โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: พรรคพลังประชารัฐ

“พล.อ.ประวิตร” คว้าเบอร์ 37 พปชร.ก้าวข้ามความขัดแย้ง เสนอตัว พร้อมสร้างโอกาสเพื่อปชช.

,

“พล.อ.ประวิตร” คว้าเบอร์ 37 พปชร.ก้าวข้ามความขัดแย้ง เสนอตัว พร้อมสร้างโอกาสเพื่อปชช.

วันที่ 4 เมษายน 2566 10.45 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งและจับฉลากเบอร์ประจำพรรค และบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ด้วยตนเอง โดยได้เบอร์37 เพื่อใช้ในการเลือกหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้

พรรคพร้อมเดินสู้ศึกเลือกตั้ง เสนอนโยบายทุกด้าน เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกพื้นที่เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิต ภายใต้แคมเปญ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยนโยบายด้านเศรษฐกิจ “3 เร่งด่วน” …แก้ไขปัญหาครบทุกมิติ “8 เร่งรัด” เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้โตอย่างยั่งยืน…..ภายใต้ “แนวคิดพลิกฟื้นเศรษฐกิจพลิกโฉมประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.”จับเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ตั้งเป้าขอ ส.ส.20 ที่นั่งเดินหน้าหน้าพัฒนาประเทศ

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพ พปชร.”จับเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ตั้งเป้าขอ ส.ส.20 ที่นั่งเดินหน้าหน้าพัฒนาประเทศ

เมื่อเวลา 07.50 น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค,นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ กรรมการบริหารพรรค,นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค , นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมืองพรรค และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมกทม. เดินทางมาถึง อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง เพื่อสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การเป็นนักการเมืองต้องเข้มแข็ง เราต้องทำตามหน้าที่ โดยสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายเอาไว้ประมาณ 20 ที่นั่ง ของสส.บัญชีรายชื่อ และมั่นใจว่าได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และได้ชูมือสองข้างทักทายกองเชียร์และสื่อมวลชน มารอต้อนรับและสัมภาษณ์อย่างคับคั่ง พร้อมชูมือ กำหมัดข้างขวาขึ้น เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใจ เพื่อเดินเข้าไปยังตึกไอรวัฒพัฒนา อย่างมั่นใจ พร้อมด้วยทีมงานคณะบริหารของพรรค

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล-สกลธี”นำ 33 ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สักการะศาลหลักเมืองเอาฤกษ์เอาชัย ประกาศ ขอ ส.ส.กทม.มากกว่า 12 ที่นั่ง พร้อมเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเต็มสูบ

,

“ศ.ดร.นฤมล-สกลธี”นำ 33 ผู้สมัคร ส.ส.กทม.สักการะศาลหลักเมืองเอาฤกษ์เอาชัย
ประกาศ ขอ ส.ส.กทม.มากกว่า 12 ที่นั่ง พร้อมเดินหน้ารณรงค์หาเสียงเต็มสูบ

3 เมษายน 2566 เวลา 12.00 น. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.นํากลุ่มผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต ได้แก่ เดินทางออกจากอาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เพื่อมาสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหลวง เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ภายหลังไปสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.มาในช่วงเช้า

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐขอจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ กทม.ให้ได้มากกว่า 12 เขต ซึ่งมองว่าทุกพรรคการเมืองก็คงมาขอพรที่นี่เช่นกัน แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เราจะเอาความตั้งใจที่จะทำงานให้พี่น้องประชาชนมาสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้

โดยนายสกลธี กล่าวว่า เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าพอสมัครเสร็จก็จะพาผู้สมัครมาสักการะศาลหลักเมือง เพื่อให้มาเอาฤกษ์เอาชัย จริงๆก็มีหลายที่ แต่วันนี้ขอมาเป็นที่เดียวก่อน สำหรับบรรยากาศการจับเบอร์วันนี้ ภาพรวมก็พอใจ มีพรรคการเมืองค่อนข้างเยอะ อาจจะล่าช้าไปบ้าง เพราะมีพรรคการเมืองจำนวนมาก

สำหรับ เบอร์ของผู้สมัคร พปชร. ภายหลังจากเข้าสู่กระบวนการเข้ารับสมัครและจับหมายเลขผู้สมัครทั้ง 33 เขตเสร็จสิ้นแล้ว ผลปรากฎดังนี้

เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง ได้หมายเลข 11
เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ได้หมายเลข 11
เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ ได้หมายเลข 15
เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ ได้หมายเลข 8
เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพน ได้หมายเลข 4
เขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ได้หมายเลข 10
เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ได้หมายเลข 12
• เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กียปัจจ์ ได้หมายเลข 7
เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ ได้หมายเลข 8
เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล ได้หมายเลข 3
เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค ได้หมายเลข 7
เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น ได้หมายเลข 12
เขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ได้หมายเลข 8
เขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาล ได้หมายเลข 5
เขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ได้หมายเลข 8
เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ ได้หมายเลข 12
เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี ได้หมายเลข 10
เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมี ได้หมายเลข 4
เขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา ได้หมายเลข 10
เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี ได้หมายเลข 1
เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ ได้หมายเลข 2
เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ได้หมายเลข 1
เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ได้หมายเลข 5
เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน ได้หมายเลข 1
เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา ได้หมายเลข 2
เขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายอนุชาญ กวางทอง ได้หมายเลข 3
เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล ได้หมายเลข 12
เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง ได้หมายเลข 1
เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ ได้หมายเลข 7
เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ ได้หมายเลข 11
เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน ได้หมายเลข 1
เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ได้หมายเลข 6
เขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล ได้หมายเลข 15

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.พปชร.ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต ลั่นผลสรุปจำนวนที่นั่งอยู่ที่ ปชช.เลือก ย้ำ เยาวชนถามจุดยืน 112 เป็นเรื่องความคิดต่าง

,

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.พปชร.ยื่นใบสมัคร ส.ส.เขต
ลั่นผลสรุปจำนวนที่นั่งอยู่ที่ ปชช.เลือก ย้ำ เยาวชนถามจุดยืน 112 เป็นเรื่องความคิดต่าง

วันที่ 3 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชา,นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และ นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.นํากลุ่มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรค พปชร. ทั้ง 33 เขต เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า บรรยากาศในวันนี้คึกคัก เพราะมีหลายพรรคมาสมัคร โดยพรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าหมายเท่าเดิม 12 ที่นั่ง ส่วนการจับเบอร์พรรคในวันพรุ่งนี้ตนก็อยากจะได้เป็นเลขตัวเดียว โดยพรรคพลังประชารัฐเราตั้งใจทำเพื่อประชาชน ยังไม่ได้คิดเรื่องอื่น วันนี้ก็รู้สึกกระฉับกระเฉง มีใจบันดาลแรงไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะได้เท่าไหร่ แล้วแต่ประชาชนจะเลือก

ส่วนเรื่องการขึ้นเวทีดีเบต พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ตนเองก็ยังไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่นักโต้วาที ส่วนในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือไม่ยังไม่ทราบ

ส่วนกรณีที่มีกลุ่มเยาวชนเคลื่อนไหวทางการเมืองและปะทะกับกลุ่มการ์ดของพรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า เราไม่ให้มีความรุนแรงอยู่แล้ว ได้บอกกับทางพรรคแล้ว คนคิดต่างทางการเมืองคิดได้ แต่คนไทยจะต้องเป็นหนึ่งเดียว รักกันสามัคคีกัน มีความปรองดอง ซึ่งเป็นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เราไม่ได้โกรธกัน

ด้านนายสกลธี ให้สัมภาษณ์ว่า การตั้งเป้า ส.ส.กทม.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอบวกลบให้ได้อย่างน้อยเท่าเดิม
ครั้งที่แล้วในสนาม กทม. ส.ส.ทั้ง 12 คนของ พปชร.เป็นคนใหม่ทั้งหมด ซึ่งในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง คน กทม.จะกาผู้สมัครหน้าใหม่เยอะ จึงไม่กังวลว่าจะเป็น ส.ส.เก่ากี่คน อยู่ที่ว่าพรรคเราจะทำตามแผนหาเสียงที่วางไว้ได้หรือไม่มากกว่า ซึ่งวันนี้เสียงตอบรับประชาชนที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐถือว่าดี โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ตนไปลงพื้นที่บางคอแหลม กระแสดีมาก

ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐได้ส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พระนคร สัมพันธวงศ์ ดุสิต บางรัก นายสฤษดิ์ ไพรทอง เขต 2 สาทร ราชเทวี ปทุมวัน นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขต 3 บางคอแหลม ยานนาวา น.ส.ชญาภา ธารดำรงค์ เขต 4 คลองเตย วัฒนา นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์

เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง นายกานต์ กิตติอำพนเขต 6 ดินแดง พญาไท ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร เขต 7 บางซื่อ ดุสิต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช เขต 8 จตุจักร หลักสี่ นายรังสรรค์ กีบปัจจุบัน เขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ เขต 10 ดอนเมือง ภญ.สุชาดา เวสารัชตระกูล

เขต 11 สายไหม น.อ. บัญชาพล อรัณยะนาค เขต 12 บางเขน สายไหม ลาดพร้าว ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่นเขต 13 ลาดพร้าว วังทองหลาง นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำเขต 14 บางกะปิ วังทองหลาง น.ส. นฤมล รัตนาภูบาลเขต 15 คันนายาว บึงกุ่ม น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง เขต 16 คลองสามวา นายกิติภูมิ นีละไพจิตร เขต 17 หนองจอก คลองสามวา นายศิริพงษ์ รัสมี

เขต 18 หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง นายพีระพงษ์ รัสมีเขต 19 มีนบุรี สะพานสูง นางนาถยา แดงบุหงา เขต 20 ลาดกระบัง นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี เขต 21 ประเวศ สะพานสูง น.ส.แพรว กิจสุวรรณ เขต 22 สวนหลวง ประเวศ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขต 23 พระโขนง บางนา นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ

เขต 24 คลองสาน ธนบุรี ราษฎรบูรณะ นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขต 25 ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธาเขต 26 จอมทอง บางขุนเทียน นายอนุชาญ กวางทอง เขต 27 บางบอน บางขุนเทียน นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล เขต 28 หนองแขม บางบอน จอมทอง นายมานพ มารุ่งเรือง เขต 29 บางแค หนองแขม นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เขต 30 บางแค ภาษีเจริญ นายสิทธิโชค คล้อยแสงอาทิตย์ เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขต 32 บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ และเขต 33 เขตบางพลัด บางกอกน้อย นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 3 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดติวเข้มผู้สมัครทุกเขตเข้าใจค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ลงบันทึกแม่นยำอย่างถูกต้องตามประกาศกกต.ลดช่องว่างถูกร้องเรียน

,

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดติวเข้มผู้สมัครทุกเขตเข้าใจค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ลงบันทึกแม่นยำอย่างถูกต้องตามประกาศกกต.ลดช่องว่างถูกร้องเรียน

1 เมษายน 2566 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานในการเปิดกิจกรรมฝึกอบรม ว่าที่ผู้สมัครและตัวแทนว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ที่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจำปี 2566 ให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ในเรื่อง กำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยมีนายวรวงศ์ ระฆังทอง นายกสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย เป็นวิทยากรให้ความรู้ ความเข้าใจในกิจกรรมอบรมครั้งนี้

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคมีความเป็นห่วงใยในว่าที่ผู้สมัครของพรรคทุกคน ในเรื่องข้อปฎิบัติ และระเบียบกกต. เนื่องจาก การจัดการเลือกตั้งแต่ละปีมีความแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2554 ปี2562 และปี 2566 แต่ละปีมีระเบียบ การแสดงบัญชีรายจ่าย ในการหาเสียงเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงกฎระเบียบ ไม่เฉพาะเรื่องการเงิน รวมถึงวิธีการรณรงค์หาเสียงที่เปลี่ยนไป ดังนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ว่าที่ผู้สมัคร 400 เขต ต้องมีความเข้าใจในระเบียบ และวิธีปฏิบัติและการลงบัญชีให้ถูกต้อง เพื่อลดช่องว่างการถูกร้องเรียนจากการเลือกตั้ง เพราะว่าที่ผู้สมัครส่วนใหญ่กว่า300 คนเป็นว่าที่ผู้สมัครหน้าใหม่ ไม่เคยลงรับเลือกตั้งในสนามใหญ่ จำเป็นต้องให้ความรู้และความช่วยเหลือ เพื่อการเตรียมความพร้อมการเข้าไปทำหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ในสภาฯได้อย่างสมบูรณ์

“ พรรค พร้อมให้การสนับสนุนทุกเรื่องอย่างเต็มที่ หากมีข้อข้องใจ พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดทำบัญชี และการแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เป็นไปตามระเบียบทุกประการ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องการให้สมาชิกของพรรค ทุกคนมีแผน และความพร้อมทุกด้านในการลงพื้นที่ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่มีปัญหา อุปสรรคใดๆในระหว่างการหาเสียง เพื่อให้ทุกคนสามารถมีโอกาสเป็นตัวแทนของพรรค โดยไม่ถูกโต้แย้งหรือร้องเรียน จากทุกฝ่าย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 เมษายน 2566

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่องย้ำนโยบายพปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม เลือก”พล.อ.ประวิตร”เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

,

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่องย้ำนโยบายพปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม เลือก”พล.อ.ประวิตร”เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 17.30 น.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีปราศรัย วัดลาดทราย อ.วังน้อย จ.พระนครอยุธยา โดยมีนายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 นายภูมินทร์ มงคลกาย เขต 5 นายชณทัต ปัทะมะภูวดล เขต 3 แนะนำตัวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเสนอนโยบายที่มุ่งช่วยปากท้องชาวอยุธยา

นายสันติ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 เขต มีความตั้งใจที่จะเสนอตัวในการรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างจริงใจและจริงจัง และขอให้มั่นใจได้ว่า ทุกคนเป็นพลังของพรรคพลังประชารัฐ เป็นพื้นที่ความหวัง และความตั้งใจของพรรค ที่ทุกคนจะสามารถได้รับการตอบรับจากประชาชน เลือกมาเป็นตัวแทนที่สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมกับนำความเจริญและเดินหน้าพัฒนาจังหวัด ทั้งในด้านการส่งเสริมอาชีพ สร้างความก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของพรรค และรัฐบาล

นายสันติ กล่าวต่อว่า นอกจากนโบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน เรายังมีนโยบายบุตร ธิดา ประชารัฐ เพื่อส่งเสริมด้านสุขอนามัย และลดภาระการเลี้ยงดูบุตร ให้กับสตรีผู้เป็นเพศแม่ ซึ่งถือเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการเพิ่มจำนวนประชากร เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างบุคลากรเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป แต่ต้องยอมรับประเทศประสบปัญหา ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้พรรค ออกนโยบายดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มเงินเบี้ยสวัสดิการประชารัฐ 345 678 ที่พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปได้ 3,000 บาท 70 ปี 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท

“ส่วนเป้าหมายที่จะสร้างแหล่งเงินให้เข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ผ่านนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งจะดำเนินการให้เป็นจริง แต่ต้องอาศัยเสียงพี่น้องประชาชน มอบความไว้วางใจให้กับ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีและว่าที่ผู้สมัครพปชร.เป็นรัฐบาล เพื่อนำนโยบายต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือ รวมถึงการแก้ไขระเบียบการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน โดยให้นำเงินฝากที่อยู่ในระบบ 19-20 ล้านล้านบาท ต้องกำหนดให้แบ่งสัดส่วนการปล่อยกู้อย่างทั่วถึง แบ่งเป็นการจัดสรรเงินฝากในสัดส่วน 50% เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับประชาชนทั้งคนชั้นกลาง ผู้มีรายได้น้อย โดยให้พี่น้องประชาชน ที่มีความต้องการวงเงินไม่เกิน ระดับ 100,000-500,000 บาท นำไปพัฒนาอาชีพ ไม่ใช่กระจุกไว้ปล่อยสินเชื่อเพียงระดับบนเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถลืมตาอ้าปากได้”

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวว่า ตนดีใจที่เห็นพี่น้องชาวอยุธยามารับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก พปชร. เนื่องจากพรรคมี นโยบายเพื่อประชาชนออกมาจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ได้สื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ โดยเชื่อว่าประชาชนเข้าใจ และรับรู้นโยบายดีๆ ทั้งนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ เพิ่มเป็น 700 บาท นโยบายดูแลผู้สูงอายุ และนโยบายมารดาประชารัฐ ซึ่งพรรคดูแลได้ทุกกลุ่ม และทำได้ทันที

“ที่ผ่านมา พปชร.ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นผู้ประสานทุกฝ่าย และมีส่วนสำคัญทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ บริหารประเทศได้ 4 ปีเต็ม ซึ่งพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ถือว่ามีเศรษฐกิจที่ดี ค้าขายขยายตัวเจริญรุ่งเรือง ลูกหลานมีอาชีพ และเพื่อให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ สำคัญอย่างยิ่ง คือความสงบสุข ที่จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่น ให้กับทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน ในอยุธยาเพิ่มขึ้น นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นต่อไป เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประชาชนบางส่วนยังประสบปัญหาความยากจน พปชร. ไม่เคยมองข้าม โดยที่ผ่านมาได้ร่วมผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะพื้นที่อ. บางบาน ที่มีปัญหามาก ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้ผลักดันให้มีการขุดคลองระบายน้ำเพิ่มขึ้นอีก 1 สายเพื่อเร่งระบายน้ำไม่ให้เกิดการท่วมขัง
การที่พรรคฝ่ายตรงข้ามพูดสิ่งไม่ดี บอกว่า 8 ปี ไม่มีอะไรเลยนั้น ผมยอมรับว่า หลายคนยังมีความลำบาก แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ในฐานะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต และสามารถทำการค้าผ่าน ระบบสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ การนำระบบอินเตอร์เนตเพื่อสนับสนุนการค้าระบบใหม่ เพราะวันนี้เมืองไทยพัฒนาไปไกลมากแล้ว เพียงแค่ทุกคนสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารผ่านระบบสมาร์ทโฟน ก็เข้าไปขายสินค้าสร้างรายได้รูปแบบใหม่ได้ และยังมีอีกหลายโครงการที่จะทำให้ พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด

“หากพล.อ.ประวิตรได้เป็นนายก เพิ่มเงินเป็น 700 บาทแน่นอน ต้องบอกว่า วันนี้มีสีเสื้อไม่มีอีกแล้ว หาก บ้านเมืองยังมีปัญหา ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นักการเมือง ประชาชน ทะเลาะกัน หากเลือกเรา พปชร. ก็จะได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่ได้เข้าไปจัดตั้งรัฐบาล พร้อมทำงานให้ประชาชน เพราะเราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราทำทุกนโยบายได้ทันที การจัดตั้งรัฐบาลได้ ความขัดแย้งไม่เกิด เราต้องจับมือ เลือกตั้งพรรคที่ดี ไม่ได้เลือกตั้งเพราะเปลี่ยนประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เรายึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องปกป้องรักษา ดังนั้นวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้พี่น้อง ประชาชน เลือกทั้งคนและพรรค เพื่อให้ พปชร.ได้เป็นรัฐบาล พร้อมดูแลพี่น้องประชาชน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ตรวจพื้นที่รับน้ำเสีย แหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำทะเล บางตะบูน เพชรบุรี หวั่นสร้างผลกระทบอาชีพประมงพื้นบ้าน เร่งพัฒนาแหล่งน้ำให้สมบูรณ์ รับท่องเที่ยวขยายตัว ฟื้นศก.ท้องถิ่น

,

“พล.อ.ประวิตร” ตรวจพื้นที่รับน้ำเสีย แหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำทะเล บางตะบูน เพชรบุรี
หวั่นสร้างผลกระทบอาชีพประมงพื้นบ้าน เร่งพัฒนาแหล่งน้ำให้สมบูรณ์ รับท่องเที่ยวขยายตัว ฟื้นศก.ท้องถิ่น

เมื่อ 31 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผอ.กอนช. ได้ลงพื้นที่ไปยัง เทศบาล ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี และร่วมหารือกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมของจังหวัดเพชรบุรี จาก ผวจ.และสภาพปัญหา ผลกระทบของน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ ต.บางตะบูน จากนายกเทศมนตรี รวมทั้ง รับทราบรายงานแผนงานและโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญ และแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ใน 3 จังหวัด (ราชบุรี สมุทรสงคราม และเพชรบุรี) จากเลขาฯ สทนช.

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบาย การปฎิบัติงานที่สำคัญ เนื่องจากปัจจุบัน จ.เพชรบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวและมีกิจกรรมหลากหลายด้าน จึงมีความต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูงมาก และในบางพื้นที่ยังมีปัญหา สภาพน้ำเน่าเสีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของพี่น้องประชาชน โดยได้กำชับ สทนช.ให้เร่งบูรณาการทุกหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ ในพื้นที่รอยต่อ 3จังหวัด (ราชบุรี-สมุทรสงคราม-ประจวบคีรีขันธ์) และปฏิบัติตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง โดยเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำ เทศบาล ต.บางตะบูน ต้องดูแลการใช้น้ำในพื้นที่ให้มีคุณภาพ และเพียงพอต่ออนาคต และลดการสูญเสียของน้ำในระบบ ด้วย

พล.อ.ประวิตร ยังได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ เป็นจำนวนมากอย่างใกล้ชิด เป็นกันเอง พร้อมทั้งได้สะท้อนความห่วงใยจากรัฐบาล ที่มีต่อประชาชนทุกคน ทุกครัวเรือน ในความจำเป็นที่ต้องการใช้น้ำมากขึ้นในอนาคตและจะพยายามให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ จากปัญหาน้ำเสีย ทำให้หอยแครงพื้นบ้านมีปริมาณลดลง โดยคำนึงถึงความผาสุขในวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นสำคัญ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

,

เครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน ๔ ภาค อ.สูงเนิน ต้อนรับ”พล.อ.ธรรมรักษ์”อบอุ่น พร้อมสนับสนุน พปชร.เผย ดีใจ ที่นายพลลูกอีสานกลับมาช่วยชาติ

พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน เดินทางลงพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน 4 ภาค โดยมีนายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน พร้อมประชาชน มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายประพาส กล่าวว่า เครือข่ายประชาชนอีสานขอสนันสนุน พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยวันนี้ พี่น้องชาวอีสานต้องการมาแสดงความยินดีและดีใจที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กลับมาช่วยเหลือประเทศชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องการให้กำลังใจนายพลลูกอีสานในการช่วยงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้

ทั้งนี้ ประชาชนที่มาต้อนรับได้สอบถาม พล.อ.ธรรมรักษ์ถึงปัญหาต่าง เช่น การระบาดของยาเสพติดจำนวนมากว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมไปถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้น และการปรองดองของคนไทยในสังคม

โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้กล่าวว่ากับประชาชนว่า ทุกปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ทราบและตระหนักดี จึงมีนโยบายในการแก้ปัญหาทุกเรื่องให้กับประชาชนแล้ว ซึ่งหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมทันที

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร” ’ ติดตามพัฒนาแหล่งน้ำเมืองท่องเที่ยว หัวหิน คาดความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นปชช.ปลื้ม แก้ปัญหาเร็ว-ได้ผล

,

“พล.อ.ประวิตร” ’ ติดตามพัฒนาแหล่งน้ำเมืองท่องเที่ยว หัวหิน คาดความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นปชช.ปลื้ม แก้ปัญหาเร็ว-ได้ผล

เมื่อ 31 มี.ค.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี เพื่อติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำ การบริหารจัดการน้ำ และการผลิตน้ำประปาคุณภาพโดย พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก ประจำรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอนช.ร่วมลงพื้นที่ พร้อมสักการะ องค์หลวงปู่ทวด และถวายสังฆทาน แด่เจ้าอาวาส เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยมงคลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ และสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 14 เพื่อประชุมหารือร่วมกับ จังหวัด ,สทนช. ,กรมชลประทาน และผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค โดยรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัด ซึ่งมี ลำน้ำทั้งหมด 6 ลุ่มสาขา ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ รวม 220 ล้าน ลบ.ม.ได้รับการสนับสนุนงป. จากรัฐบาล ปี 61-65 จำนวน 781 โครงการ, ปี65 จำนวน 13 โครงการ,ปี66 จำนวน 21 โครงการ, และโครงการสำคัญอีก 5 โครงการ สำหรับ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคลฯ ก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย ช่วงฤดูน้ำหลาก มีความจุอ่างฯ 5.85 ล้าน ลบ.ม.

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายที่สำคัญ โดยกำชับ สทนช. ให้เร่งรัดการดำเนินงานตาม 10มาตรการรองรับฤดูแล้ง พร้อมย้ำให้ กรมชลประทาน เร่งบริหารจัดการแหล่งเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการใช้น้ำ ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปา ต้องผลิตน้ำที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ สำหรับบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นและรับฟังข้อเรียกร้อง/ข้อคิดเห็น อย่างเป็นกันเอง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้สอดคล้อง ตรงตามความต้องการของประชาชน ต่อไป ซึ่งได้มีชาวบ้านสะท้อนความรู้สึก และกล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร กับ รัฐบาล ที่มีความจริงใจ ทุ่มเทแก้ปัญหาน้ำ และอื่นๆ อย่างได้ผล และรวดเร็ว สามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากในปัจจุบัน พร้อมยังได้กล่าวสนับสนุนลุงป้อม อยากให้เป็นนายกฯ คนต่อไปด้วย จากนั้น พล.ประวิตร และคณะได้เดินทางไปตรวจราชการต่อในพื้นที่ จ.เพชรบุรี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 31 มีนาคม 2566

“พล.อ.ประวิตร”ประกาศ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน เปิดขุนพล400เขต ชู นโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่โอกาสใหม่ ทำได้ทันที

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 30 มีนาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ” ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

“ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว

“ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล

,

“สนธิรัตน์” ประกาศ ทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมทำงานทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล // ตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทย // หนุนมิติความยั่งยืน ส่งเสริมเครื่องยนต์ Soft Power-การท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศ // ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ดึงดูดนักลงทุน

วันที่ 30 มี.ค. 2566 ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีตอบคำถามจากภาคธุรกิจ พร้อมนำเสนอนโยบาย ในงานเสวนา “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนภาคธุรกิจ เอกชน และพรรคการเมืองเข้าร่วม

นายสนธิรัตน์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล นโยบายด้านเศรษฐกิจหลักๆ ที่พรรคจะบูรณาการและทำทันที คือ 1. การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยมิติความยั่งยืน โดยการนำ BCG เป็นกรอบของการผลักดันนโยบาย ควบคู่มิติใหม่คือ ESG เช่น ในภาคการเกษตร ต้องสนับสนุนเรื่อง Smart Agriculture เพื่อให้เราเป็นฐานใหญ่เรื่องความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรของโลก 2. ส่งเสริมซอฟท์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการท่องเที่ยวที่ดีจำเป็นต้องเชื่อมโยงซอฟท์พาวเวอร์และเศรษฐกิจฐานราก อาทิ ชอฟท์พาวเวอร์สายศรัทธา อาหาร เป็นต้น 3. ต่อยอดโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามที่เริ่มไว้ โดยเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ ตะวันตก และเหนือ เพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะอีอีซีไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรม แต่จะดึงดูดการลงทุน นักลงทุนเข้ามาในประเทศ

“ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นบุคคลที่นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจของประเทศ ให้ก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤติ วันนี้ เราขอแสดงความมุ่งมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ทั้งในด้านนโยบาย และบุคคลากรที่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงการตอบคำถาม นายสนธิรัตน์ ได้ตอบคำถามในประเด็นการส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร และอาหาร เรื่องนโยบายหรือแผนงานเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม และประสิทธิภาพการแข่งขันด้านการเกษตร และอาหารของประเทศไทยในเวทีโลกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศ แต่ปัญหาคือภาคเกษตรมีแรงงานเกี่ยวข้องมาก แต่ยังขายสินค้าเป็นชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐพยายามยกระดับ และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ยังต้องแก้ไขเรื่องการบริหารให้สอดรับกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่า และความยั่งยืน

นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำสินค้าเกษตรไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก จะต้องมีการสร้างแพลตฟอร์มด้านอาหาร และสินค้าเกษตรในระดับโลกที่เป็นของเราเอง เช่น นโยบาย From Farm to Table ที่เป็นจุดแข็ง และต้องเร่งสนับสนุน เพื่อนำสินค้าเกษตรไปสู่ระดับโลก และสอดรับกับซอฟท์พาวเวอร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรไม่เพียงแค่เรื่องอาหาร แต่ยังรวมถึงเรื่องพลังงาน คือการเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจเป็นไบโอเจ็ท นอกจากนี้ ควรใช้จุดแข็งในการเป็นประเทศเกษตรกรรม ดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ทั้งหมดนี้หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล จะเร่งขับเคลื่อนในทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่ง และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 มีนาคม 2566

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

,

“อุตตม” ชู นโยบาย3 เร่งด่วน-8 เร่งรัด “พปชร.” พลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทยให้ยั่งยืน

วันที่ 28 มี.ค. 2566 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเสวนา “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” ที่จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

โดย ดร.อุตตม ได้แสดงวิสัยทัศน์ตอนหนึ่งว่า ปรัชญาในการทำนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ คือทำอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่จัดทำยุทธศาสตร์โดยการระดมทุกภาคส่วน และนโยบายต้องทำได้จริง เพราะประเทศไทยไม่มีเวลาลองผิดลองถูก เราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ โดยพรรคพลังประชารัฐ ขอนำเสนอนแนวทางฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย ให้ก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน ด้วยนโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด โดย 3 นโยบายเร่งด่วน คือการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติ ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชนและผู้ประกอบการให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนให้จริงจังด้วยวิธีใหม่ และสร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการคนไทย เสริมทักษะ และพัฒนาคนไทย โดยมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งเป็นบัตรเพื่อการพัฒนา และดูแลสวัสดิการ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย และการลงทุนปฐมวัย ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

ขณะที่ 8 นโยบายเร่งรัด เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้โตยั่งยืน ดร.อุตตม ระบุว่า ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคเกษตร และวิสาหกิจชุมชน พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สร้างเศรษฐกิจใหม่สู่อุตสาหกรรม S-curve เพื่อให้อุตสาหกรรมประเทศขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจฐาน BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอีอีซี รวมถึงขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ ให้ทั่วทุกภาค 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน ราง ทางน้ำ และอากาศ รวมไปถึงยกระดับโครงสร้างดิจิทัล พัฒนาเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วที่สุดต้นทุนงถูก เพื่อต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง

ดร.อุตตม กล่าวต่อว่า 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยให้นักเรียนนักศักษาระดับอาชีวะ ปวส. เรียนฟรีมีงานทำ ด้วยการทำแพลทฟอร์มเชื่อมแหล่งงานกับสถานศึกษ นักศึกษาสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ขณะที่แรงงานเดิมจะส่งเสริมให้เข้าสู่โปรแกรมยกระดับทักษะให้ตรงกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ไปพร้อมกัน 6. ปฎิรูประบบราชการ และแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ และกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการผลักดันงบประมาณในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว ขณะที่การกระจายอำนาจท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมงบประมาณไปขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการเพื่อตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชันเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ มีการเพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ดร.อุตตม ยังได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันว่า เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ที่บั่นทอน และขัดขวางการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด โดยทีดีอาไอ เคยประเมินไว้ว่าในแต่ละปีความสูญเสียจากการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าว เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ซึ่งจะต้องดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. ประชาชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เปิดเผยเรื่องทุจริต 2. ภาครัฐ ต้องนำเรื่องเทคโนโลยีแพลทฟอร์มออนไลน์เข้ามาใช้ในการให้บริการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสามารถติดตามได้อย่างรวดเร็ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 มีนาคม 2566