ้าย ก่อนจะนำคณะผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงราย ไปสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวรเพื่อน้อมรำลึกถึงพระ มหากรุณาธิคุณของพระนเรศวรมหาราช และเพื่อความเป็นสิริมงคลเอาฤกษ์เอาชัยในการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้

โดย ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวทักทักทายกับประชาชน ช่วงหนึ่งว่า “พ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับวันนี้ ผมมาด้วยสภาพร่างกายพร้อมทุกส่วน ยกเว้นตาซ้าย ที่ต้องปิดตาซ้ายข้างหนึ่ง จากสาเหตุที่วันก่อนขี้นรถแห่ปราศรัยหาเสียงที่พะเยาช่วงมืดค่ำ ทำให้แมลงบินเข้าตา ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดทำให้ตาแดงอักเสบ เมื่อวานนี้ ผมไปพบหมอให้รักษา หมอบอกว่าเยื่อบุตาขาด ต้องพักรักษาอาการอักเสบดังกล่าว แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อผมได้รับปากบผู้สมัคร ส.ส.เชียงรายทุกคน โดยเฉพาะเขต 3 และเขต 6 ไว้แล้วก็ต้องมาให้ได้ด้วยความห่วงใย จึงเร่งรัดรักษาทั้งประคบเย็นและกินยาทุกอย่างเพื่อมาปะกับพ่อแม่พี่น้องชาวอำแม่แม่สรวย และแม่ลาวในสภาพที่เห็นแบบนี้ครับ”

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาปฎิวัติรัฐประหารปี พ.ศ.2549 และ ปี พ.ศ.2557 รวมกว่า 10ปีแล้ว ที่เป็นอุทาหรณ์ให้คนไทยเราได้เห็นว่า การแบ่งแยก ขัดแย้ง เป็นสีต่าง ๆ ทำให้ถูก ฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจไม่หวังดีฉวยเอาไปใช้ประโยชน์เป็นเครื่องมือในการหาเสียง สร้างความแตกแยกเข้ามาหาผลประโยชน์ ในขณะที่ตนเองก็ได้รับผลกระทบถูกไปคุมขัง และอายัดทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่นับรวมประชาชนที่ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป มาวันนี้จึงมาบอกทุกท่านว่า พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีหลักยึดชัดเจนคือก้าวข้าวความขัดแย้ง เพื่อให้ประชาชนมีความรักสามัคคีกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง วันนี้ ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งสมเด็จพระนเรศวร ประกาศอิสระภาพจากพม่า ตนเองจึงเห็นสำคัญที่พรรคฯ ได้มาประกาศนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง ดังกล่าวด้วย

“เรื่องแรก ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวของแม่สรวย คือเรื่องอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง ผมตอนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562 ได้ลงพื้นที่มาสำรวจและผลักดันทำอีไอเอและของบประมาณสร้าง จนกระทั่งล่าสุดการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 19 เมษาฯ ที่ผ่านมา ได้อนุมัติสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างแล้ว นอกจากนี้ ยังมีเรื่องใกล้ตัวอีกเรื่องคือ คนเมืองเหนือ 8 จังหวัดจะอู้ว่า ภาคใต้มียางพารา อีสานมีข้าว มีอ้อย มีสำปะหลัง ตะวันออกคือ ยางพารา ปาล์ม ภาคเหนือเราคือลำไย ถามว่า ทุกผลไม้และพืชเศรษฐกิจของทุกภาคมีพรบ.รองรับแก้ปัญหาต่างๆ แล้วหรือไม่ คำตอบคือมีแล้ว ขณะที่ลำไยของเรา ยังไม่มี แบบนี้น่าเจ็บใจมั๊ยครับ เวลานี้ผลผลิต ลำไย ถูกพ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนดเกรดเอ บี อะไรต่างๆ สร้างความเดือดร้อนคนเหนือเรา ขณะที่ นักการเมืองส่วนใหญ่เงียบกริบไม่มีใครเอ่ยปากจะช่วยเหลือ มีเพียงผม พี่บุญสิงห์ และดร.ธนสาร ที่ผลักดันเยียวยาช่วยเหลือลำไยไร่ละ 2 พัน ไม่น้อยกว่า 25 ไร่ ผมจำได้ว่าเคยมามอบที่ เชียงรายด้วย ดังนั้นจึงยืนยันจะผลักดันให้มี พ.ร.บ.ลำไย เป็นรูปธรรมทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลครับ”

จากนั้น นายบุญสิงห์ ได้ปราศรัยถึงนโยบายต่างๆ ของพรรค และสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มเป็น 700 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน และยังมีเงินประกันชีวิต 2 แสนบาทด้วย นอกจากนี้ ยังแก้ปัญหาลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งราคาแก๊สหุงต้ม ต่างๆ แก้ปัญหาที่ดินทำกิน โดยผลักดันเปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด และ ค.ท.ช.เปลี่ยนเป็นส.ป.ก. ตามเป้าหมาย “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการปราศรัย ได้มีประชาชนมามอบพวงพาลัย และดอกไม้ ให้กำลังใจ ร.อ. ธรรมนัส พร้อมผู้สมัคร ส.ส.ทุกคน เป็นจำนวนมาก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 เมษายน 2566