โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: กิจกรรมพรรค

“รมว.ธรรมนัส” ถก สภาอุตฯตั้งกรอ.เกษตร เดินสู่เป้าหมาย ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้เกษตรกรไทย

,

“รมว.ธรรมนัส” ถก สภาอุตฯตั้งกรอ.เกษตร เดินสู่เป้าหมาย ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้เกษตรกรไทย

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประชุมหารือร่วมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำโดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อหารือแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือภาครัฐและเอกชนด้านการเกษตร (กรอ.กษ.) ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและยกระดับภาคการเกษตรไทยให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นกำลังสำคัญ จึงมีแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือภาครัฐและเอกชนด้านการเกษตร (กรอ.กษ.) โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถือเป็นกลไกที่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตร วันนี้จึงได้เชิญสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อหารือและเข้าร่วมในคณะ กรอ.กษ. โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการประสานหารือร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา
สำหรับประเด็นสำคัญที่ร่วมหารือกันในครั้งนี้ นอกจากแนวทางการจัดตั้งคณะ กรอ.กษ. ร่วมกันแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังได้หารือร่วมในประเด็นการส่งเสริมอาชีพให้กับแรงงานเกษตรที่เดินทางกลับจากอิสราเอล ซึ่งได้มีการลงนาม MOU ร่วมกันเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงแรงงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรจากแรงงานอิสราเอล สู่การพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ อันเป็นการพัฒนาแรงงานเกษตรให้พร้อมเข้าสู่การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมเกษตร หรือมีทักษะในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร ยกระดับภาคการเกษตรด้วยความรู้ ประสบการณ์ และความชำนาญของแรงงานที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่จากรัฐอิสราเอล ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกหน่วยงานจะร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในขณะนี้
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในคณะ กรอ.กษ. ชุดนี้ จะเป็นอีกพลังที่เข้มแข็งในการพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตร ตลอดจนสนับสนุนนโยบายรัฐบาลให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้โดยใช้ ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้วางเป้าหมายเพื่อยกระดับภาคเกษตร และช่วยเหลือเกษตรกรไทย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหา การพัฒนา ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้กับแรงงานเกษตรที่เดินทางกลับจากอิสราเอลในขณะนี้ ตลอดจนการเสริมศักยภาพเกษตรกรและยกระดับสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เพื่อให้เกษตรกรกินดีอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคง” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
โอกาสนี้ ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีความพร้อมและยินดีให้ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใน กรอ.กษ. นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยังได้เสนอ 4 แนวทางเพื่อยกระดับภาคการเกษตรไทยร่วมกัน ได้แก่ 1) ยกระดับวัตถุดิบการเกษตร ใช้มาตรฐานของไทย เช่น GAP และส่งเสริมการสร้างผู้ตรวจประเมินในระบบ Supplier Audit

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566

“จักรัตน์”ปธ.กมธ.จัดการน้ำฯเร่งเดินหน้าพิจารณา“แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี”เชิญ หลายหน่วยงายที่เกี่ยวข้องชี้แจง ชี้ ควรมีแนวทางจัดการน้ำในสถานการณ์ต่าง ๆ

,

“จักรัตน์”ปธ.กมธ.จัดการน้ำฯเร่งเดินหน้าพิจารณา“แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี”เชิญ หลายหน่วยงายที่เกี่ยวข้องชี้แจง ชี้ ควรมีแนวทางจัดการน้ำในสถานการณ์ต่าง ๆ

นายจักรัตน์ พั้วช่วย สส.จังหวัดเพชรบูรณ์ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการ(กมธ.)บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร เปิดผยว่า ถึงแม้จะอยู่ในช่วงปิดสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฏร ทางคณะกรรมาธิการยังเดินหน้าทำงาน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำที่ถือเป็นเรื่องสำคัญให้กับประชาชน โดยได้พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย และมีการเชิญกรมเจ้าท่า,กรมโยธาธิการและผังเมือง,กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น,การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาค มาให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2563 – 2580)และผลการดำเนินงานที่ผ่านมา โครงสร้าง หน้าที่ อำนาจ และงบประมาณของหน่วยงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สถานการณ์น้ำในปัจจุบันและการคาดการณ์สถานการณ์น้ำในปี 2567 ปัญหาและอุปสรรค

นายจักรัตน์ กล่าวต่อว่า จากการพิจารณาคณะกรรมาธิการเห็นว่า ควรมีแนวทางการขุดลอกคลองให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันถนนทรุด นอกจากนี้การกำจัดผักตบขวาในแม่น้ำลำคลองควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการร่วมกันเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และควรจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการถ่ายโอนภารกิจด้านแหล่งน้ำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเหมาะสม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาแนวทางป้องกันการสูญเสียน้ำในการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ

นอกจากนี้ กรรมาธิการยังได้เชิญสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ,กรมชลประทานกรมทรัพยากรน้ำ,กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)ซึ่งจาการประชุมร่วมกัน เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำต่อสถานการณ์ต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งและอุทกภัย และในส่วนของการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ควรให้ประชาชนในพื้นที่เกษตรกรรมมีส่วนร่วม นอกจากนี้ ยังพบว่ามีอีกหลายพื้นที่ที่ยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่อใช้ในการอุปโภคและบริโภค กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นหน่วยงานหนึ่งที่สามารถจัดการปัญหาดังกล่าวได้ตามแนวภารกิจของหน่วยงาน ในส่วนพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยน้ำเสียนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีแนวทางการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566

“รมว.ธรรมนัส” สตาร์ทกิจกรรมการกำจัดวัชพืชและผักตบชวา 17 จุดทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพลุ่มน้ำ เสริมศักยภาพส่งน้ำหนุนอุปโภคบริโภค ภาคเกษตร ให้ปชช.

,

“รมว.ธรรมนัส” สตาร์ทกิจกรรมการกำจัดวัชพืชและผักตบชวา 17 จุดทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพลุ่มน้ำ เสริมศักยภาพส่งน้ำหนุนอุปโภคบริโภค ภาคเกษตร ให้ปชช.

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน Kick Off กิจกรรมการกำจัดวัชพืชและผักตบชวา ในแม่น้ำลำคลองสายหลัก และกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ณ บริเวณคลองระพีพัฒน์แยกตก วัดลำพระยา ตำบลวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอีก 16 จุดทั่วประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร อุดรธานี ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี นครราชสีมา ชลบุรี ลพบุรี ชัยนาท กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สงขลา และนราธิวาส โดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกส่วนราชการและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ประชาชนจิตอาสา รวมถึงกำลังพลจิตอาสาของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ เพื่อพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และการส่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตรอย่างเต็มศักยภาพในพื้นที่
ทั้งนี้ ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการแพร่พันธุ์และเติบโตอย่างรวดเร็วในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งหมด 20 ลุ่มน้ำหลัก และ 359 ลุ่มน้ำสาขา ความยาวลำน้ำธรรมชาติประมาณ 522,455.73 กม. กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน มีคลองส่งน้ำและคลองระบายน้ำที่เชื่อมโยงกับลำน้ำธรรมชาติ รวมทั้งทางน้ำธรรมชาติที่ประกาศเป็นทางน้ำชลประทานตาม พรบ.ชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 5 และมาตรา 8 ซึ่งเป็นทางน้ำที่อยู่ในความดูแล รวมทั้งสิ้นจำนวน 10,004 สาย ความยาวประมาณ 59,412.03 กม. คิดเป็นร้อยละ 11.37 ของลำน้ำธรรมชาติทั้งหมด จึงได้เร่งดำเนินการกำจัดวัชพืชและผักตบชวา โดยในระยะแรกนี้ จะดำเนินการพร้อมกัน 17 จุดทั่วประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 8,000 คน และมีเป้าหมายในการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชในไตรมาสแรกรวมประมาณ 546,000 ตัน ทั้งนี้ ผลการปฏิบัติงานในปี 2566 ที่ผ่านมา กรมชลประทานได้ดำเนินการกำจัดวัชพืชกว่า 5,633,079 ตัน รวมพื้นที่กว่า 34,252 ไร่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ตามแนวพระราชดำริ “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” เพื่อให้ประชาชนมีความสมัครสมานสามัคคี มีความสุข และประเทศชาติมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน โดยเน้นการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ของทุกภาคส่วน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพื่อพัฒนาพื้นที่ด้านแหล่งน้ำในการใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรและความสุขต่อประชาชนและชุมชนส่วนรวมอย่างถาวร นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และตระหนักรู้เกี่ยวกับบทบาทความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้อง เกิดความรู้สึกเคารพ รัก เทิดทูน และร่วมปกป้องสถาบันหลักของประเทศชาติ อันประกอบด้วยสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566

“พิมพ์พร”สส. เพชรบูรณ์ ลุยยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.เดินหน้าโครงการฝึกอาชีพสานตะกร้าหวาย หวังชุมชนเข้มแข็ง ชาวบ้านมีรายได้ พร้อมวอนภาครัฐ เร่งแก้ปัญหาความเท่าเทียมทางการศึกษา

,

“พิมพ์พร”สส. เพชรบูรณ์ ลุยยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.เดินหน้าโครงการฝึกอาชีพสานตะกร้าหวาย หวังชุมชนเข้มแข็ง ชาวบ้านมีรายได้ พร้อมวอนภาครัฐ เร่งแก้ปัญหาความเท่าเทียมทางการศึกษา

น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)จ.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยถึงภารกิจระหว่างช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ตนได้ลงพื้นที่ตำบลห้วยใหญ่ เพื่อรับฟังปัญหาเรื่องกลุ่มผุู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยได้มีโอกาสร่วมมอบข้าวสาร และยาสามัญประจำบ้าน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือร่วมกับอบต.ห้วยใหญ่ อสม. และผู้นำท้องที่ท้องถิ่น ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในชุมชนยังต้องแก้ไขในเรื่องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาให้ทั่วถึงมากขึ้น

น.ส.พิมพ์พร กล่าวต่อว่า ปัญหาผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทยตอนนี้ ต้นเหตุของปัญหาล้วนมาจากเรื่องการศึกษา ดังนั้นการสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการแก้ไข เพราะวันนี้ปัญหาส่วนหนึ่งของเด็กที่ไม่ได้เข้าเรียนตามปกติ มักจะมีเหตุมาจากผู้ปกครองมีข้อจำกัด หรือมีความจำเป็น หรือไม่สามารถเข้าเรียนได้ เช่น อาจเป็นกลุ่มเปราะบาง ผู้พิการ หรือผู้ด้อยโอกาสที่มีฐานะยากจน

น.ส.พิมพ์พร ยังกล่าวถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ว่า ตนได้ร่วมทำโครงการพัฒนาศักยภาพสตรี ตำบลสะเดียง ซึ่งเป็นการฝึกอาชีพสานตะกร้าหวายเทียม ร่วมกับประธานกรรมการพัฒนาสตรี ทั้ง 13 หมู่บ้าน และชาวบ้านผู้ให้ความสนใจในการฝึกอาชีพสานตะกร้าหวายเทียม ซึ่งถือว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวบ้านและชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้

“โครงการที่ดูเหมือนจะมีขนาดเล็ก ๆ แต่จะก่อนให้เกิดการพัฒนานวัตกรที่เป็นผู้รู้ภายในชุมชน ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นโครงการชาวบ้านชุมชนจะสามารถพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ และชุมชนสามารถเรียนรู้ที่จะคิดต่อยอดและพัฒนาได้ด้วยตนเอง”น.ส.พิมพ์พร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 16 พฤศจิกายน 2566

พล.อ.ประวิตร หน.พรรค พปชร. ประธานกฐิน ทอดถวาย วัดเกาะแก้ว-วัดโพธิ์เผือก จ.อยุธยา ศรัทธามุ่งมั่น สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป

,

พล.อ.ประวิตร หน.พรรค พปชร. ประธานกฐิน ทอดถวาย วัดเกาะแก้ว-วัดโพธิ์เผือก จ.อยุธยา ศรัทธามุ่งมั่น สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป

เมื่อ 11 พ.ย.66 ,0900น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีทอดกฐินสามัคคี ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ณ วัดเกาะแก้วและวัดโพธิ์เผือก เพื่อสืบทอดพุทธประเพณี และสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน สืบไป พร้อมทั้งได้ถวายจตุปัจจัยสมทบทุน บูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะ สถานของทั้ง2วัด สำหรับ ณ วัดโพธิ์เผือก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังได้ประกอบพิธี ทักษิณานุประทานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แด่ คุณแม่สายสนี วงษ์สุวรรณ ด้วยในโอกาสเดียวกัน

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณได้เดินทางมาทอดกฐินสามัคคี ณ วัดเกาะแก้วและวัดโพธิ์เผือก อ.พระนครศรีอยุธยา จ. พระนครศรีอยุธยา ทั้ง2แห่งนี้ เป็นประจำทุกปี พร้อมทักทายประชาชน สาธุชน ด้วยความกระฉับกระเฉง ที่มาร่วมทำบุญในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ท่ามกลางบรรยากาศให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง และอบอุ่น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 พฤศจิกายน 2566

“สันติ” รมช.สธ.ส่งเสริมอาหารไทย กินเป็นยาเสริมสุขภาพสร้างศก.ท้องถิ่น

,

“สันติ” รมช.สธ.ส่งเสริมอาหารไทย กินเป็นยาเสริมสุขภาพสร้างศก.ท้องถิ่น

หนุนกรมการแพทย์แผนไทยฯวิจัยสรรพคุณพืชสมุนไพรทุกภูมิภาค

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานเสวนาทางวิชาการและนิทรรศการอาหารเป็นยาครั้งที่ 1/2566 ภายใต้แนวคิด “อาหารไทยถิ่น กินเป็นยา” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-12 พฤศจิกายน 2566 โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการนำอาหารไทย สมุนไพรไทย มาช่วยสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสร้างกระแสให้ประชาชนหันมาใส่ใจการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น บริเวณลาน MBK Avenue A ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร

นายสันติ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวมีส่วนสนับสนุนในการสร้างรายได้ให้กับประเทศสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชนจำนวนมาก การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้านอาหารสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศนับแสนล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจด้านอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ ที่มีความสำคัญยิ่งต่อการท่องเที่ยวจากข้อมูลของกรมการท่องเที่ยวจะเห็นได้ว่า รายได้จากการท่องเที่ยวในด้านอาหาร มีสัดส่วนถึง 20 % ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดของประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมากเนื่องจากอาหารเป็นสิ่งจำเป็นสามารถสอดแทรกอยู่ในทุก ๆ การท่องเที่ยว และทุกช่วงเวลา อาหารไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศหลายรายการจนเกิดเป็นรายการอาหารประจำชาติที่นักท่องเที่ยวรู้จักอย่างแพร่หลาย

“รัฐบาลได้กำหนดรายการอาหาร ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไว้จำนวน 6 รายการ ได้แก่ ผัดไทย ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน ส้มตำ มัสมั่น และต้มข่าไก่ นอกจากนี้มีรายการอาหารที่น่าสนใจมากมายที่ควรส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักมากยิ่งขึ้น เช่น ผัดกะเพรา ผัดฉ่า เครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ได้ ” นายสันติ กล่าว

นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมโภชนาการอาหารไทยเพื่อสุขภาพให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ได้ตระหนักรับรู้ว่าอาหารไทย สมุนไพรไทย มีคุณค่าได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารไทยที่ถูกต้อง สอดแทรกด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย สามารถให้คำแนะนำเมนูอาหารในการดูแลสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยว และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเบื้องต้นได้ เช่น ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ นอนไม่หลับ ท้องผูก ช่วยสร้างมูลค่าและคุณค่าของอาหารไทย เป็นการผสม “ศาสตร์” ความชำนาญการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กับ “ศิลป์” ความพิถีพิถันความละเอียดอ่อนในการปรุงอาหารไทยได้เป็นอย่างดี และยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวหันมาสนใจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากยิ่งขึ้น

นายสันติ กล่าวต่อว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทำงานวิจัยสรรพคุณของพืชสมุนไพรของไทยที่มีจำนวนนับหมื่นชนิดพืชพันธุ์ให้กับประชาชนไทยรับประทานเป็นอาหารและเสริมสร้างสุขภาพแล้ว ในต่างประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา ยังได้สั่งพืชสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้ ไปทำการวิจัยเป็นยาปรุงอาหารอีกด้วย นำไปสู่การสร้างเสริมเศรษฐกิจให้กับประเทศ

“ประเทศไทยมีพืชที่เป็นสมุนไพรและนำมาใช้รักษาโรคกันเป็นนับร้อยปี เรามีสมุนไพรมากมายทั่วทุกภูมิภาคของไทย ตั้งแต่เหนือสุดยันใต้สุด ทางกระทรวงสาธารณสุขมีความตั้งใจที่จะพัฒนาพืชสมุนไพรให้เป็นที่รู้จักและไม่รู้จัก ได้วิจัยและประชาสัมพันธ์ให้รับรู้ถึงประโยชน์และสรรพคุณต่างๆ โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสมุนไพรเพื่อพี่น้องประชาชนได้ทานเป็นสมุนไพรเป็นยา จึงมีนโยบายวิจัยพืชสมุนไพรแต่ละชนิด ในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ว่ามีสรรณคุณอย่างอย่างไร เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชนได้รับทราบ” นายสันติ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 พฤศจิกายน 2566

“สันติ” รมช.สธ.กำชับหน่วยบริการสาธารณสุขจ.เพชรบูรณ์ “เตรียมพร้อมบริการการแพทย์ฉุกเฉินรับฤดูกาลท่องเที่ยว”

,

“สันติ” รมช.สธ.กำชับหน่วยบริการสาธารณสุขจ.เพชรบูรณ์
“เตรียมพร้อมบริการการแพทย์ฉุกเฉินรับฤดูกาลท่องเที่ยว”

วันที่ 29 ตุลาคม 2566 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการดำเนินงานห้องฉุกเฉินคุณภาพ หน่วยบริการฟอกไต พร้อมมอบของเยี่ยมไข้ผู้ป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ให้การต้อนรับ
นายสันติ กล่าวว่า ได้กำชับให้หน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่เตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพประชาชนโดยเฉพาะในช่วงใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวที่ประชาชนจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศและโรคต่างๆที่อาจแพร่ระบาดได้มากขึ้น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม เป็นต้น ดังนั้นจำเป็นต้องมีการบูรณาการกับเครือข่ายในพื้นที่เพื่อจัดระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน รองรับให้เพียงพอกับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือน จ.เพชรบูรณ์ที่คาดว่าจะปริมาณเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้
“ ฤดูหนาวของทุกปีเป็นช่วงที่ประชาชนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ภูเขาหรือยอดดอยมากขึ้น และ จ.เพชรบูรณ์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญ เนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จึงได้กำชับให้หน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่เตรียมพร้อมดูแลประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น”นายสันติกล่าว
สำหรับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่าเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 90 เตียง ดูแลประชากรในพื้นที่ ประมาณ 54,000 คน ได้เตรียมการตามนโยบายนักท่องเที่ยวปลอดภัยของกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดยมีระบบห้องฉุกเฉินคุณภาพ Smart EMS ที่ได้รับการรับรองเป็นอำเภอที่ดำเนินการป้องกันการบาดเจ็บทางจราจรทางถนน (D-RTI) ระดับดีเยี่ยม (Advance) มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบบริการ พร้อมแพทย์ พยาบาล นักเวชปฏิบัติฉุกเฉิน ประจำตลอด 24 ชั่วโมง มีระบบคัดแยกผู้ป่วยทำให้ได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็วตามลำดับความเร่งด่วน และยังมีช่องทางด่วน (Fast Track) ในกลุ่มโรคที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โดยมีโรงพยาบาลหล่มสัก และโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เป็นเครือข่ายในระบบส่งรักษาต่อ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างไร้รอยต่อ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 30 ตุลาคม 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาท” นั่งประธานกก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติตั้งคณะกรรมการระดับชาติยกระดับ 30 มาตรการแก้ไขปัญหา PM. 2.5

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท” นั่งประธานกก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติตั้งคณะกรรมการระดับชาติยกระดับ 30 มาตรการแก้ไขปัญหา PM. 2.5

พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่สการกระทรวงสาธารณสุข นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2567 ประกอบด้วย การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และ “มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2567” พร้อมทั้งได้เสนอคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง หมอกควัน และฝุ่นละออง ให้เป็นกลไกการบริหารจัดการทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ เพื่อยกระดับมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งการเผาในพื้นที่ป่า พื้นที่โล่ง และพื้นที่การเกษตร และหมอกควันข้ามแดน มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ปัญหาหมอกควันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

รมว. ทส. กล่าวว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ยังได้เห็นชอบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2566 โดยพบว่า สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ดีขึ้น มีการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมงเพิ่มขึ้น และอัตราพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ เมืองพัทยา และเทศบาลนครมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นต้น นอกจากนั้น ยังได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระยะสั้น เช่น แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กจากภาคเกษตร ที่ต้องขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเป็นการเร่งด่วน

ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าว ยังได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระยะยาว อาทิ การเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตรในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งได้เห็นชอบ (ร่าง) รายงานสถานการณ์ดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ปี 2566 เพื่อใช้ในการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลการประเมินดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อม (EPI) ของประเทศไทยใน 3 แนวทาง และเห็นชอบ (ร่าง) แผนการบริหารจัดการ EPI ของประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล

“ทส. ได้สนองนโยบายของนายกรัฐมนตรีเป็นการเร่งด่วน โดยจัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ณ ห้อง 301 ชั้น 3 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลสถานการณ์ฝุ่นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง จัดให้มีรายงานสถานการณ์ประจำวัน และการคาดการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในทุกวัน ช่วงเวลา 14.00 น. ผ่านช่องทาง Facebook live ของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมพร้อมแนวทางการปฏิบัติตัว มีการรายงานสถานการณ์ประจำสัปดาห์ พยากรณ์สถานการณ์ฝุ่น 7 วันล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนล่วงหน้าในการปฏิบัติตัวในช่วงอาทิตย์นั้น พร้อมทั้งจัดให้มีการรายงานกรณีพิเศษเมื่อมีเหตุการณ์วิกฤติ ในกรณีสถานการณ์ PM 2.5 เข้าขั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือมีเหตุการณ์ที่สำคัญ” พลตำรวจเอก พัชรวาท กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 27 ตุลาคม 2566

“สันติ” รมช.สธ. คิกออฟ รณรงค์เพิ่มทักษะเด็กไทยว่ายน้ำ หนุนสร้างทีมผู้ก่อการดีครบคลุมทุกตำบลปกป้องเด็กเอาชีวิตรอด

,

“สันติ” รมช.สธ. คิกออฟ รณรงค์เพิ่มทักษะเด็กไทยว่ายน้ำ หนุนสร้างทีมผู้ก่อการดีครบคลุมทุกตำบลปกป้องเด็กเอาชีวิตรอด

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2566 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมรณรงค์ “Survival Swimming Skills เพื่อเด็กไทยไม่จมน้ำ” โดยมีเด็กที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 300 คน และ 3,000 คน จาก 15 จังหวัด ที่ร่วมกิจกรรมตลอดเดือนตุลาคม ได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติทักษะเบื้องต้นในการเอาชีวิตรอดทางน้ำ การช่วยเหลือคนตกน้ำ การที่ทำซีพีอาร์ช่วยคนจมน้ำ และจะขยายผลไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศในการร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับหน่วยงานในพื้นที่ และการเร่งดำเนินการส่งเสริมให้เกิดการสร้างทีมผู้ก่อการดี ป้องกันการจมน้ำ ให้ครอบคลุมทุกตำบล เพื่อเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยมี นายแพทย์ ธงชัย กีรติฟัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ บริเวณสระว่ายน้ำกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี

นายสันติ กล่าวว่า การจมน้ำเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ทั้งในระดับโลกและประเทศไทย จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า ในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-14 ปี จมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 1 มากกว่าการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อ และมากกว่าไข้เลือดออกถึง 13 เท่าตัวองค์การสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการจมน้ำจนเกิดเป็นฉันทามติร่วมกันครั้งแรกในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 โดยเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการป้องกันการจมน้ำ และล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 สมัชชาอนามัยโลกได้รับมติ Accelerating Action on Global Drowning Prevention

รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันการจมน้ำเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำตามมติสหประชาชาติ ภายใต้คณะอนุกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การสอนให้เด็กทุกคนมีความรู้เรื่องความปลอดภัยทางน้ำ มีทักษะการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด และการปฐมพยาบาล ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำให้เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปทุกคน มีทักษะการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป สามารถทำซีพีอาร์ได้ รวมถึงการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน มีนโยบายในการเติมเต็มบริการสุขภาพเพื่อประชาชนในทุกมิติ ด้วยการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค ภายใต้บริบทในปัจจุบันที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบกระทรวงสาธารณสุขจึงผลักดันนโยบายส่งเสริมการมีบุตร เพิ่มอัตราการเกิดของเด็กที่เกิดมามีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีชีวิตรอดปลอดภัย ซึ่งการปกป้องคุ้มครองเด็ก ไม่ให้เสียชีวิตจากการจมน้ำเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญ ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อแก้ปัญหาการเสียชีวิตของเยาวชนก่อนวัยอันควร

“สถิติการเสียชีวิตของเด็กที่จมน้ำนั้นส่วนใหญ่อยู่ในชนบท เมื่อว่างจากการเรียนเด็กก็จะไปลงเล่นน้ำเป็นกลุ่มในพื้นที่บ่อน้ำสาธารณะ การจัดกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้จึงเป็นการฝึกให้เด็กช่วยกันเอง ให้เกิดทักษะในการลอยน้ำ หรือใช้วิธีการง่ายๆ แบบบ้านๆ โดยการใช้อุปกรณ์ ซึ่งทำขึ้นจากท้องถิ่น เช่นกล่อง หรือวัสดุอะไรก็ตามที่สามารถลอยน้ำได้เพื่อช่วยพยุงตัวเอง ก็สามารถช่วยให้เด็กรอดจากการจมน้ำได้ ซึ่งถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญในท้องถิ่นต่างจังหวัด ขณะเดียวกัน มีความเป็นไปได้ ในการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ให้เยาวชน มีการนำกิจกรรมดังกล่าว ไปฝึกฝนในการเรียนการสอน เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะดำเนินการเป็นนโยบายร่วมกัน” นายสันติ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 ตุลาคม 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาท” ห่วงประชาชน เร่งรัด ยกระดับ การปฏิบัติงาน ศูนย์แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เน้นแจ้งเตือนล่วงหน้า ชงตั้งคณะกรรมการชาติจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท” ห่วงประชาชน เร่งรัด ยกระดับ การปฏิบัติงาน ศูนย์แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เน้นแจ้งเตือนล่วงหน้า ชงตั้งคณะกรรมการชาติจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ

วันนี้ (25 ตุลาคม 2566) พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจติดตามความพร้อมการปฏิบัติงานของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ตามที่นายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ได้มีข้อห่วงใยต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเฝ้าระวังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งดำเนินการเตรียมการรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ในทุกมิติ พร้อมยกระดับการสื่อสารแจ้งเตือนไปสู่ประชาชน

ทั้งนี้พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ตรวจเยี่ยมห้องปฏิบัติการศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ พร้อมรับฟังแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์ฯ การคาดการณ์พยากรณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กล่วงหน้า การแสดงค่าผลการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก และการเป็นศูนย์สื่อสารเพื่อยกระดับการแจ้งเตือนไปสู่ประชาชน และได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับติดตามการปฏิบัติงานของศูนย์ฯ เพิ่มความคล่องตัว ในสื่อสาเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนเข้าใจง่าย เพื่อให้ข้อมูลถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์ พร้อมทั้งมีการประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดเอกภาพในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ได้รับข้อสั่งการจากท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เร่งยกระดับการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นในทันที หลังเริ่มพบปรากฎการณ์ฝุ่นแล้วในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตามที่ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงฯ ได้เตรียมความพร้อมกำหนดมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 นี้ ที่มีการปรับค่ามาตรฐานฝุ่นละออง PM2.5 ให้มีความเข้มขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2566 ท่านรองนายกรัฐมนตรีฯ จึงได้กำชับให้ยกระดับการสื่อสารแจ้งเตือนไปสู่ประชาชน และยกระดับกลไกการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ทั้งในระดับชาติ และระดับจังหวัด โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ (26 ตุลาคม 2566) นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน เพื่อเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดหมอกควันและฝุ่นละอองทั้งระบบ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ในการยกระดับการสื่อสารแจ้งเตือนไปสู่ประชาชน นับจากวันนี้ไป ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลสถานการณ์ฝุ่นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
ระดับที่ 1 การรายงานสถานการณ์ประจำวัน และการคาดการณ์ฝุ่น PM2.5 ในทุกวัน ช่วงเวลา 14.00 น. ผ่านช่องทาง Facebook live ของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมพร้อมแนวทางการปฏิบัติตัว
ระดับที่ 2 การรายงานสถานการณ์ประจำสัปดาห์ พยากรณ์สถานการณ์ฝุ่น 7 วันล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนล่วงหน้าในการปฏิบัติตัวในช่วงอาทิตย์นั้น โดยจะเป็นการรายงานร่วมกัน 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และ ผู้ว่าราชการจังหวัด
ระดับที่ 3 การรายงานกรณีพิเศษเมื่อมีเหตุการณ์วิกฤติ ในกรณีสถานการณ์ PM2.5 เข้าขั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือมีเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น ปัญหาหมอกควันข้ามแดนเข้ามามีผลกระทบต่อประเทศไทย จะให้ ศกพ. รายงานสถานการณ์ต่อประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งแนวทางการปฏิบัติตน
ระดับที่ 4 กรณีมีประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ จะจัดให้มีการสื่อสาร เสวนา โดย ศกพ. เชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาให้ความรู้ และความเข้าใจต่อประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน และประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 ตุลาคม 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาท” นำทีมพปชร.รวมพลังสามัคคี รุกสานต่อนโยบายช่วยเหลือประชาชนกินดีอยู่ดี

,

“พล.ต.อ.พัชรวาท” นำทีมพปชร.รวมพลังสามัคคี
รุกสานต่อนโยบายช่วยเหลือประชาชนกินดีอยู่ดี

วันที่ 21 ตุลาคม 2566 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท จ.ภูเก็ต – พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดสัมมนาพรรคในหัวข้อ “รวมพลังสามัคคี” โดยมีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ ได้รับมอบหมาย จากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ เป็นประธานในการเปิดสัมมนา พร้อมด้วยผู้บริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส. และกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ทั้ง 8 ด้านของพรรค ร่วมสัมมนาอย่างพร้อมเพรียง

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้กล่าวเปิดสัมมนาในครั้งนี้ว่า ขอต้อนรับสส. ทุกคน คณะกรรมการบริหารพรรค กรรมการยุทธศาสตร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ตนในฐานะตัวแทนพลเอกประวิตร มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบกับทุกท่านในการสัมมนาอุดมการณ์ผ่านผลงานของพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ถือเป็นการสัมมนาเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนได้สร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน รวมหัวใจพลังประชารัฐให้เป็นหนึ่งเดียว

ทั้งนี้ในยุทธศาสตร์ของพรรคในผลงานที่ผ่านมาโดยพรรคพลังประชารัฐก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2561 และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีนโยบายที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งเน้นในการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เป็นประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ ไร้ความขัดแย้งและมุ่งเน้นในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนที่ถือเป็นเจตนารมย์อันดีที่ดำรงไว้ในข้อบังคับของพรรคด้วย

ในช่วงที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา ก็ได้สร้างผลงานเพื่อเป็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ การดูแลประชาชนให้กินดีอยู่ดี จัดการที่ดินทำกิน และยังได้มีโยบายใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทางพรรคตระหนักถึงความท้าทายที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพรรคที่ได้เสนอเอาไว้ ซึ่งพรรคก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเชิงยุทธศาสตร์ในการเข้ามาปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ ตนขอให้บุคลากรของพรรคทุกท่านร่วมแรง ร่วมใจกันทำงานเพื่อประชาชน ไปด้วยกันสุดท้ายนี้ผมขอให้การสัมมนาในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและลุล่วงทุกประการ

อย่างไรก็ตาม การสัมมนาในวันนี้ มีคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรรพลังประชารัฐ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง ประกอบด้วย รองหัวหน้าพรรค 5 คน ได้แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์,นายวิรัช รัตนเศรษฐ,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์,นายไพบูลย์ นิติตะวัน,น.ส.ตรีนุช เทียนทอง และนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นอกจากนี้ ยังมีทีมยุทธศาสตร์ของพรรคทั้ง 8 คณะ ประกอบด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานกรรมการด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์,นายอุตตม สาวนายน ประธานกรรมการด้านนโยบายและการปฏิรูปเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ประธานกรรมการด้านความสัมพันธ์องค์กรและการต่างประเทศ,พล.ต.อ. ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ประธานกรรมการด้านประสานงานและอำนวยการ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 22 ตุลาคม 2566

“พล.ต.อ.พัชรวาทฯรับข้อห่วงใยนายกรัฐมนตรีถึงการลักลอบค้าสัตว์ป่า สั่งกรมอุทยาน ทุกหน่วยปราบปราม ลักลอบค้าสัตว์ป่าตามแนวชายแดน ทุกแหล่งค้าในประเทศ ประสานศุลกากร ตำรวจ ทหาร จับกุมขบวนการข้ามชาติ

,

“พล.ต.อ.พัชรวาทฯรับข้อห่วงใยนายกรัฐมนตรีถึงการลักลอบค้าสัตว์ป่า สั่งกรมอุทยาน ทุกหน่วยปราบปราม ลักลอบค้าสัตว์ป่าตามแนวชายแดน ทุกแหล่งค้าในประเทศ ประสานศุลกากร ตำรวจ ทหาร จับกุมขบวนการข้ามชาติ

วันที่ 13 ตุลาคม 2566 ที่ห้องประชุมหน่วยข่าวกรองอาชญากรรมสัตว์ป่า (WILDLIFE CRIME INTELLIGENCE UNIT) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เป็นประธานการประชุม โดยได้กล่าวว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยการลักลอบค้าสัตว์ป่าผ่านชายแดนประเทศไทยและมาเลเซีย
ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมีข้อสั่งการเกี่ยวกับการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายภายในประเทศและบริเวณแนวชายแดน จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว จุดผ่อนปรน ช่องทางธรรมชาติ ซึ่งอยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการที่พล.ต.อ.พัชรวาทฯ ได้มีนโยบายด้านการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยมุ่งถอนรากถอนโคนกลุ่มขบวนการให้ได้ ปัญหาหนึ่งก็คือการลักลอบนำสัตว์ป่าผิดกฎหมายผ่านเข้าออกบริเวณจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว จุดผ่อนปรน ตลอดจนช่องทางธรรมชาติต่างๆ

ทั้งนี้ได้มีการเรียกประชุมด่วน นำโดยนายประเสริฐ สอนสถาพรกุล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา (ไซเตส) หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าทั่วประเทศ จำนวน 47 ด่าน นายพนัชกร โพธิบัณฑิต ผู้อำนวยการส่วนยุทธการด้านการป้องกันและปราบปราม นายนาวี ช้างภิรมย์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการเหยี่ยวดง นายยุทธพงศ์ ดำศรีสุข เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาเสือ สำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายให้เข้มงวดรัดกุมมากยิ่งขึ้น

โดยได้รับรายงานจากหัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่า ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ว่าสถานการณ์การลักลอบค้าสัตว์ป่าในปัจจุบัน ยังปรากฏอยู่บ้าง โดยเฉพาะการลักลอบนำสัตว์ป่าผิดกฏหมายผ่านช่องทางธรรมชาติต่างๆ โดยได้รับรายงานจากหัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าเชียงของ

ว่าเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการตรวจยึดซากสัตว์ป่าที่ลักลอบนำเข้ามาจากจากประเทศเพื่อนบ้าน บรรจุใส่ถุงเข้ามาขายในฝั่งประเทศไทยประกอบด้วย ซากเม่นใหญ่ ซากเก้ง และหมีขอ จึงได้ตรวจยึดดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้ว สำหรับด่านตรวจสัตว์ป่าซึ่งอยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่อื่นๆ ทราบว่ามีการกระทำผิดในลักษณะเดียวกันปรากฏอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม นายอรรถพลฯได้มอบหมายและสั่งการในที่ประชุมเพื่อกำหนดแผนการปฎิบัติโดยเร่งด่วนต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 15 ตุลาคม 2566