โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวกิจกรรม

“ไพบูลย์”หวั่นโพลชี้นำบางสำนัก นำเสนอให้ข้อมูลไม่ตรงข้อเท็จจริง อาจเข้าข่ายความผิดทาง กฏหมายตาม รธน.เตือนเสี่ยงเป็นคดีความ

,

“ไพบูลย์”หวั่นโพลชี้นำบางสำนัก นำเสนอให้ข้อมูลไม่ตรงข้อเท็จจริง
อาจเข้าข่ายความผิดทาง กฏหมายตาม รธน.เตือนเสี่ยงเป็นคดีความ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สำนักโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่งมีบางสำนักปรากฏข้อมูลในการเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนน่าจะไม่สอดรับกับความเป็นจริงว่า ตนในฐานะนักกฎหมาย มีความเป็นห่วงว่า สำนักโพลเหล่านั้นอาจจะมีปัญหาข้อกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 72 การสํารวจความคิดเห็นของประชาชนโดยมีเจตนาไม่สุจริต มีลักษณะเป็นการชี้นํา หรือมีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดจะกระทํามิได้

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า และเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 73 ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการ หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ทั้งนี้ตามมาตรา 72 และมาตรา 73(5) กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรวมถึงสำนักโพลต่างๆกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ดังนั้นหากสำนักโพลใดฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (5) จะมีบทลงโทษตามมาตรา 159 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ตนจึงแจ้งข้อห่วงใยมายังสำนักโพลต่างๆให้ระมัดระวังข้อกฎหมายในเรื่องดังกล่าวข้างต้น เพราะเชื่อว่าจะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยื่นคำร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบสำนักโพลดังกล่าว ซึ่งสามารถยื่นคำร้องได้จนถึง 30 วันหลังจากวันเลือกตั้ง ก็อาจจะทำให้สำนักโพลบางสำนักอาจมีปัญหาทางกฎหมายได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 เมษายน 2566

“กาญจนา จังหวะ”ผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ พปชร.เผย นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร โดนใจชาวอีสาน มั่นใจ โกยคะแนนได้เพียบ

,

“กาญจนา จังหวะ”ผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ พปชร.เผย นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร โดนใจชาวอีสาน มั่นใจ โกยคะแนนได้เพียบ

นางสาวกาญจนา จังหวะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จังหวัดชัยภูมิ เบอร์ 5 กล่าวถึงการหาเสียงในขณะนี้ว่า ตนต้องขอขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องในพื้นที่ ๆ ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และได้มอบแรงเชียร์แรงใจ สนับสนุน ให้ลูกหลานกาญจนาคนนี้เสมอ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ในทั่วประเทศนโยบายของพรรค พปชร.มีความชัดเจนโดนใจชาวบ้านอยู่แล้ว ในเรื่องการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ก็คือบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ที่จะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน

นางสาวกาญจนา กล่าวต่อว่า ล่าสุดพรรค พปชร.ประกาศนโยบายที่จะพัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออก โดยรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ-ท่าเรือแหลมฉบัง-ท่าเรือมาบตาพุด-สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับโครงการอีอีซี พปชร.ทำเพื่อคนอีสานโดยเฉพาะ จะได้มีงาน สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนอีสาน โครงการนี้เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะเพื่อให้ภาคอีสานเจริญ

“ประชาชนในพื้นที่ยังมีการพูดถึง นโยบายช่วยเหลือเกษตรกร ที่จะดูแลเกษตรกรทั่วประเทศ ทั้งชาวไร่ ชาวนา ให้เข้มแข็งด้วยการ ให้ทุนเพื่อประกอบอาชีพ ครอบครัวละ 30,000 บาท ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะปลูกพืชอะไรก็ตาม จะได้รับเงินโดยโอน ตรงเข้าบัญชีเกษตรกร ที่มีอยู่กับธนาคารทันที เพื่อจะได้นำไปลงทุน สำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่ โดยเห็นว่าเป็นนโยบายที่สร้างความหวังให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก และเห็นว่านโยบายของ พปชร.ข้อนี้ถือว่าเล็งเห็นความสำคัญของเกษตรไทยทั้งประเทศด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 เมษายน 2566

“สนธิรัตน์” บุกขอนแก่นปราศรัยกลางสายฝนช่วย “ณรงค์เลิศ สุรพล” ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ขอนแก่น อ้อน ปชช.เลือกคน – พรรค ช่วยทำพื้นที่ดีขึ้นด้วยนโยบาย

,

“สนธิรัตน์” บุกขอนแก่นปราศรัยกลางสายฝนช่วย “ณรงค์เลิศ สุรพล” ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ขอนแก่น อ้อน ปชช.เลือกคน – พรรค ช่วยทำพื้นที่ดีขึ้นด้วยนโยบาย

วันที่ 23 เม.ย. 2566 ที่ตลาดนัดโคกสูง จ.ขอนแก่น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเวทีปราศรัยย่อย จ.ขอนแก่น ช่วยนายณรงค์เลิศ สุรพล ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ขอนแก่น พรรคพลังประชารัฐ เพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจให้กับผู้สมัคร โดยมี ผู้สมัคร ส.ส. พื้นที่ใกล้เคียงของพรรคเข้าร่วมฟังการปราศรัยด้วย อาทิ นายปัญญา ศรีปัญญา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 ขอนแก่น นายสมใจ ชาญจระเข้ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 ขอนแก่น และนายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น พรรคพลังประชารัฐ มีประชาชนร่วมฟังปราศรัยประมาณ 3,000 คน โดยก่อนการปราศรัยนายสนธิรัตน์ พร้อมผู้สมัคร ส.ส. ได้เดินทักทายพี่น้องประชาชน และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนมาปราศรัยที่นี่ เพราะมีผู้สมัคร ส.ส.ที่จะได้เป็น ส.ส. ชื่อนายณรงค์เลิศ ในวันที่ 14 พ.ค. นี้ พี่น้องต้องตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ส.ส.ที่รู้จัก และมีประสบการณ์ เพื่อจะได้ช่วยพี่น้องได้ วันนี้แม้ฝนตก แต่พี่น้องก็ยังไม่กลับบ้าน ซึ่งฝนตกลงมาเหมือนพรมน้ำมนต์ให้ นายณรงค์เลิศ เป็น ส.ส.ของพี่น้อง หากพี่น้องเลือกนายณรงค์เลิศ จะไม่ได้แค่พรมน้ำมนต์เฉย ๆ แต่จะมีน้ำกิน น้ำใช้อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ หากพี่น้องเลือกนายณรงค์เลิศ และเลือกพรรคพลังประชารัฐแล้ว พี่น้องที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้เงินเพิ่มจากเดิม 300 บาท เป็น 700 บาท

นอกจากนี้ยังมีนโยบายช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยให้ทุนเพื่อประกอบอาชีพ สำหรับครอบครัวเกษตรกรที่ถือบัตรประชารัฐเพื่อพัฒนาให้พี่น้องมีรายได้ดีขึ้น พรรคพลังประชารัฐ ประกาศแล้วว่าต้องทำให้พี่น้องพ้นจากความยากจนให้ได้ การแก้ปัญหาหนี้สินให้พี่น้อง ถือเป็นนโยบายหลักของพรรค

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นอกจากการแก้หนี้ และเพิ่มเงินให้พี่น้องแล้ว ในฐานะที่ตนเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะมีนโยบายติดโซล่าเซลล์สูบน้ำบาดาลให้พี่น้องทั่วพื้นที่ เพื่อให้พี่น้องมีน้ำไว้ทำมาหากิน และแก้หนี้ได้ หากพี่น้องเลือกนายณรงค์เลิศ เบอร์ 1 และเลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 พี่น้องจะได้คน และได้น้ำแน่นอน วันนี้ตนมาหาพี่น้องด้วยความตั้งใจ และมาขอคะแนนให้นายณรงค์เลิศ ได้เข้าไปเป็น ส.ส. เพื่อช่วยเหลือพี่น้องต่อไป

“วันนี้หากไม่มีพรรคการเมืองใดที่เป็นกาวใจเชื่อมโยงทุกฝ่ายได้ บ้านเมืองจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก ซึ่งพรรคพลังประชารัฐประกาศแล้วว่าไม่อยากเห็นประชาชนแตกแยกกันอีกแล้ว คนไทยด้วยกันใครจะชนะจะแพ้ต้องอยู่ด้วยกัน พรรคพลังประชารัฐจึงประกาศนโยบายพร้อมจะเป็นกาวใจ ทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง วันนี้มาขอคะแนนเพราะพี่น้องต้องเลือกคน และพรรคไปเป็นตัวแทน เป็นกาวใจให้เราไม่แตกแยกกัน หากพี่น้องเลือกนายณรงค์เลิศ และพรรคพลังประชารัฐ ท่านจะได้ ส.ส. มารับใช้พี่น้องประชาชน และได้พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล เราจะทำให้เขต 4 ขอนแก่น ดีขึ้นด้วยนโยบายของพรรค” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 เมษายน 2566

“ธรรมนัส ควง ชัยวุฒิ” ปราศรัยเชียงใหม่ ประกาศยุติความขัดเเย้ง หยุดทำให้ประเทศบอบซ้ำ เผย “พล.อ.ประวิตร”อยู่เบื้องหลัง ผลักดันจนมี พรบ.ลำไย

,

“ธรรมนัส ควง ชัยวุฒิ” ปราศรัยเชียงใหม่ ประกาศยุติความขัดเเย้ง หยุดทำให้ประเทศบอบซ้ำ เผย “พล.อ.ประวิตร”อยู่เบื้องหลัง ผลักดันจนมี พรบ.ลำไย

พรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ลงพื้นที่ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ปราศรัยหาเสียง ช่วย นายนรพล ตันติมนตรี ผู้สมัคร ส.ส.หมายเลข 8 เขต 10 จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีการเเห่รถหาเสียงไปรอบอำเภอฮอด พร้อมทักทายประชาชน ก่อนขึ้นเวทีปราศรัย

ด้านนายชัยวุฒิ ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า เห็นใจชาวบ้านสำหรับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยยืนยันว่าสิ่งเเรกที่พรรคพลังประชารัฐจะทำทันทีที่เป็นรัฐบาล เเละพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คือ การลดค่าครองชีพ ลดค่าไฟ ค่าเเก็ส ค่าน้ำมัน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้บนถนนราชดําเนิน บนสี่แยกราชประสงค์ ตนเคยถูกยึดทรัพย์ ถูกดําเนินคดีในฐานะเป็นท่อน้ําเลี้ยงคนเสื้อแดง เมื่อปี49 จนถึงทุกวันนี้ มีพี่น้องหลายท่านติดคุกติดตาราง หลายท่านมีคดีติดตัว หลายท่านต้องเสียลูก เสียเมีย เสียผู้นําครอบครัว ถ้าถามว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ถามว่าคนไทยได้อะไร ตอบได้ทันทีว่ามีแต่เพิ่มความบอบช้ำ เกิดความแตกแยกความสามัคคี บ้านใดเมืองใดไม่มีความสามัคคี อย่าหวังเลยว่าประเทศชาติจะมีเกิดความมั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน

“จึงเป็นที่มาที่พรรคพลังประชารัฐประกาศนโยบายว่า เราต้องการให้คนไทยรักกัน นั่นคือนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เราจะเปลี่ยนเชียงใหม่ เราต้องกล้าเปลี่ยน ของเก่าเราไม่เอา ของเก่า ถอดทิ้งจากหัวใจดีกว่า การที่จะเลือกคนมาเป็นผู้แทน ถือว่าสําคัญมาก”

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่ภาคเหนือลําไย ถือว่าเป็นพืชผลทางการเกษตรของพี่น้องชาวเหนือ แต่กลับไม่มีกฎหมายคุ้มครอง อย่างเช่น พ.ร.บ. ลําไย ตอนตนเป็นรัฐมนตรี ก็พยายามผลักดัน พ. ร. บ. ลําไย มา จนตอนนี้เรามี พรบ.ลําไยคุ้มครองแล้ว โดยเมื่อปี2563 พี่น้องได้ชดเชยราคาลําไย ไร่ละสองพันบาท ซึ่งบุคคลที่อยู่ข้างหลังในการผลักดันช่วยจนสำเร็จ ก็คือผู้ใหญ่ใจดี ท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านไม่เลือกปฏิบัติ ทุกคนเท่าเทียมกัน ตั้งใจที่จะมาพัฒนาประเทศของเราอย่างแท้จริง

“พี่น้องครับ ในส่วนของบัตรประชารัฐ ถ้ามีพรรคใดพรรคหนึ่งประกาศว่า เราจะเปลี่ยนบัตรพวกนี้ไม่เอาแล้ว พี่น้องจะยอมหรือไม่ เราต้องสามัคคี เราต้องเลือกเจ้าของบัตร เจ้าของความคิด ชื่อมันบอกชัดเจนว่า บัตรประชารัฐ ดังนั้น บัตรประชารัฐที่อยู่กับคนไทย ณ เวลานี้กว่า 40 ล้านกว่าชีวิต เราจะเปลี่ยนมูลค่าในบัตรจาก 300 บาทเป็น 700 บาท ซึ่งบัตรประชารัฐยังมีทุนอีก 30,000 บาทที่พี่น้องจะสามารถนำไปประกอบอาชีพต่อยอดได้ และยังมีประกันชีวิต ทันทีที่เราหมดลมหายใจ คนข้างหลังไม่ลําบาก สามารถไปเบิกเบี้ยประกันได้อีก 200,000 บาท นี่คือสิ่งที่เราต้ังใจทำให้ครับ สุดท้ายผมขอฝาก ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ และขอให้มั่นใจว่า เราทำจริงทำทันที มาร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 เมษายน 2566

“ศ.ดร.นฤมล” ช่วย”ชญาภา”หาเสียงเขตยานนาวา ประกาศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือไม่ก็พร้อมผลักดันนโยบาย”บ้านประชารัฐ 360 องศา”ทันที ลั่น ยานนาวาต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม เพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน

,

“ศ.ดร.นฤมล” ช่วย”ชญาภา”หาเสียงเขตยานนาวา ประกาศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือไม่ก็พร้อมผลักดันนโยบาย”บ้านประชารัฐ 360 องศา”ทันที ลั่น ยานนาวาต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม เพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน

เมื่อเวลา 12.30 น.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคและหัวหน้าทีมผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)ลงพื้นที่ชุมชนร่วมพัฒนาเชื้อเพลิง 2 เขตยานนาวา ช่วย น.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 7 เบอร์ 15 รณรงค์หาเสียง โดยได้ร่วมกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในชุมชน พร้อมเยี่ยมชมโครงการบ้านมั่นคงที่พรรค ได้เข้ามาช่วยประสานความช่วยเหลือกับหน่วยงานต่างๆเพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในด้านการจัดหาน้ำประปา และน้ำเสียในชุมชน พร้อมนำเสนอนโยบายชุมชนเข้มแข็ง เพื่อสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อมที่ดี

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐต้องการผลักดันชุมชนร่วมพัฒนาเชื้อเพลิง 2 จากชุมชนแออัดสู่โครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา เราอยากจะเข้ามาเป็นผู้ประสานงาน เพื่อให้โครงการดี ๆ เช่นนี้เกิดขึ้นได้ให้กับประชาชน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถวางแผนชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสำหรับลูกหลานว่าจะเรียนที่ไหน ทำมาหากินตรงไหน ซึ่งโครงการบ้านประชารัฐนี้ไม่ว่าเราจะเป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็น เราก็จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเพื่อให้ชาว กทม.มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะบ้านที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดเพื่อให้มีชีวิตมีความมั่นคง ปลอดภัย และมีความสุข

“บ้านประชารัฐ 360 องศา ต้องมีการออกแบบและสร้างให้ถูกใจผู้อยู่มากขึ้น บริเวณภายในบ้านต้องตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่อง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือเด็กๆ ในครอบครัว นอกจากนี้ยังเห็นศักยภาพของเขตยานนาวาที่จะสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามีวัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 4 วัด คือวัดทองบน วัดปริวาส วัดด่าน และวัดคลองภูมิ ที่เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐเห็นโอกาสส่งเสริมที่จะพื้นที่เขตยานนาวาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม เพราะพื้นที่ตรงนี้มีภูมิทัศน์วัดวาอาราม และแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถส่งเสริมให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวในชุมชน ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนมาเดินชมความงามของวัดในยามเย็น และส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้านำสินค้าในชุมชนมาขายเสริมสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้ด้วย

ด้าน น.ส.ชญาภา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ ๆ ผ่านมา ตนได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งตนมองว่า สวนทางกับผลสำรวจที่ออกมาว่ากระแสของพรรคพลังประชารัฐไม่ดี เพราะถ้าได้ลงพื้นที่จริงๆจะเห็นว่า ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุ ให้การตอบรับนโยบายดูแลผู้สูงอายุของพรรคพลังประชารัฐอย่างดีมาก ทุกคนอยากให้นโยบายนี้เกิดขึ้นได้จริง และชื่นชมพรรคพลังประชารัฐที่ยังเล็งเห็นคุณค่าของพวกเขา โดยสวัสดิการที่จะเพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได โดยผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพ เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพ เพิ่มเป็น 4,000 บาทต่อเดือน และผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพเพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือน จะสามารถมาดูแลชีวิตของพวกเขาและลูกหลานของเขาได้

น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในชุมชนร่วมพัฒนาเชื้อเพลิง 2 มีการทำโครงการบ้านมั่นคงอยู่แล้ว แต่พรรคพลังประชารัฐจะเข้ามาต่อยอดให้เป็นบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยพื้นที่ๆ ชาวบ้านอยู่ในตอนนี้เป็นที่ของการรถไฟ และที่ราชพัสดุ ซึ่งชาวบ้านก็มีความกังวลว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะโดนไล่ที่ และเนื่องจากพื้นที่เขตยานนาวา ถือว่าอยู่ใจการเมือง และชาวบ้านแต่ละคนใช้พื้นที่ตรงนี้มานาน จึงต้องการอยู่ในพื้นที่ต่อไป

“โครงการบ้านประชารัฐ 360 องศาที่จะเกิดขึ้น จะทำให้พี่น้องประชาชนได้มีบ้านที่สวยงาม มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ได้ และเพื่อให้ชาวยานนาวาทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายในพื้นที่ตรงนี้ โดยที่ไม่ต้องมีใครต้องย้ายออกจากพื้นที่ไป ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะเราทำได้และทำทันที”น.ส.ชญาภา กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 เมษายน 2566

“สกลธี” ย้ำจุดยืน พปชร. ไม่ร่วมงาน “พรรคชังชาติ – นโยบายทำลายเศรษฐกิจ”

,

“สกลธี” ย้ำจุดยืน พปชร. ไม่ร่วมงาน “พรรคชังชาติ – นโยบายทำลายเศรษฐกิจ”

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ตลาดเช้าศิริเกษม หมู่บ้านเศรษฐกิจ เขตบางแค กทม. ร่วมกับนายเอกชัย ผ่องจิตร์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตการเลือกตั้งที่ 29 (บางแค-หนองแขม) หมายเลข 7 เพื่อพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายพัฒนาพื้นที่และแก้ไขการจราจร

นายสกลธีกล่าวว่า บริเวณจุดนี้เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในเขตบางแค เป็นหมู่บ้านยุคเก่าที่ปัญหาส่วนใหญ่คือบางจุดยังเป็นที่ของเอกชน ไม่ได้ยกให้เป็นที่สาธารณะ ทำให้ทาง กทม.ไม่สามารถเข้ามาพัฒนาดูแลในส่วนนี้ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งท่อระบายน้ำยังมีขนาดเล็ก ซึ่งในส่วนนี้ทางพรรค พปชร.จะใช้งบประมาณส่วนกลางเข้ามาดูแลในจุดนี้ อีกปัญหาคือการเดินทางของประชาชนที่จะเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้า ปัจจุบันส่วนใหญ่ยังใช้รถส่วนตัวกันอยู่ ทำให้การจราจรติดขัด ในส่วนนี้ต้องมีขนส่งสายรอง (Feeder) ที่สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ เพื่อรับส่งประชาชนในอยู่บ้านย่านนี้กว่าหมื่นครัวเรือน เชื่อมระบบขนส่งสาธารณะ ไปยังสถานีรถไฟฟ้า

นายสกลธีกล่าวต่อว่า ในส่วนของสาธารณสุข ในพื้นที่นี้มีโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ของ กทม.อยู่ แต่ไม่มีรถเมล์รถสาธารณะผ่านทั้งที่เป็นโรงพยาบาลใหญ่รับผิดชอบดูแลพี่น้องถึง 5 เขต จึงจำเป็นต้องปรับเส้นทางรถ ขสมก.ให้สอดคล้องกับความจำเป็นของประชาชนมากขึ้น

“ การลงพื้นที่วันนี้ได้รับการแสการตอบรับของประชาชนเป็นอย่างดี เพราะคุณเอกชัย ผ่องจิตร์ ผู้สมัครของเราลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยมาตลอด ทั้งนี้ทางพรรคมั่นใจในคุณสมบัติของผู้สมัครทุกคนที่พรรคเลือกมาว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีทุกคน”

ในส่วนที่มีกลุ่มคนมาป่วนเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ และไปช่วยพรรคก้าวไกลหาเสียงนั้น นายสกลธีกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ย้อนแย้ง เพราะคนบางกลุ่มอยากให้มีประชาธิปไตยแต่ไปรบกวนการหาเสียงของพรรคการเมืองอื่น ตนมองมองว่าวันนี้ประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเต็มที่ ทุกคนลงเลือกตั้งด้วยกติกาเดียวกันก็ควรแข่งกันตามกติกา หมดเวลาปั่นวาทกรรมพรรคทหาร ฝ่ายเผด็จการแล้ว ให้ประชาชนตัดสินใจดีกว่าว่าอยากให้ใครเข้ามาดูแลมากกว่ากัน

จากนั้นนายสกลธีได้เดินทางไปตลาดเช้าวัดหนองแขม เพื่อช่วย นายมานพ มารุ่งเรือง ผู้สมัครเขตเลือกตั้งที่ 28 (จอมทอง บางบอน หนองแขม) หมายเลข 1 โดยนายสกลธีกล่าวว่า ในเขตนี้ตนมั่นใจเต็มที่เพราะนายมานพเป็น ส.ข.มา 2 สมัย ดูแลพื้นที่เป็นอย่างดี เกาะติดปัญหา ใกล้ชิดประชาชน ส่วนกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย บอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ 2 ป.นั้นก็เป็นสิทธิของเขา ซึ่งต้องถามด้วยว่าเราจะอยากร่วมด้วยหรือเปล่า

“จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐคืออยากก้าวข้ามความขัดแย้ง เราอยากเปิดโอกาสให้กับทุกฝ่าย อยากให้การหาเสียงของแต่ละพรรคเป็นไปด้วยดี ไม่มีการปะทะกันระหว่างพี่น้องประชาชน ให้ทุกคนรักกันเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปรวมกับใครก็ได้ เราก็มีจุดยืนเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าพรรคไหนแนวทางไม่ตรงกัน ก็รวมกันไม่ได้ และพรรคที่มีนโยบายทำลายเศรษฐกิจ เราก็รวมด้วยไม่ได้เช่นกัน”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” โชว์ผลงาน 3-4 ปีไม่เคยมีการประกาศภัยแล้ง ปชช.เสียงเชียร์ทุกชุมทางสร้างกำลังใจพปชร.ชนะทุกสนามเลือกตั้ง

,

“พล.อ.ประวิตร” โชว์ผลงาน 3-4 ปีไม่เคยมีการประกาศภัยแล้ง ปชช.เสียงเชียร์ทุกชุมทางสร้างกำลังใจพปชร.ชนะทุกสนามเลือกตั้ง

เมื่อเวลา 11.16 น.วันที่ 22 เม.ย.ที่สถานีปากช่อง จ.นครราชสีมา ในระหว่างขบวนรถไฟที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)และคณะกรรมการบริหารพรรค โดยสารมาถึงสถานีปากช่อง มีมวลชนกว่า100 คน มารอพบเพื่อมอบดอกไม้และให้กำลังใจ โดยพล.อ.ประวิตร ได้ลงจากรถไฟไปพบปะกับประชาชน พร้อมฝากให้เลือกพรรคพปชร.และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพปชร.
หลังจากนั้นพล.อ.ประวิตร ได้กล่าวว่านโยบายมีเราไม่มีแล้งของภาคอีสานย้ำว่าปริมาณน้ำในเขื่อนลำตะคลองมีน้ำถึงเกือบ 70 % และตลอดระยะเวลาที่ทำงานในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยประกาศภาวะภัยแล้งเลยสักวัน เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ตลอดเส้นทางที่มีประชาชนให้กำลังใจ ก็รู้สึกดี และขอขอบคุณ การทำเรื่องน้ำถือเป็นผลงานของผมเพราะทำงานในนามของรัฐบาล

เมื่อถามว่าขบวนรถไฟเที่ยวนี้ เหมือนเป็นเที่ยวสุดท้ายที่จะส่งไปถึงตําแหน่งนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่ใช่ จะนั่งเรื่อย ๆ แต่ประชาชนต้องเลือก ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้ พูดเฉยๆ ไม่ได้เป็นหรอกจะเป็นได้อย่างไร”

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า นโยบายของพรรคคือทำทันที ถ้าได้เป็นรัฐบาล ทุกอย่างคิดไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร ส่วนเรื่องของโครงการอีสานประชารัฐในเรื่องการทําทางรถไฟ ก็ต้องดูในเรื่องการเวนคืนสถานที่ ต้องทําตามขั้นตอน จะไปทําทันทีได้อย่างไร จะต้องมีการวางแผนและรับฟังความคิดเห็นประชาชน มีการสํารวจเส้นทาง เช่นเดียวกับการทํารถไฟทางคู่ของรัฐบาลที่ผ่านมาเพราะผ่านการวางแผนจึงสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

“สกลธี” ควง “บุณณดา” เบอร์6 ลงพื้นที่ฝั่งธนขอเสียง ปชช. ชูกองทุนประชารัฐ3แสนล.-สร้างรายได้ให้ชุมชน

,

“สกลธี” ควง “บุณณดา” เบอร์6 ลงพื้นที่ฝั่งธนขอเสียง ปชช. ชูกองทุนประชารัฐ3แสนล.-สร้างรายได้ให้ชุมชน

นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) ลงเรือที่ท่าวัดอรุณ เข้าคลองบางกอกใหญ่ เยี่ยมชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และขึ้นท่าตลาดน้ำคลองบางหลวงเดินหาเสียงชูนโยบายกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านพัฒนาย่านท่องเที่ยวฝั่งธน ร่วมกับ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 32 หมายเลข 6 เป็นผู้สมัคร 5 เขต 11 แขวง ประกอบไปด้วย เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงบางยี่เรือ วัดกัลยาณ์ หิรัญรูจี) เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า บางด้วนและคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เป็นการเพบปะประชาชน พร้อมชูนโยบายพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลอง เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ให้ชุมชน

“โซนฝั่งธนนี้มีจุดท่องเที่ยว วัดวาอาราม คลองเล็กคลองน้อย วิถีชีวิตชุมชน ร้านอาหารอร่อยมากมายสามารถพัฒนาให้ดีกว่านี้ได้แน่นอน ถ้าเลือกทีม กทม.พลังประชารัฐเข้าไปทำงานพัฒนาด้วยกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถอุดช่องว่างเรื่องงบประมาณท้องถิ่นที่ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาซึ่งกรุงเทพฯ มีวัตถุดิบที่ดีมากอยู่แล้ว แค่ขาดคนที่รู้จริง และขาดงบประมาณที่จะเข้าไปพัฒนา ผมขอฝาก ดร.เอ๋ เขตเลือกตั้งที่ 32 เบอร์ 6 ซึ่งเป็นคนฝั่งธน ตั้งใจเข้าไปพัฒนาฝั่งธนบุรีให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

“พล.อ.ประวิตร” แท็กทีมผู้บริหารพปชร.เปิดมิติใหม่ขึ้นรถไฟ ปักหมุดเมืองย่าโมร่วมเวทีปราศรัยใหญ่พบปะพี่น้องคนไทย

,

“พล.อ.ประวิตร” แท็กทีมผู้บริหารพปชร.เปิดมิติใหม่ขึ้นรถไฟ ปักหมุดเมืองย่าโมร่วมเวทีปราศรัยใหญ่พบปะพี่น้องคนไทย

วันที่ 22 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้จัดกิจกรรมเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพปชร. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารพรรคประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ร่วมเดินทางไปยังเวทีปราศรัยใหญ่ ด้วยการขึ้นขบวนรถไฟจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) ขบวนรถเร็ว 135 กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ไปลงที่สถานีนครราชสีมา ซึ่งเป็นรูปแบบการลงพื้นที่พบปะประชาชนครั้งแรกด้วยการใช้บริการรถไฟดีเซลราง

โดยตลอดเส้นทางที่มีสถานีชุมทางขนาดใหญ่ได้มีประชาชนและผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐมารอต้อนรับ ให้กำลังใจ มอบดอกไม้ ชูป้าย ส่งเสียงเชียร์ อาทิ สถานีรังสิต อยุธยา สระบุรี ชุมทางแก่งคอย หมวกเหล็ก ปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน และนครราชสีมา ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง พล.อ.ประวิตร ได้ออกทักทายอวยพรประชาชนขอให้มีความสุข และมีความโชคดี พร้อมขอกำลังใจจากพี่น้องประชาชนให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37

“ผมนั่งรถไฟเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อมาดูเส้นทางคมนาคมตามนโยบายของพรรคที่ต้องการพัฒนาภาคอีสาน ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในภาคอีสานจะได้ไม่ต้องย้ายออกจากพื้นที่ เรามีนโยบายที่จะพัฒนาอีสานประชารัฐที่มีทั้งแหล่งงานแหล่งการศึกษา การพัฒนาเส้นทางคมนาคม ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังด้านบนของประเทศ และส่งสินค้าไปยังประเทศต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านได้ เพื่อทำให้เศรษฐกิจภาคอีสานเติบโตได้อย่างมั่งคั่งและยั่งยืน” พล.อ. ประวิตร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

พปชร.ปราศรัยโซนธนบุรีใต้ ชู บ้านประชารัฐ-เพิ่มเงินบัตรประชารัฐ-เติมทุนประกอบอาชีพ ร่วมดัน “พล.อ.ประวิตร”คือ soft power ประสานทุกฝ่าย คืนความสงบให้คนไทย

,

พปชร.ปราศรัยโซนธนบุรีใต้ ชู บ้านประชารัฐ-เพิ่มเงินบัตรประชารัฐ-เติมทุนประกอบอาชีพ ร่วมดัน “พล.อ.ประวิตร”คือ soft power ประสานทุกฝ่าย คืนความสงบให้คนไทย

21 เมษายน 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดกิจกรรมปราศรัยย่อย โซนธนบุรีใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ (บางมด) นำโดย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค และผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา เขต 25 เขตทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ (ยกเว้นแขวงบางปะกอก) เบอร์ 2, นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุลเขต 27 เขตบางบอน (เฉพาะแขวงบางบอนใต้ )เขตบางขุนเทียน (ยกเว้นแขวงท่าข้าม)เบอร์ 12,นายมานพ มารุ่งเรือง เขต 28 เขตหนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม)เขตบางบอน (ยกเว้นแขวงบางบอนใต้และแขวงคลองบางบอน)เขตจอมทอง (เฉพาะแขวงบางขุนเทียน) เบอร์ 1, นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เขต 29 เขตบางแค (แขวงบางแคเหนือแขวงบางไผ่ ) เบอร์ 7 โดยร่วมกันนำเสนอนโยบายที่เป็นการช่วยเหลือพี่น้องชุมชนกทม. ให้มีความมั่นคงมากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง พร้อมเพิ่มเงินบัตรประชารัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยว่า เมื่อปี 62 พรรคพลังประชารัฐส่งผู้สมัครลงทั้งหมด 30 เขต เราได้รับชัยชนะมาทั้งหมด 12 คน แต่ฝั่งธนเราได้มาแค่ 1 คนเท่านั้น วันนี้พรรคพลังประชารัฐส่งผู้สมัครที่มีคุณภาพ มารับใช้พี่น้องประชาชนฝั่งธน และทั่ว กทม.ทั้ง 33 เขต เราก็หวังว่า ครั้งนี้เราจะได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชน ตอนนี้เหลือระยะเวลาอีกเพียงแค่ 22 วันเท่านั้นก็จะถึงวันที่ 14 พ.ค.ที่คนไทยทุกคนจะได้ออกไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งโดยครั้งนี้ จะใช้บัตร 2 ใบคือ เบอร์เขตใช้บัตรสีม่วง และเลือกพรรคใช้บัตรสีเขียว ขอให้ประชาชนศึกษาให้ดี เลือกเขตจากผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ และเลือกพรรคกาเบอร์ 37

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแรกที่พูดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พี่น้องประชาชนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็น รถสาธารณะ แก๊สหุงต้ม ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เราไม่ใช่เพียงแค่พูดแต่เราทำไปแล้วก็คือบัตรประชารัฐ เราต้องการจะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเด็กเกิดมาก็ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างประชาชนทั่วไปก็ต้องได้รับการส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อที่เขาจะสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองให้ได้ สิ่งนี้ภาครัฐก็จะต้องเข้าไปดูแลเช่นกัน นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องของสวัสดิการประชารัฐไม่ใช่เพียงแค่บัตรประชารัฐเท่านั้น แต่หมายถึงคนไทยจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกด้าน

“เราไม่ใช่แค่คิดแต่ว่าจะแจกเงิน แต่เรายังคิดไปถึงการให้เบ็ดกับประชาชนด้วย ก็คือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน ด้วยการ “เติมทุน เติมทักษะ เติมรายได้” ต้องเติมทั้งสามอย่าง จึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เติมทุนอย่างเดียวไม่ว่าจะดำเนินการผ่านธนาคารของรัฐหรือกองทุนหมู่บ้าน แต่ไม่เติมทักษะใหม่ ก็ไม่สามารถเติมรายได้ให้ผู้ประกอบการในเศรษฐกิจฐานรากได้ ขณะเดียวกัน ก็จะมีการสร้างงาน สร้างอาชีพควบคู่กันไปด้วย การสร้างบ้านต้องเริ่มที่ฐานราก เศรษฐกิจฐานราก ก็คือ ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย”

ศ.ดร.นฤมล ยังกล่าวถึง อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ เรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐมีโครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยพี่น้องประชาชนจะได้มีบ้านที่สวยงาม มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ได้ และเพื่อให้ชาว กทม.ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ เพราะคน กทม.ยังมีอีกหลายชุมชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

ด้านนายชัยวุฒิ กล่าวปราศรัยว่า สถานการณ์ในขณะนี้ราคาพลังงานสูงมากซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนคนไทย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเล็งเห็นว่า เราจะต้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 2.50 บาท เราปรึกษากันแล้วว่า เราทำได้ เพราะเรามีทีมเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์หลายคนมานั่งถกปัญหานี้ร่วมกัน แต่นโยบายดี ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของเราไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐจะรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทุกองค์กร เพื่อให้ประเทศชาติของเราเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีความสุข และที่สำคัญพลเอกประวิตร จะเป็นเพราะซอฟพาวเวอร์ที่จะประสานให้ทุกฝ่าย สามารถเดินไปได้ด้วยกันได้ ด้วยความสามัคคี การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญมากขอให้ทุกคนอย่าเลือกเพราะดูจากโซเชียลมีเดีย แต่ขอให้คิดถึงประเทศและลูกหลานของเราทุกคน โดยเราจะมาก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยกันในวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้คนไทยทั้งประเทศเข้าคูหากาเบอร์ 37

“วันนี้ผมเห็นโพลหลายโพล โดยเฉพาะโพลออนไลน์ไม่มีชื่อคะแนนความนิยมให้กับพลเอกประวิตรเลย ผมก็เดินลงพื้นที่ต่างๆเพื่อไปคุยกับพี่น้องประชาชน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะเสียงตอบรับจากประชาชนต้องการให้พลเอกประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีในโลกความเป็นจริงไม่ใช่ในโลกออนไลน์ เพราะว่าพูดจริงทำจริงและพูดในสิ่งที่ทำได้”

จากนั้นนายสันติ กล่าวปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐ มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือดูแลพี่น้องกลุ่มเปราะบาง จึงได้ออกนโยบายในเรื่องของบัตรประชารัฐ เพื่อพี่น้องที่ยังประสบปัญหาความยากจน และเพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติสุข บัตรประชารัฐอาจจะไม่ได้ช่วยให้ทุกคนมีความร่ำรวย แต่ก็สามารถทำให้คนไทยมีชีวิตตามอัตภาพที่ดี

“โดยเราจะจัดสรรเงินมาสนับสนุนบัตรประชารัฐกับกลุ่มเปราะบางทุกคน โดย พลเอกประวิตร เห็นว่าด้วยค่าครองชีพแพงขึ้น เงิน 200-300 บาท ก็คงไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเงินที่น่าจะพอเหมาะสม ก็คือเดือนละ 700 บาท ซึ่งถ้าหากพ่อแม่พี่น้องให้โอกาสพรรคพลังประชารัฐ เลือกพรรคของเรา จนกระทั่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พลเอกประวิตรได้เป็นนายกรัฐมนตรี บัตรประชารัฐจะปรับเงินสวัสดิการเป็น 700 บาททันที”นายสันติ กล่าว

นายสันติ กล่าวต่อว่า ไม่เพียงเท่านั้นบัตรประชารัฐยังมีเงินเติมทุนอีก 30,000 บาท ที่จะให้ผู้ที่ถือบัตรประชารัฐนำไปสร้างงาน สร้างอาชีพได้ และที่สำคัญที่สุดนโยบายของพรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการประชารัฐแก้ไขปัญหาความยากจน มีการฝึกอาชีพให้พร้อมเติมทุนให้ เพื่อไปสร้างงาน สร้างอาชีพ พี่น้องจะได้พ้นจากความยากจน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มเปราะบางของประเทศ ทั้งนี้ พลเอกประวิตร มีนโยบายอย่างแน่วแน่และมั่นคง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะท่านมีความตั้งใจให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ มีความสมัครสมานสามัคคี เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบ เมื่อประเทศเกิดความสงบ เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะมีความแข็งแรงตามมา

จากนั้น ด้านผู้สมัครต่างสลับกันขึ้นเวทีปราศรัย ซึ่งทุกคนการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การลงพื้นที่ในขณะนี้ประชาชนต่างให้การตอบรับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างดีเพราะเชื่อว่าจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดูแลผู้สูงอายุ หรือนโยบายลดราคาพลังงาน แก๊ส ค่าไฟฟ้า หรือ นโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยประชาชนส่วนใหญ่จะสอบถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการของนโยบายต่าง ๆ ซึ่งผู้สมัครก็ให้ความมั่นใจกับประชาชนไปว่า ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล นโยบายทุกเรื่องที่ได้ประกาศกับประชาชนออกไป จะสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีอย่างแน่นอน

ด้านนายสกลธี กล่าวว่า เวลาเข้าคูหาขอให้ประชาชนจำเบอร์ของผู้สมัครให้ดี และขอโอกาสให้ชาวฝั่งธนกาทั้งคนทั้งพรรค ถ้าจะให้ความกรุณาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ก็ขอให้กรุณาพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 ด้วย พื้นที่โซนธนบุรีใต้ ยังมีอีกหลายอย่างที่รอการพัฒนาอย่างเช่นการท่องเที่ยวในทุ่งครุ ราษฏร์บูรณะทะเลบางขุนเทียน ก็ถือว่ามีจุดขาย แต่ต้องได้รับการพัฒนาในการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท กองทุนนี้จะเป็นคำตอบ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ พรรคพลังประชารัฐเข้าไปเป็นรัฐบาล ซึ่งจะมีการผลักดันกองทุนดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน พลเอกประวิตร พูดกับตน ว่าเราจะต้องทำให้ชาว กทม.มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสะดวกสบาย

“พรรคพลังประชารัฐ จึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ น่าจะได้เงินมาช่วยพัฒนาพื้นที่หลายหมื่นล้านบาท ดูแลและสร้างแหล่งท่องเที่ยวตามย่านต่าง ๆ หรือใช้ในการสร้างระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณูปโภคที่จำเป็นเพิ่มเติมได้”

นายสกลธี กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งให้พรรคคิดนโยบายด้านปากท้อง ลดค่าครองชีพ ออกมาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาท ลดดีเซล 6 บาท หรือการลดราคาแก๊สเหลือถังละ 250 บาท ซึ่งสามารถทำทันทีที่เป็นรัฐบาล และล่าสุดพรรคได้ออกนโยบายลดค่าไฟฟ้า โดยจะปรับโครงสร้างราคาที่มีการคิดเงินซ้ำซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะทำให้ลดค่าไฟฟ้าลงเกือบ 50% เหลือเพียงหน่วยละ 2.50 บาทเท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ทุกคนมีเงินเหลือไปใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 เมษายน 2566

ปูพรมหาเสียง ! ‘ผู้กองธรรมนัส’ ระดมทีมบุกปราศรัย ขอคะแนนเสียงชาวพะเยา คึกคัก ! ชูผลงานเป็นที่ผ่านมาประจักษ์ชัดเจน อ้อน กาเบอร์ 6 ยกจังหวัด กาเบอร์37 เลือกพปชร.เป็นรัฐบาล

,

ปูพรมหาเสียง ! ‘ผู้กองธรรมนัส’ ระดมทีมบุกปราศรัย ขอคะแนนเสียงชาวพะเยา คึกคัก ! ชูผลงานเป็นที่ผ่านมาประจักษ์ชัดเจน อ้อน กาเบอร์ 6 ยกจังหวัด กาเบอร์37 เลือกพปชร.เป็นรัฐบาล

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น.ณ หอประชุมเทศบาลปง ตำบลปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้จัดปราศรัยหาเสียงต่อเนื่องจากช่วงเช้า นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา พปชร. และในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พร้อมด้วยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค พปชร. นายจีรเดช ศรีวิราช ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 6 พปชร.และนายอนุรัตน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 จังหวัดพะเยา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักมีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน

โดย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า มาฝากนโยบายของพรรคฯ ภายใต้การนำของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีจุดยืน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่” เพื่อความรักสามัคคี เพื่อความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชนในบ้านเมือง ที่สำคัญคือการผลักดันแก้ปัญหาที่ดินทำกินซึ่งเป็นความเดือดร้อนของพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่เพื่อสานต่องานจากเมื่อครั้งตนเอง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ นั่นคือ การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน โดยผลักดันเปลี่ยน ส.ป.ก.เป็นโฉนด และ ค.ท.ช.เปลี่ยนเป็น ส.ป.ก. ตามเป้าหมาย “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำ ไม่มีจน” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นประโยชน์และสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคน”

ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ได้เป็น ส.ส.และเมื่อครั้งทำหน้าที่รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ และป็นคณะทำงานต่างๆ ในรัฐบาล ได้ผลักดันพัฒนาโครสร้างพื้นฐาน ถนนหนทางของพะเยาให้สะดวกปลอดภัยมากขึ้น ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งโครงการรถไฟทางคู่ สายดังกล่าว ประกอบด้วยสถานี 26 สถานี และอุโมงค์รถไฟ 4 แห่ง เริ่มต้นจากเด่นชัย จ.แพร่ อำเภองาว จ.ลำปาง สู่พะเยา ของเราด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างสนามบิน เพื่อบินตรงจากกรุงเทพ-พะเยา เป็นต้น

“พ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับ วันที่ 14 พฤษภาฯ อย่าลืมไปกาบัตรสีม่วงเบอร์ 6 ยกจังหวัด และบัตรสีเขียวเบอร์ 37 เลือกพรรคพลังประชารัฐ เข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อทำงานสร้างบ้านแปงเมือง เป็นปากเป็นเสียงแทนทุกท่านครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการปราศรัยของ ร.อ.ธรรมนัสแล้ว ทางด้านผู้สมัครส.ส.ได้สลับกันปราศัยชี้แจงนโยบายของพรรคฯ ทั้งการสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มเป็น 700 บาท ดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นบุคคลที่มีคุณค่า และเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน และยังจะดูแลประชาชนทุกช่วงวัยอีกด้วย

จากนั้นร.อ.ธรรมนัส ยังได้นำคณะขึ้นรถเเห่ปราศัย รอบหมู่บ้านต่างๆใน ต.จำป่าหวาย อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ก่อนลงจากรถและเดินเข้าไปพบปะทักทายประชาชนตามบ้านเรือนสองข้างทางอย่างเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังเดินเข้าไปทักทายพ่อค้า แม่ค้าและประชาชนทั่วไปที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าในตลาดสดจำป่าหวาย ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีเสียงเชียร์ให้กำลังใจ”ผู้กองธรรมนัส สู้สู้”อย่างต่อเนื่องคึกคัก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566

‘พล.อ.ประวิตร ‘ ชูนโยบาย ‘อีสานประชารัฐ’ พัฒนาความเจริญเชื่อมโยงภูมิภาค สร้างเส้นทางรถไฟทางคู่บึงกาฬ-อู่ตะเภา 480 กม.พัฒนานิคมฯสร้างอาชีพมั่นคง

,

‘พล.อ.ประวิตร ‘ ชูนโยบาย ‘อีสานประชารัฐ’ พัฒนาความเจริญเชื่อมโยงภูมิภาค
สร้างเส้นทางรถไฟทางคู่บึงกาฬ-อู่ตะเภา 480 กม.พัฒนานิคมฯสร้างอาชีพมั่นคง

20 เม.ย.2566 – ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร กรรมการบริหารพรรค ร่วมแถลงเปิดนโยบาย “อีสานประชารัฐ” พัฒนาภาคอีสานด้วยรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา

โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค กล่าวว่า เราจะพัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออกให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ – ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรือมาบตาพุด – สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก(EEC) โดยโครงการพัฒนาเส้นทางทางรถไฟ จะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่อ 11 จังหวัดได้แก่ จังหวัดหนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ มหาสารคาม และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม. โดยเราจะดำเนินโครงการทันที เมื่อได้เป็นแกนนำร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราสำรวจเส้นทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการดำเนินโครงการใหญ่ในภาคอีสาน จะเป็นจุดแรกที่เราทำก่อน จากนั้นจะทำภาคเหนือและใต้ต่อไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่คิดจะทำกันมาหลายปีแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดว่าโครงการ จะทำแล้วเสร็จพรุ่งนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ชาวอีสาน มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งการทำงบประมาณ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง แต่ตนไม่ห่วง สามารถดำเนินการได้แน่นอน

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำเพื่อคนอีสานโดยเฉพาะ จะได้มีงาน สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนอีสาน น้ำเขาก็น้อย การเกษตรก็มีข้อขัดข้องเยอะ คนอีสานออกมาทำงานต่างจังหวัดทั้งนั้น เราทำโครงการนี้เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะ อย่าเพิ่งถามถึงภาคอื่น เอาให้ภาคอีสานเจริญ โดยภาคอีสานมีทั้งหมด 133 เขต คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ

ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค กล่าวว่า เราจะพัฒนาอีสาน เปิดภาคอีสานของเราให้ทันต่อโลก เนื่องจากดูแต่ละพรรคการเมืองแล้ว มีแต่ที่จะขอให้ชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด และภาคตะวันออก 5 จังหวัด ขอแต่แลนด์สไลด์ แต่ไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดเลยที่คิดว่าจะพัฒนาภาคอีสานให้พ้นความยากจน หรือนำเงินลงทุนมหาศาลไปพัฒนา ซึ่งไม่มีเลย มีแต่ พปชร. ที่ให้ความสำคัญกับชาวอีสาน ตลอดระยะเวลาเกิน 20 ปี ภาคอีสานไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ เลย
“หลายสิบปีที่ผ่านมา ชาวอีสานได้รับการพัฒนาอย่างเชื่องช้า มีแต่คนไปขอให้แลนด์สไลด์ แต่ยังไม่เคยได้ยินพรรคใดที่ตั้งใจที่จะไปพัฒนาภาคอีสานเพื่อลูกหลานอยู่ดีกินดี เราจึงขอแรงใจทั้ง 133 เขตให้กับ พปชร. เพื่อพปชร.จะได้มีอำนาจในการมาพัฒนาภาคอีสาน และเรามั่นใจว่าชาวอีสานจะต้องเลือก พปชร.ทั้ง 133 เขต เพื่อให้ พปชร. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และใน 133 เสียง ที่เลือกเราเข้าไปในสภาจะไปยกมือสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ผมยืนยันว่าโครงการเหล่านี้ทำจริง ทำทันที แต่เราจะต้องมีนายกฯเป็นคนที่จะใช้อำนาจผลักดันโครงการดีๆ เหล่านี้ได้”นายสันติ กล่าว

ดั้งนั้น พปชร.จึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะก่อสร้างโครงการทางรถไฟรางคู่ จาก จ.บึงกาฬ ที่อยู่บนสุด ของอีสานวิ่งตรงลงมาผ่านภาคอีสานทางตะวันออกทั้งภาค มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเปิดโลกให้ชาวอีสาน

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับรถไฟรางคู่แบบใหม่ที่เราจะทำนั้น จะมีรางขนาด 1.435 ม. มาตรฐานเดียวกับรถไฟความเร็วสูง จะมีการสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ตลอดแนวเส้นทางรถไฟ จะมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่ง กว่า 6,000 โรงงาน โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมนำสมัย นอกจากนี้ จะมีการสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคมอุตสาหกรรม นิคมฯละ 2 แห่ง รวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือบก ซึ่งจะเป็นพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นก่อนที่จะมีการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกที่ภาคตะวันออก

สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการพัฒนาโครงการนี้ โดยเฉพาะการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยการดึงดูดนักลงทุนมาจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งเป้าหมายไว้ คาดว่าจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศไทย 4.5 ล้านล้านบาท โดยรัฐจะเป็นผู้เวนคืนที่ดินที่ต้องใช้ในการพัฒนานิคมแต่ละนิคมประมาณ 2 หมื่นไร่ เพื่อรองรับโรงงานประมาณ 1 พันโรงงาน โดยแต่ละโรงงานจะใช้เงินลงทุนประมาณ 750 ล้านบาท ทั้งนี้ มีหลายประเทศสนใจที่จะมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมและดึงโรงงานเข้ามาประมาณ 1 แห่ง อาทิ จีน และประเทศในยุโรปที่สนใจเข้ามาตั้งโรงงาน

อย่างไรก็ตาม นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. ได้กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ได้ยื่นนโยบายดังกล่าวต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 20 เมษายน 2566