โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ป้ายกำกับ: ข่าวกิจกรรม ส.ส. และสมาชิกพรรค

“สส.ปกรณ์”ขอบคุณ“รมว.ธรรมนัส-พล.ต.อ.พัชรวาท”ช่วยผลักดันหลายโครงการที่เป็นประโยชน์ให้ ปชช.พร้อมวอน สนช.คืนพื้นที่ทับซ้อนให้ชาวบ้านปางหมู

,

“สส.ปกรณ์”ขอบคุณ“รมว.ธรรมนัส-พล.ต.อ.พัชรวาท”ช่วยผลักดันหลายโครงการที่เป็นประโยชน์ให้ ปชช.พร้อมวอน สนช.คืนพื้นที่ทับซ้อนให้ชาวบ้านปางหมู

นายปกรณ์ จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทางรัฐบาล โดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ผลักดันโครงการปุ๋ยคนละครึ่งให้กับพี่น้องชาวนาในประเทศไทยของเรา ซึ่งตนเชื่อว่า โครงการนี้จะสามารถลดต้นทุนการผลิต และจะทำให้พี่น้องประชาชนชาวนาได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก

นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ตนขอขอบคุณพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ท่านได้ผลักดัน เรื่องการกระจายอำนาจในการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่า โดยท่านได้กระจายอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารอุทยานในระดับจังหวัด สามารถอนุญาตใช้พื้นที่ป่าได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้การพัฒนาในพื้นที่นั้นมีความสะดวกรวดเร็ว ยิ่งขึ้นและพี่น้องประชาชน ก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้น

นายปกรณ์ ยังกล่าวต่อว่า ตนขอติดตามเรื่องที่ดินที่ซับซ้อนของตำรวจชายแดนที่ 336 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ทับซ้อนกับพี่น้องประชาชน บ้านปางหมู หมู่ที่ 1 ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ทางตำรวจชายแดนนั้นต้องคืนพื้นที่บางส่วนให้กับพี่น้องประชาชน บ้านปางหมู เรื่องนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ตนจึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กำกับดูแลตำรวจตระเวรชายแดนเร่งดำเนินการคืนพื้นที่ดังกล่าวให้กับพี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ เรื่องการซ่อมสร้างสะพานบนถนนหมายเลข 1095 พื้นที่บ้านห้วยผา หมู่ที่1 ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ถูกอุทกภัย ตั้งแต่เดือน กันยายน 2566 โดยสะพานเส้นนี้อยู่บนถนนสายหลักที่จะมุ่งเข้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปัจจุบันยังเป็นสะพานชั่วคราวอยู่ ยังไม่มีการดำเนินการอย่างไร และยังไม่มีวี่แววว่า จะมีการสร้างสะพานใหม่ รวมถึงยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณ จึงขอให้กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวง ช่วยเร่งดำเนินการด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 กรกฎาคม 2567

“สส.จำลอง”เผย ดีใจแทนเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มีโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต มั่นใจ“นายกฯ-รมว.ธรรมนัส”ดูแล ปชช.อย่างดี

,

“สส.จำลอง”เผย ดีใจแทนเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มีโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต มั่นใจ“นายกฯ-รมว.ธรรมนัส”ดูแล ปชช.อย่างดี

นายจำลอง ภูนวนทา สส.กาฬสินธุ์ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า พี่น้องประชาชนฝากความห่วงใยมายังรัฐบาลในเรื่องปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งตนต้องกราบขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร โดยตนได้นำปัญหาชาวบ้านไปปรึกษาท่าน ในฐานะที่อยู่พรรคเดียวกันนะครับท่านนายกรัฐมนตรี โครงการปุ๋ยคนละครึ่งเป็นกระบวนการในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิต ตนดีใจแทนพี่น้องประชาชน ส่วนขั้นตอนการลงทะเบียน ท่านรัฐมนตรีบอกว่าจะอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทุกกระบวนการจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และ สะดวกสบาย อย่างแน่นอน

“ส่วนมีสมาชิกผู้ทรงเกียรติเป็นห่วงเป็นใยเรื่องเงินเยียวยาที่เคยได้รับไร่ละ 1,000 หรือขอเป็นไร่ละ 500 บ้าง อันนี้ไม่ต้องห่วง รัฐบาลโดยการนำของท่านเศรษฐา ทวีสิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า มีความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องประชาชนอย่างดีอยู่แล้ว และมีมาตรการเยียวยาอย่างแน่นอน”

นายจำลอง กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มีความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องประชาชนมากที่สุดคือ เรื่องยาเสพติด โชคดีที่วานนี้(10 ก.ค.)กระบวนในการสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อลดละเลิกยาเสพติดของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เริ่มจัดทำที่จังหวัดอุดรธานี แต่สิ่งที่ตนอยากทราบคือ งบประมาณในการช่วยตำรวจในการปฏิบัติราชการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม และป้องปราม พี่น้องผู้ติดยาเสพติด เพราะจะเห็นได้ว่าตอนนี้ประชาชนผู้ติดยาเสพติด ไม่ได้มีเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งปกติจะมีช่วงอายุ 18 – 24 ปี แต่ปัจจุบันอายุประมาณ 12 ก็เริ่มติดยาเสพติดแล้ว รวมถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่อายุตั้งแต่ 39 ปีขึ้นไป ก็มีการติดยาเสพติดมากขึ้นด้ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 กรกฎาคม 2567

“สส.สะถิระ”แนะ สถาบัน วว.ต้องเน้นพัฒนาคน เห็นความสำคัญของวิทยาลัยอาชีวะ ส่งเสริมให้สร้างชื่อเสียงได้ มอง ควรลงทุนกับภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างฐาน ศก.จากระดับล่างก่อน

,

“สส.สะถิระ”แนะ สถาบัน วว.ต้องเน้นพัฒนาคน เห็นความสำคัญของวิทยาลัยอาชีวะ ส่งเสริมให้สร้างชื่อเสียงได้ มอง ควรลงทุนกับภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างฐาน ศก.จากระดับล่างก่อน

นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี เขต 10 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ.ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ในช่วง 10 ที่ผ่านมา ประเทศที่อยู่ฝั่งตะวันออกมีผู้คิดค้นนวัตกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศตะวันออก เพราะฉะนั้นประเทศไทยคือส่วนหนึ่งในการผลิตบุคลากรที่จะสร้างนวัตกรรมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และสถาบันวิจัยฯก็คือ สถานที่ผลิตบุคลากรเหล่านี้

นายสะถิระ กล่าวต่อว่า หากดูจากร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยฯ ในมาตรา 7 มีแต่การพูดถึงเชิงพาณิชย์เชิงอุตสาหกรรม แต่ไม่ได้พูดถึงการสร้างบุคลากรเลย ตนคิดว่า ประเทศเราควรวางแผนคน ก่อนวางแผนรบ บุคลากรนักวิจัยหลาย ๆ ท่าน จะเติบโตขึ้นมาได้อยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ แล้วการลงทุนในแต่ละองค์กร ไม่ว่าจะเป็น sme หรือห้างร้านสรรพสินค้าใหญ่ ๆ มันจำเป็นหรือไม่ อย่างไร

“ผมยกตัวอย่าง ถ้าท่านลงทุนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งผมเชื่อว่ามีนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่นกัน ที่สำคัญวิทยาลัยอาชีวะก็ไม่น้อยหน้าใครในโลก อย่างบ้านผมวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ สามารถไปประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับโลกมาแล้ว หรือแม้กระทั่งโรงเรียนมัธยมระดับมัธยมศึกษา บ้านผม โรงเรียนพลูตาหลวง โรงเรียนสัตหีบ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศ ท่านได้เข้าไปร่วมลงทุนกับพวกเขาแล้วหรือยัง“นายสะถิระ กล่าว

นายสะถิระ กล่าวต่อว่า ประเทศในแถบตะวันตก เขาสนับสนุนการวิจัยตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ตนฝากคณะ วว.ว่า การวางแผนคนสำคัญไม่แพ้กับงานวิจัย การเข้าถึงขององค์กรปกครองท้องถิ่น เข้าถึงของวิทยาลัยอาชีวะ การเข้าถึงของระดับมัธยมศึกษา เข้าถึงท่านได้แล้วหรือยัง ตนเห็นควรว่า ท่านต้องเข้าหาเขา ไม่ใช่เขาเข้าหาท่าน เมื่อท่านมีงบประมาณ

นายสะถิระ ยังกล่าวต่อว่า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือเศรษฐกิจ นั่นคือระดับบน แต่ระดับล่าง เป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเช่นกัน คำว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือนวัตกรรมอย่างหนึ่งของประเทศไทย เช่น กำนันในหมู่บ้านสอนให้เอาท่อแปบ 2 ท่อไปเสียบไว้ที่ต้นโคนกล้วย เมื่อลองทำปรากฏว่า กล้วยขึ้นทุกต้น หรือ กะลาที่นำมาช่วยกายภาพบำบัดได้ เราต้องให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาชาวบ้านเช่นกัน

“คำถามอยู่ว่าท่านจะให้เขาเป็นพาร์ทเนอร์กับท่านได้อย่างไร บุคคล หรือองค์กรเหล่านี้ ซึ่งเป็นองค์กรที่ท่านบอกว่า อยู่ในชุมชนจะเข้าถึงท่านได้อย่างไร ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ท่านควรเข้าหาเขา อันนี้สิ่งสำคัญที่ท่านจะสร้างเศรษฐกิจจากระดับล่าง แล้วพี่น้องในพื้นที่ทุกพื้นที่จะได้รับประโยชน์จากสถาบันของท่าน”นายสะถิระ กล่าวทิ้งท้าย

จากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการและตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณา จำนวน 33 คน กำหนดแปรญัตติ 15 วัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 กรกฎาคม 2567

“สส.บุญชัย”ฝาก “กระทรวงคมนาคม-กรมเจ้าท่า”อนุมัติงบซ่อมแซมถนน พร้อมขุดลอกแม่น้ำป่าสัก บรรเทาน้ำท่วม น้ำแล้ง ให้ ปชช.

,

“สส.บุญชัย”ฝาก “กระทรวงคมนาคม-กรมเจ้าท่า”อนุมัติงบซ่อมแซมถนน พร้อมขุดลอกแม่น้ำป่าสัก บรรเทาน้ำท่วม น้ำแล้ง ให้ ปชช.

นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาฯถึงความเดือนร้อนของพี่น้องในเขตพื้นที่ โดยตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 บ้านแก่งเสี้ยว ต.นาซำ อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ที่ได้รับความเดือนร้อนจากการสร้างฝาย กันลำน้ำพุง ของกรมทรัพยากรน้ำที่ 2 ผ่านมา 4 -5 ปีแล้ว ประตูฝายได้ชำรุดเปิด-ปิดไม่ได้ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการกักเก็บน้ำ และการระบายน้ำ จึงขอให้กรมทรัพยากรน้ำที่ 2 จังหวัดสระบุรี ช่วยจัดสรรงบประมาณซ่อมแซม นอกจากนี้ ยังมีความเดือดร้อนในการใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 12 กม.ที่ 286 ถึง 289 ระยะทาง 3 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่แคบและมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

“ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้อนุมัติงบขยายผิวทาง4 เลน ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร ยังเหลืออีก 1.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่อันตรายและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงขอให้ทางกระทรวงกรมคมนาคมจัดสรรงบประมาณก่อสร้างให้แล้วเสร็จ” นายบุญชัย กล่าว

นายบุญชัย กล่าวต่อว่า พื้นที่ตำบลศิลาและตำบลตาดกลอย อำเภอหล่มเก่า ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปี จากแม่น้ำป่าสักที่ตื้นเขิน หลายสิบปีแล้ว แม่น้ำป่าสักสายนี้ไม่ได้ถูกการดูแล และการขุดลอกเลย น้ำมาปีไหนท่วมปีนั้น ถ้าแล้งก็แล้งหนัก พี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ทั้งนี้ นายบุญชัยยังกล่าวขอบคุณกรมเจ้าท่าที่มาขุดลอกแม่น้ำป่าสัก ในตำบลสักหลง อำเภอหล่มสัก ระยะทาง 15 กิโลเมตร ในปีนี้ ซึ่งขุดไปแล้ว 10 กิโลเมตร ยังเหลืออีก 5 กิโลเมตร ทางพี่น้อง ตำบลสักหลง อำเภอสักหล่ม และขอฝากกรมเจ้าท่าช่วยจัดหางบประมาณ มาขุดลอกแม่น้ำป่าสักในตำบลสักหลงให้แล้วเสร็จ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“สส.องอาจ”ขอหน่วยงานราชการลดขั้นตอนขอใช้พื้นที่แก้ปัญหา“ถนนพังเสียหาย-ไฟฟ้าส่องสว่าง ให้ ปชช. ชี้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาท้องถิ่น

,

“สส.องอาจ”ขอหน่วยงานราชการลดขั้นตอนขอใช้พื้นที่แก้ปัญหา“ถนนพังเสียหาย-ไฟฟ้าส่องสว่าง ให้ ปชช. ชี้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาท้องถิ่น

นายองอาจ วงษ์ประยูร สส.สระบุรี เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาฯว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องอำเภอพระพุทธบาท นายอำเภอ สจ.ในพื้นที่ นายกเทศบาลตำบลห้วยป่าหวาย และกำนันตำบลห้วยป่าหวาย รวมถึงผู้นำชุมชน ร่วมกันลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ถนนพังเสียหายชำรุดอย่างหนักตลอดสายก็คือ ถนนเลียบคลองชลประทานฝั่งซ้าย เชื่อมระหว่างถนนทางหลวง 3034 สายหน้าพระลาน บ้านควน เชื่อมกับสาย 3250 สันประดู่ โดยถนนสายนี้เป็นถนนสายหลัก มีรถเล็ก รถบรรทุกวิ่งตลอดทั้งวัน ถนนแยกเกิดอุบัติเหตุรายวัน

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แพทย์ประจำตำบล เกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำก็สลบคาที่บนถนนเส้นนี้ ปัญหาก็คือ ท้องถิ่น อบจ.ตั้งใจที่จะมาซ่อมแซม ปรับปรุง สร้างใหม่ให้ก็ต้องใช้เวลานาน ทั้งๆที่มีงบประมาณ แต่ติดขัดเรื่องพิธีกรรมและระเบียบต่างๆ ในการขออนุญาตเจ้าของพื้นที่ อย่างกรมชลประทาน ทางหลวงชนบท จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ช่วยเร่งรัด ซ่อมแซม ปรับปรุงถนนเส้นนี้โดยด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขระเบียบขั้นตอน เพื่อลดอุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้เกิดความล่าช้าในระบบราชการ อย่างเช่น เรื่องของขออนุญาตซึ่งเป็นอุปสรรคการพัฒนาท้องถิ่นมาเป็นเวลานาน

นายองอาจ ยังกล่าวต่อถึงปัญหาถนนขาดไฟฟ้าส่องสว่าง มืดมิดยามค่ำคืน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ใช้รถใช้ถนน ผู้สัญจรไปมา และเสี่ยงอันตรายในชีวิตและทรัพย์สินกับลูกหลานของเราเวลาเดินทางกลับบ้านช่วงกลางคืน อย่างเช่น ถนนบริเวณเลียบคลองตำบลห้วยป่าหวาย ถนนเส้นนี้ก็ขาดไฟฟ้าส่องสว่างตลอดสาย รวมถึงถนนสายหนองโดนน้อยหมู่ 9 ถึงประดู่หมู่ 5 ถนนสายนี้มีเสาไฟฟ้าโซล่าเซลล์ครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียว ขาดความสว่าง เพราะว่าไฟดับตลอดทั้งสายมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

นอกจากนี้ เสาไฟฟ้าบริเวณหลังวัดสร่างโศก อำเภอบ้านหมอ ถูกรถยนต์ชนหัก ทำให้ไฟฟ้าบริเวณนี้ดับมาเป็นเวลาหลายเดือน โดยติดขัดเรื่องระเบียบเช่นกันเพราะถ้าจะติดตั้งใหม่ต้องมีขั้นตอนต่างๆ เรื่องของการแจ้งความ หาผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายเพื่อจะชดใช้ ถ้ารอก็คงใช้เวลาอีกนาน ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“สส.อามินทร์” ขอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการปัญหาไฟไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง ทำลายพืชผลเกษตรของชาวบ้านให้ดีกว่านี้ พร้อมขอเพิ่มเที่ยวบิน นราธิวาส – กรุงเทพฯ ให้พอต่อความต้องการของ ปชช.

,

“สส.อามินทร์” ขอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการปัญหาไฟไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง ทำลายพืชผลเกษตรของชาวบ้านให้ดีกว่านี้ พร้อมขอเพิ่มเที่ยวบิน นราธิวาส – กรุงเทพฯ ให้พอต่อความต้องการของ ปชช.

นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาฯถึงปัญหาเรื่องไฟป่า ปัจจุบันป่าพรุที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย คือศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร หรือ ป่าพรุโต๊ะแดง ที่อยู่ในจังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่กว่า 120,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ติดกับพื้นที่เพาะปลูก ฃของเกษตรกรชาวสวน ชาวไร่ ไม่ว่าจะเป็นสวนยาง สวนปาล์ม และนาข้าวนับ 10,000 ไร่

นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า ปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุก ๆ ปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นก็คือ ไฟไหม้ป่าพรุ ที่ไม่ว่าจะเกิดจากภัยธรรมชาติ หรือน้ำมือมนุษย์ ล้วนสร้างความเสียหาย ทั้งพื้นที่ป่าพรุและพื้นที่ทางการเกษตร ช่วงปิดสมัยประชุมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุไฟป่าบริเวณป่าพรุลุกลามเป็นบริเวณกว้าง ตนได้มีโอกาสลงพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้เห็นและทราบถึงปัญหาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแผนการรับมือ เครื่องไม้ เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่เพียงพอของหน่วยบรรเทาสาธารณภัย การขุดลอกคลองทำแนวกันไฟของกรมชลประทาน เพราะพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ ขนาดนี้การลากสายยาว 2 กิโลเมตร การใช้กำลังคนฝ่าดงใบไม้ทับถมกว่า 1 เมตร เสี่ยงต่อการภารกิจดับไฟ

“ผมขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบบริหารจัดการกรณีเกิดไฟไหม้ป่าพรุที่สร้างความเสียหาย และสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปไม่ใช่น้อย ในแต่ละปี ยังสร้างความเดือดร้อนด้านพืชผลทางการเกษตร ขอให้มีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ให้พี่น้องเกษตรกร และเพื่อรักษาไว้ซึ่งป่าพรุผืนสุดท้ายของแผ่นดินนี้”นายอามินทร์ กล่าว

นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่งคือ ขอให้มีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการโดยสารด้วยสายการบินของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ให้เร่งแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน นราธิวาส – กรุงเทพฯ ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ปัจจุบัน วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ เหลือเพียงวันละเที่ยว สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนอย่างมาก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“สส. อนันต์”นำชาวคลองลานร่วมถก ‘ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์’ จัดงาน“วิถีถิ่นชาติพันธุ์คลองลาน”สร้างจิตสำนึกคนในท้องถิ่นชูอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน

,

“สส. อนันต์”นำชาวคลองลานร่วมถก ‘ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์’ จัดงาน“วิถีถิ่นชาติพันธุ์คลองลาน”สร้างจิตสำนึกคนในท้องถิ่นชูอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน

นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวว่า ตนในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ได้ร่วมกับนางยุวดี คงอินทร์ ประธานสภา อบจ.กำแพงเพชร,ดร. วิทยา ทัศนไพบูลย์ นายกเทศมนตรีตำบลคลองลานพัฒนา , นายสุทธิพงษ์ หนูเนตร ปลัดอำเภอคลองลาน คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร และคณะกรรมการชาติพันธุ์ตำบลคลองลานพัฒนา ศึกษาแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตการต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ……ในด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม ทรัพยากร และผลิตภัณฑ์ต่างๆ สู่การจัดการทุนทางวัฒนธรรม 6 ชนเผ่า เพื่อนำไปสู่การพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ตำบลคลองลานพัฒนา ถือเป็นตำบลที่มีชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่มากที่สุดในจังหวัดถึง 6 ชาติพันธุ์ไม่ว่าจะเป็น ปกาเกอะญอ ม้ง ลาหู่ อิ้วเมี่ยน ลัวะ และลีซู ซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง มีความหลากหลายและความแตกต่างในด้านภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม ที่จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมฟื้นฟูอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน

นายอนันต์ ยังกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 5-7 ก.ค.ที่ผ่านมา ชาวตำบลคลองลานพัฒนา ยังได้จัดกิจกรรมถนนสายวัฒนธรรม วิถีถิ่นชาติพันธุ์คลองลาน ประจำปี พ.ศ. 2567 เพื่อเน้นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างจิตสำนึกของคนในท้องถิ่น ให้เห็นในคุณค่าความสำคัญของอัตลักษณ์ วิถีถิ่น ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างรายได้ให้กับชุมชนในท้องถิ่นอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กรกฎาคม 2567

“สส.คอซีย์”จับมือเครือข่ายในท้องถิ่นจัดแข่งขันฟุตซอล ปี67 หนุนกลไกกีฬาเชื่อมความสามัคคีสู่การพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน

,

“สส.คอซีย์”จับมือเครือข่ายในท้องถิ่นจัดแข่งขันฟุตซอล ปี67
หนุนกลไกกีฬาเชื่อมความสามัคคีสู่การพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน

นายคอซีย์ มามุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ปัตตานี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายอับดุลการิม ยีดำ นายอำเภอโคกโพธิ์ นายจอน สุกป่าน ปลัดอาวุโสอำเภอหนองจิก นายอุดมเกียรติ พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโคกโพธิ์ และเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมกันแถลงข่าวจัดการการแข่งขันฟุตซอล “กลุ่มเพื่อน สส.KORSEE CUP 1”ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมความสามัคคี และสุขภาพของคนในชุมชน ในนาม”กลุ่มเพื่อน สส.คอซีย์ มามุ” ซึ่งการแข่งกีฬา จะนำไปสู่การมีความรัก สอนให้คนมีน้ำใจ อาศัยกลไกกีฬาในการสร้างพลังในท้องถิ่นให้เกิดขึ้น และก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมการพัฒนาบ้านเมือง

ทั้งนี้การแข่งขันกีฬาจะเป็นเครื่องมือในการประสานพลังให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยการแข่งขันจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2567 – 18 สิงหาคม 2567 ทุกๆ วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตลอด 5 สัปดาห์ โดยมีทีมที่เข้าร่วมกันแข่งขันจำนวน 64 ทีม จาก 9 หน่วยราชการ จากอำเภอหนองจิกและอำเภอโคกโพธิ์

การแข่งขันฟุตซอล “กลุ่มเพื่อน สส.KORSEE CUP 1 ประจำปี 2567” ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมต.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท ผู้ชนะเลิศอันดับ 2 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท ผู้ชนะเลิศอันดับ 3 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท ผู้ชนะเลิศอันดับ 4 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก นายอับดุลการิม ยีดำ นายอำเภอโคกโพธิ์ พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลชมเชยอันดับที่ 5-8 รางวัลละ 2,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ

“การแข่งฟุตซอลในครั้งนี้จะผลักดันให้บุคลากรในหน่วยงานทั้งสองอำเภอได้สานสัมพันธ์ทางมิตรภาพผ่านกลไกการแข่งขันกีฬา และจะเป็นพลังร่วมกันในการมีส่วนร่วมพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ต่อไป “สส.คอซีย์ กล่าว”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กรกฎาคม 2567

“สส.จีรเดช”เผยข่าวดี โครงการก่อสร้างสนามบินพะเยาถูกบรรจุในงบปี 68 แล้ว ขอบคุณ“นายกฯรมต.คมนาคม-เกษตรฯ”ช่วยสานฝันให้ชาวพะเยา หนุนเศรษฐกิจจังหวัดเติบโต

,

“สส.จีรเดช”เผยข่าวดี โครงการก่อสร้างสนามบินพะเยาถูกบรรจุในงบปี 68 แล้ว ขอบคุณ“นายกฯรมต.คมนาคม-เกษตรฯ”ช่วยสานฝันให้ชาวพะเยา หนุนเศรษฐกิจจังหวัดเติบโต

นายจีรเดช ศรีวิราช สส.พะเยา เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการงบประมาณนั้น ได้มีงบในส่วนของโครงการสนามบินพะเยา ที่ตนเฝ้าติดตามและสอบถา ความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงคมนาคมได้ตั้งงบประมาณเป็นค่าจ้างออกแบบ รวมทั้งค่าจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ด้วยกรอบวงเงินงบประมาณกว่า 42 ล้านบาท นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่พี่น้องชาวพะเยา ต่างรอคอยกันมาอย่างยาวนาน หลังจากที่โครงการรถไฟได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านี้

“ผมต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ,ท่านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ติดตามและประสานงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพลังมวลชนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมด้วยช่วยกันผลักดันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา”นายจีรเดช กล่าว

นายจีรเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนหวังว่าหากโครงการนี้สำเร็จก็จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับจังหวัดพะเยาให้เท่าเทียมกับจังหวัดอื่น ๆ เพราะสนามบินถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการพัฒนาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น การสัญจร การขนส่งสินค้า ตลอดจนการท่องเที่ยว ซึ่งสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศอย่างมากมายมหาศาล รวมถึงจะสามารถเชื่อมโยงไปยังต่างจังหวัดต่างๆ และประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กรกฎาคม 2567

“สส. กระแสร์” เผย น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมหนัก หลัง จ.หนองคายฝนตกต่อเนื่อง ต้องเร่งระบายน้ำลงแม่น้ำโขง บรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

,

“สส. กระแสร์” เผย น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมหนัก หลัง จ.หนองคายฝนตกต่อเนื่อง ต้องเร่งระบายน้ำลงแม่น้ำโขง บรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย เขต1 พรรคพลังประารัฐ(พปชร.)ลงพื้นที่ต.หินโงม ต.ศรีกาย ต.บ้านเดื่อ จังหวัดหนองคาย เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหนัก ต่อเนื่องติดต่อกันทำให้เกิดน้ำท่วมเข้าบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ชาวบ้านได้และเกษตรกรรับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี เนื่องจากพื้นที่ ต.สีกาย และ ต.หินโงม จะมีลำน้ำสวย ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่สำคัญไหลจากจังหวัดอุดรธานี มายังจังหวัดหนองคาย โดยผ่านพื้นที่ของ 2 ตำบลนี้ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ดังนั้นในแต่ละปีเมื่อฤดูฝน น้ำหลาก ปริมาณน้ำจะมีมากจนถึงขั้นไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตร แต่พอฤดูแล้ง ระดับน้ำลดต่ำลงจนเกิดปัญหาปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร

นายกระแสร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง อย่างเช่น เทศบาลตำบลบ้านเดื่อ อ.เมือง ได้เกิดน้ำท่วมขังพื้นที่เกษตรกรกว่า 2,000 ไร่แล้ว โดยสถานการณ์ในตอนนี้ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและเครื่องยนต์ขัดข้อง

“ผมได้ประสานกับท่านยุทธนา ศรีตะบุตร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมทั้งหาทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงต่อไป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกรและประชาชน รวมถึงมีการตรวจเช็คความเรียบร้อยขอวเครื่องสูบน้ำประจำจุดสูบน้ำภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ให้พร้อมใช้งานทันที” นายกระแสร์ กล่าว

ทั้งนี้ ทาง อบจ.หนองคายได้เตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน แก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งประชาชนสามารถขอรับการช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-686 9259,083-147 6329 และ 042-422 798

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กรกฎาคม 2567

“สส.สุธรรม” เผย กมธ.เกษตร สภาฯ ดูงานเวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมสร้างโอกาสส่งเสริมสินค้าทางการเกษตรของทั้ง 2 ประเทศ

,

“สส.สุธรรม” เผย กมธ.เกษตร สภาฯ ดูงานเวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมสร้างโอกาสส่งเสริมสินค้าทางการเกษตรของทั้ง 2 ประเทศ

นายสุธรรม จริตงาม สส.นครศรีธรรมราช เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรฯ สภาผู้แทนราษฏร เปิดเผยว่า คณะ กมธ.เกษตรฯ ได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม โดยได้ไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวที่เมืองเกิ่นเทอชื่อว่า “CUU LONG DELTA RICE RESEARCH INSTITUTE” ที่ก่อตั้งปี ค.ศ. 1977 มีพื้นที่ทั้งหมด 360 เฮกต้า หรือ 2,250 ไร่ ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 134 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล 50% ส่วนที่เหลือศูนย์วิจัยหารายได้เอง

นายสุธรรม กล่าวต่อว่า ประเทศเวียดนามให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามาก ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวของเวียดนามมีแนวทางการวิจัยที่ชัดเจนตามเป้าหมายของรัฐบาลเช่น พัฒนาพันธุ์ที่ต้านทานโรคได้ดี ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยถึง 3 เท่า พัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น พัฒนาสายพันธุ์ให้เหมาะกับพื้นที่น้ำท่วมหรือน้ำเค็ม ใช้งานวิจัยเป็นการแก้ปัญหา เช่น ทำอย่างไรจะปลูกข้าวได้ปีละ 3 ครั้ง ก็พัฒนาสายพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวได้ภายใน 85 วันขึ้นมา การพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีวิตามิน A สูง เป็นต้น และตอนนี้เวียดนามกำลังคิดว่า การปลูกข้าวมีรายได้ต่ำกว่าผลไม้ จะเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาปลูกผลไม้แทน ซึ่งในอนาคตเวียดนามก็อาจชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากไทยเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ คณะ กมธ.เกษตรฯยังเข้าเยี่ยมชม GO! Mall สาขา An Lac เพื่อศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับช่องทางการนำเข้า, หลักเกณฑ์และมาตรฐานในการพิจารณาคัดเลือกสินค้าประเภทสินค้าการเกษตรที่ต้องการจะนำเข้าเพื่อจัดจำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกของเวียดนาม ตลอดจนถึงได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างโอกาสในการนำเสนอและส่งเสริมสินค้าทางการเกษตรให้แก่ลูกค้าของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน

“การดูงานที่ประเทศเวียดนามในครั้งนี้ กมธ.มีโอกาสประชุมกับส่วนราชการที่รับผิดชอบด้านการเกษตรของประเทศเวียดนามถึง 2 ครั้ง และได้ไปดูงานของภาคเอกชนเวียดนาม 4 ครั้ง ถือว่าคุ้มค่า และได้ประสบการณ์ ความรู้ กลับมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทภาคเกษตรของประเทศไทย” นายสุธรรม กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กรกฎาคม 2567

“สส.อามินทร์”เผย กมธ.การมั่นคงแห่งรัฐฯ เยือนโปแลนด์ ศึกษาแนวทางการรับมือผู้ลี้ภัย ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมวิธีการรับมือต่อเหตุความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน

,

“สส.อามินทร์”เผย กมธ.การมั่นคงแห่งรัฐฯ เยือนโปแลนด์ ศึกษาแนวทางการรับมือผู้ลี้ภัย ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมวิธีการรับมือต่อเหตุความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน

นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าตนได้เดินทางมาร่วมศึกษาดูงานกับคณะกรรมาธิการที่โปแลนด์-ยูเครน โดยได้เข้าพบกับสถานทูต และเข้าชมรัฐสภาของที่นี่ ซึ่งเป้าหมายหลักของการมาครั้งนี้คือต้องการศึกษาเรื่องการบริหารจัดการชายแดนของโปแลนด์ ซึ่งถือเป็นขอบแดนของ EU ที่ประชิดยูเครน ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะสงครามและต้องรับผู้อพยพจำนวนมาก ถ้ารวมหลายๆด่านมีนับล้านคนที่ผ่านด่านในระยะเวลาสั้นๆ

นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูงานครั้งนี้คือ เรื่องกิจการชายแดนที่ติดกับบริเวณการสู้รบ โดยที่นี่ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างมาก ระบบ Ai ระบบ ไบโอเมทริก ภายในด่านเจ้าหน้าที่ไม่มีการพกพาอาวุธ มั่นใจในระบบป้องกันด้านความมั่นคง การเดินทางเข้าออก ตรวจค้นอย่างละเอียด แต่ใช้เวลาต่อคันเพียง 2 นาทีเท่านั้น ก็จะเสร็จสิ้นพิธีการทางศุลกากร สภาวะความไม่สงบของยูเครน ซึ่งติดกับโปแลนด์ยังคงต้องมีการเฝ้าระวังต่อเนื่อง เหมือนเช่นกันกับประเทศเราที่ติดกับชายแดนเมียนมาร์ การที่ได้มาดูงานถึงที่ทำให้เราได้เข้าใจหลายส่วนได้ลึกขึ้น และสามารถนำกลับไปพัฒนากิจการชายแดนของเราต้องเสริมหรือปรับอะไร เพื่อให้ความมั่นคงของประเทศอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุด

นายอามินทร์ ยังกล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ กมธ.ยังได้ไปเยี่ยมเยียนกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ และกองกำลังพิทักษ์ชายแดนของโปแลนด์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระบบผู้แทนสภา ทั้งในมิติของการเตรียมความพร้อมทางการทหาร การพัฒนาความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมาธิการเห็นว่า ทั้ง 2 ประเทศสามารถนำประสบการณ์นี้มาปรับใช้กับประเทศไทยได้ และการเดินทางครั้งนี้สามารถนำความรู้ที่ได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ และพัฒนาความร่วมมือกันของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กรกฎาคม 2567