โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ปี: 2024

“พรรคพลังประชารัฐเสนอ ยกเลิกมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐาน มอก. 2333 เพื่อป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมกลับรถโดยสารที่ใช้ก๊าซ NGV ซ้ำอีก”

,

“พรรคพลังประชารัฐเสนอ ยกเลิกมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐาน มอก. 2333 เพื่อป้องกันมิให้เกิดโศกนาฏกรรมกลับรถโดยสารที่ใช้ก๊าซ NGV ซ้ำอีก”

วันที่ 24 ตุลาคม 2567 พรรคพลังประชารัฐ นำโดย ดร. ม.ล. กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค และนายชัยมงคล ไชบรบ รองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย สส. ของพรรค ได้ยื่นหนังสือด่วนต่อ นายเอกนัฐ พร้อมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ยกเลิก มาตรฐาน มอก. 2333 ที่ใช้ติดตั้งระบบก๊าซ NGV ทันที เพราะเปิดช่องให้ไม่ต้อง ปฏิบัติตาม มาตรฐานความปลอดภัยสากล
มาตรฐาน ECE  R110 และ ISO 15501 กำหนดว่า ถังก๊าซ NGV ต้องมีลิ้นเปิดปิดอัตโนมัติ (วาร์วไฟฟ้า) เพื่อควบคุมการรั่วของก๊าซท่อก๊าซแตก แต่มาตรฐาน มอก. 2333 ระบุว่า ผู้ติดตั้งเลือกได้ว่า จะใช้ ลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือ หรือ ลิ้นเปิด-ปิดอัตโนมัติ  (วาร์วไฟฟ้า) ก็ได้ ดังนั้น รถโดยสารสาธารณะส่วนใหญ่จึงติดตั้งเพียงลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือที่ถังแต่ละใบ เพราะมีราคาถูกกว่า เมื่อเกิดอุบัติจึงขาดอุปกรณ์ตัดก๊าซจากหัวถัง เพราะคงไม่มีใครสามารถเอามือไปหมุนลิ้นเปิด-ปิดด้วยมือได้ขณะเกิดเพลิงไหม้

ลิ้นเปิดปิดอัตโนมัติ (วาร์วไฟฟ้า) ประจำหัวถัง ถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นในการป้องกันเพลิงไหม้ตามมาตรฐานยุโรป และ ISO กรณี รถบัสนักเรียนเพลาหน้าหักจนท่อก๊าซหลุด หากการติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานสากลแล้ว วาร์วไฟฟ้าจะตัดการจ่ายเชื้อเพลิงทันที โศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น

พรรคพลังประชารัฐ เห็นว่า การเรียกรถโดยสารเข้ามาตรวจสอบตามระเบียบเดิมที่มีอยู่ จะไม่บรรลุมาตรฐานความปลอดภัยสากลอย่างแน่นอน และการห้ามการมีถังก๊าซ NGV ในห้องโดยสารหรือใต้ท้องรถ ก็ต้องให้เวลาผู้ประกอบการในการแก้ไข แต่การยกเลิกมาตรฐาน มอก. 2333 พร้อมรณรงค์ให้เร่งติดตั้งลิ้นเปิดปิดอัตโนมัติ (วาร์วไฟฟ้า) ที่ถังก๊าซในรถขนส่งสาธารณะจะช่วยป้องกันปัญหาได้อย่างฉับพลัน

พรรคพลังประชารัฐตั้งข้อสังเกตุว่า ในปี 2547 รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายการใช้ก๊าซ NGV ในยานยนต์ โดยรณรงค์ว่า ก๊าซ NGV ปลอดภัยติดไฟยากกว่าเชื้อเพลิงทุกชนิด ซึ่งเป็นสภาพในอุดมคติที่ไม่มีประกายไฟ การรณรงค์เช่นนี้ นำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนถึงอันตรายของก๊าซ NGV อันเป็นต้นเหตุนำไปสู่มาตรฐาน มอก. 2333 ที่หละหลวม จึงควรทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนเป็นการเร่งด่วนที่สุด

“สส.อัคร” ปลื้ม เป็นตัวแทนอภิปรายในฐานะยุวสมาชิก บนเวทีประชุม 149th IPU ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผย ได้เปิดมุมมองใหม่ นำมาใช้ในการทำงานการเมือง

,

“สส.อัคร” ปลื้ม เป็นตัวแทนอภิปรายในฐานะยุวสมาชิก บนเวทีประชุม 149th IPU ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผย ได้เปิดมุมมองใหม่ นำมาใช้ในการทำงานการเมือง
     
นายอัคร ทองใจสด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เป็นตัวแทนของรัฐสภาไทย เดินทางไปประชุมสหภาพรัฐสภาที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 11-18 ต.ค.ที่ผ่านมา และได้เป็นตัวแทนขึ้นอภิปรายในฐานะยุวสมาชิกในหัวข้อ “Science Technology and Innovation” ในการประชุม 149th IPU ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งการได้รับเกียรติขึ้นอภิปรายในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วบนเวทีโลกแห่งนี้

“นอกจากการประชุมในเวทีรัฐสภาโลกแล้วยังได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนสส.ในอีกหลายๆประเทศ ซึ่งได้มีการยกประเด็นยุวสมาชิกและนโยบายที่อาจเป็นประโยชน์ต่อแต่ละประเทศมาหารืออีกด้วยครับ” นายอัคร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 ตุลาคม 2567

“บิ๊กป้อม” ขยับ ปรับทัพใหม่ เซ็นตั้ง “ชาญกฤช-พล.ต.ท.ปิยะ” คุมสื่อสารทางการเมืองเข้มข้น

,

“พล.อ.ประวิตร” ปรับทัพ เซ็นตั้ง “ชาญกฤช-พล.ต.ท.ปิยะ” ดูแลการสื่อสารทางการเมือง เข้มข้น ทันสมัย หวังเพิ่มกลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงรวดเร็ว เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา มอบหมายให้นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ และ พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลสั่งการฝ่ายสื่อสารทางการเมืองและเทคโนโลยี เพื่อดูแลการสื่อสารภารกิจขององค์กรผ่านสื่อทั่วไปและสื่อสมัยใหม่ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ และสื่อโซเชียล ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สร้างความเข้าใจอันดีต่อประชาชนและสังคม เสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรและบุคลากรของพรรคฯ ให้ตรงจุดและเกิดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเสริมสร้างและรักษาสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับประชาชนในยุคที่การสื่อสารเปลี่ยนแปลงไป ภายหลังเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น และมีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

สำหรับฝ่ายสื่อสารทางการเมืองและเทคโนโลยี มีหน้าที่วิเคราะห์ กำหนดแนวทาง ประเด็นและสนับสนุนเนื้อหาการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและภารกิจต่างๆ ภายในพรรคฯ ผ่านสื่อหลัก สื่อโซเชียล และสื่อสมัยใหม่ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบุคลากรและพรรคพลังประชารัฐ ตลอดจนเก็บรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร เพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองและปรับการสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ที่มา: https://www.tnnthailand.com/news/politics/179165
วันที่: 21 ตุลาคม 2567

“ไพบูลย์” เผย พปชร.มีคำสั่งให้ “สามารถ” พ้นจากการตำแหน่งรองโฆษกพรรคแล้ว พร้อมติดตามความคืบหน้าคดีดิไอคอน ก่อนรายงาน กก.บห.29 ต.ค.นี้

,

“ไพบูลย์” เผย พปชร.มีคำสั่งให้ “สามารถ” พ้นจากการตำแหน่งรองโฆษกพรรคแล้ว พร้อมติดตามความคืบหน้าคดีดิไอคอน ก่อนรายงาน กก.บห.29 ต.ค.นี้

18 ตุลาคม 2567 นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวานนี้เจ้าพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. นำตัวกลุ่มผู้ต้องหาของดิไอคอน กรุ๊ป จำนวน 17 คน มายื่นขอฝากขังต่อศาลอาญา และส่งตัวไปฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลางนั้น และในคดีดิไอคอน กรุ๊ป คาดว่าเจ้าพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.จะมีการสอบสวนขยายผลเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งอาจจะมีการสอบสวนพาดพิงไปถึงบุคคลในพรรคพลังประชารัฐอย่างใดหรือไม่

ดังนั้นเพื่อความสงบเรียบร้อยในการดำเนินงานของพรรคพลังประชารัฐ ตนในฐานะเลขาธิการพรรคจึงเสนอหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐออกคำสั่งให้นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช พ้นจากการดำรงตำแหน่งรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ตนจะติดตามความคืบหน้าการสอบสวนดำเนินคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของเจ้าพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.ว่ามีความคืบหน้าเป็นประการใด เพื่อเสนอรายงานและความเห็นต่อที่ประชุม คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ในคราวประชุมวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 นี้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18ตุลาคม 2567

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผย พปชร.ตั้ง “สนธิรัตน์” เป็นหัวหน้าทีมศึกษาข้อมูลยกเลิก MOU 2544 ประกาศ ไม่ยอมให้เสียผืนแผ่นดินไทย

,

“พล.ต.ท.ปิยะ” เผย พปชร.ตั้ง “สนธิรัตน์” เป็นหัวหน้าทีมศึกษาข้อมูลยกเลิก MOU 2544 ประกาศ ไม่ยอมให้เสียผืนแผ่นดินไทย

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พปชร. ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานว่า          ที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ซึ่งสส.และสมาชิกพรรคได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยมาอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้หารือถึงประเด็นการยกเลิก MOU 2544 โดย พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า เกาะกูดเป็นพื้นที่และอาณาเขตของประเทศไทย โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านทรงมีพระราชดำรัสว่า เกาะกูดแห่งนี้เป็นพื้นที่ของแผ่นดินไทย พรรคพลังประชารัฐจะทำทุกวิถีทาง เพื่อรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตอาณาจักรของประเทศไทย โดยเฉพาะเกาะกูดจะต้องเป็นของคนไทยทุกคนจะไม่มีการแบ่งเกาะกูดไปให้กับประเทศอื่นประเทศใด เพื่อประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใดหรือครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวใดเป็นอันขาด

“พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าทีมในการศึกษาข้อมูลการยกเลิก MOU 2544 เชิงลึก เพื่อทำทุกวิถีทางในรักษาไว้ซึ่งพื้นแผ่นดินไทย โดยเราจะไม่ยอมเสียผืนแผ่นดินไทยเป็นอันขาด”

นอกจากนี้ ศูนย์วิชาการและนโยบายของพรรคประชารัฐมีเรื่องที่ต้องดำเนินการศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องขบวนการกรณีศึกษารถแก๊สที่ก่อเหตุและทำให้ต้องสูญเสียครูและนักเรียนจากจังหวัดอุทัยธานีหลายคนโทษว่า เป็นความผิดอยู่ที่ทัศนศึกษา แต่ทางพรรคมองถึงต้นเหตุที่แท้จริงในขบวนการใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับแก๊สเอ็นจีวี ซึ่งเรื่องนี้ทางทีมงานศูนย์วิชาการนโยบายพรรคพลังประชารัฐได้ดำเนินการศึกษาเพื่อขอเสนอแก้ไขแนวทางและมาตรการการใช้แก๊ส NGV มีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม และลดการสูญเสียที่เกิดขึ้น ปัญหาเหล่านี้จะต้องหมดไปจากประเทศไทย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18ตุลาคม 2567

โฆษกพปชร.ยืนยัน พร้อมเอาผิดทางวินัยและอาญาหากมีข้อมูล หรือพยานหลักฐานเชื่อมโยงคนในพรรค  ไม่ปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน

,

โฆษกพปชร.ยืนยัน พร้อมเอาผิดทางวินัยและอาญาหากมีข้อมูล หรือพยานหลักฐานเชื่อมโยงคนในพรรค  ไม่ปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน

เวลา 14.00 น. วันที่ 15 ตุลาคม 2567 – พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการปล่อยคลิปเสียง ถึงการเรียกร้องผลประโยชน์โดยอาศัยกลไกทางรัฐสภา เพื่อช่วยเหลือธุรกิจของกลุ่มดิไอคอน ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนและภาคสังคม และมีการเชื่อมโยงเป็นบุคคลในพรรคว่า จากการนำประเด็นดังกล่าวเข้าหารือในคณะกรรมการบริหารและสมาชิก ในเรื่องดังกล่าว พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ยืนยันมาตรฐานทางจริยธรรมของพรรค   พร้อมเอาผิดทางวินัยและอาญาหากมีข้อมูล หรือพยานหลักฐานเชื่อมโยงคนในพรรค  ไม่ปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน  แต่ในขณะนี้   แม้ว่าบอสพอล” นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ The iCon Group จะออกมายอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเองจริง  แต่ไม่มีการยืนยันผู้ที่สนทนาด้วยเป็นใคร จึงยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเสียงของผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้น การที่จะกล่าวหาผู้หนึ่งผู้ใดนั้น หรือใครเป็นผู้กระทำผิดต้องรอการพิสูจน์  และมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีผู้ยื่นให้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา  ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว  เพื่อหาความจริงให้ปรากฎ  หากปรากฎหลักฐานที่ชัดเจนว่า เป็นผู้หนึ่งผู้ใดที่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ  หรือตำแหน่งใดก็ตาม ทางพรรคโดยพล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค  ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่เอาไว้ จะต้องมีการดำเนินการในทุกมิติ  ไม่ว่าจะเป็นทางวินัยของพรรค และ คดีอาญา

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “ นอกจากนี้ สำนักตำรวจแห่งชาติ โดยขณะนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ได้มีการตั้งคณะทำงาน  เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่ม The Icon แล้ว  ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดอย่างแน่นอน  หากผลการสอบสวนปรากฏ ว่าผู้หนึ่งผู้ใดของพรรคเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่  หรือมีส่วนกระทำความผิด เราก็จะดำเนินการตามมาตรการของพรรคเช่นเดียวกัน

ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าว กรณีนี้แตกต่างกับกรณีของพรรคเพื่อไทยขับ พล.อ.พิศาลฯ หรือไม่  พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า กรณีพล.อ. พิศาลฯ ลาออก ไม่ใช่ พรรคขับออก และกรณีนั้นศาลได้ออกหมายจับให้นำตัวมาดำเนินคดี  แตกต่างจากกรณีคลิปเสียง ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเสียงของใคร ยังไม่มีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษหรือดำเนินคดีกับใครเลย  มันไม่เหมือนกัน  และที่สำคัญที่พรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามหน้าที่ ใน 3 ฐานะ คือ 1. หัวหน้ารัฐบาล 2. หัวหน้าพรรคเพื่อไทย 3. หัวหน้าส่วนราชการ ที่ดูแลงานการต่างประเทศ งานยุติธรรม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กรณีดังกล่าว ศาลได้ออกหมายจับ มาตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการที่ดูแลกระทรวงการต่างประเทศได้มีการดำเนินการมาตรการทางการต่างประเทศเพื่อให้ได้มาซึ่งตัวผู้มีหมายจับมาดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่  ไม่ว่าจะเป็นการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน  เพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือการดำเนินการอื่นๆเพื่อ ตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายในอายุความ ได้มีสั่งการให้สำนักงานแห่งชาติประสานตำรวจสากลออกหมายแดงเพื่อให้ได้ตัว สส. บัญชีรายชื่อ ของพรรคเพื่อไทยมาตามกฎหมาย  ซึ่งในกรณีนี้ญาติผู้สูญเสียชีวิตครางแครงใจว่ามีการพยายามปล่อยให้ขาดอายุความหรือไม่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 18ตุลาคม 2567

ด้วยรักจากใจ“ลุงป้อม“ ส่งผู้สมัครลงพื้นที่ อำเภอสันกำแพง แม่ออน ดอยสะเก็ด ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

ด้วยรักจากใจ“ลุงป้อม“ ส่งผู้สมัครลงพื้นที่ อำเภอสันกำแพง แม่ออน ดอยสะเก็ด ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

วันนี้(9 ต.ค.67) เวลา10.00น  พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่จังหวัด เชียงใหม่ในอำเภอต่างๆ ที่ประสบภัยน้ำท่วม และ พรรคพลังประชารัฐ ไม่เคยทอดทิ้งพี่น้องประชาชนยามเดือดร้อน จึงได้มอบหมายให้ ว่าที่ผู้สมัคร สส.จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย นายพจนารถ ศรียารัณย์ , นางศรีพรรณ เขียวทอง ,นายพรชัย อรรถปรียางกูร  และ นายนรพล ตันติมนตรี  ลงพื้นที่และออกให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง

ทีมงานดังกล่าว ได้ลงพื้นที่ น้ำท่วมพื้นที่ตำบลต้นเปา ปูคา สันกลาง  ช่วยเหลือประชาชนดินสไลด์ ต้นไม้ล้ม บ้านพัง  และ บ้านแม่กำปอง ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน
หมู่3 บ้านทุ่งใต้ ตำบลแม่ปูคา   ไปจนถึงบ้านบ่อสร้าง ตำบลต้นเปา

นายพรชัยฯ กล่าวว่า ชาวเชียงใหม่ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้  ฝากขอบคุณท่านพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกท่านที่ลงมาให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในครั้งนี้ และทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง“

พร้อมกันนี้ได้ให้   ตัวแทนพรรค พลังประชารัฐทั้งสี่เขต  จัดตั้งโรงครัวชั่วคราวเพื่อทำการประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมและให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ ปกครอง  ทหาร ตำรวจและ อาสาสมัครที่ลงให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ในเขตอำเภอเมือง  อำเภอสารภี อำเภอสันป่าตอง  อำเภอสันกำแพง และอำเภอดอยสะเก็ด  โดยโดยใช้ ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมชั่วคราวพรรคพลังประชารัฐของแต่ละเขตเป็นศูนย์กลางในการประสานงานเพื่อประกอบอาหารและให้การช่วยเหลือพี่ น้องประชาชน ในพื้นที่

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ตุลาคม 2567

“สส.พิมพ์พร”ขอ ก.ศึกษาธิการ อนุมัติงบพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานให้ รร.ใน จ.เพชรบูรณ์ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์

“สส.พิมพ์พร”ขอ ก.ศึกษาธิการ อนุมัติงบพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานให้ รร.ใน จ.เพชรบูรณ์ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์

น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ตนอยากจะของบประมาณเพื่อพัฒนาปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐานให้แก่โรงเรียนในชุมชนของ จ.เพชรบูรณ์ เนื่องจาก จ.เพชรบูรณ์มีโรงเรียนภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. กว่า 500 โรงเรียน ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีการของบประมาณเพื่อพัฒนาศักยภาพในการเรียนการสอนรวมถึงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เป็นไปตามเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการที่ใช้หลักธรรมาภิบาล และ มีการนำหลัก economic of scale มาช่วยบริหารเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม

น.ส.พิมพ์พร กล่าวต่อว่า ภายในสถานศึกษาควรมีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอาคารเรียน ห้องเรียนที่เพียงพอ มีคุณภาพ ห้องสมุด และ อุปกรณ์การเรียนที่เพียงพอ และทันสมัย สนามกีฬาและอุปกรณ์กีฬาที่เพียงพอ และ ปลอดภัยสื่อสารสนเทศที่เพียงพอ และเข้าถึงได้ แต่เราพบว่า ยังมีโรงเรียนอีกหลายแห่งที่อยู่รอบนอก และอาจตกสำรวจในเรื่องขอการขอ
งบประมาณ เพียงเพื่อต้องการของบประมาณในสิ่งที่อาจดูว่าเล็ก สำหรับคำว่าพื้นฐานด้านการศึกษา เช่น งบประมาณเพื่อสร้างห้องน้ำสำหรับนักเรียน,งบสร้างหลังคา,งบปรับปรุงโครงสร้างอาคารเรียน,งบปรับปรุงบ้านพักครู ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของโรงเรียนเหล่านี้จะใช้วิธีรวบรวมเงินในชุมชน ผู้นำ วัด หรือแม้กระทั่ง
ทอดผ้าป่า เพื่อนำมาเงินมาช่วยโรงเรียน

“ดิฉันจึงอยากขอความกรุณากระทรวงศึกษาธิการพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อให้น้องๆ เยาวชนเด็กนักเรียน รวมถึงคุณครู ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการศึกษา ให้พวกเขาได้เรียนได้สอนอย่างมีความสุขและปลอดภัยมากขึ้น และสำคัญที่สุดเพื่อให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมด้วย“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ตุลาคม 2567

“สส.คอซีย์”ขอ ก.หมาดไทย ย้ายโรงเรียนตาดีกาไปสังกัดองค์กรท้องถิ่น เพื่อจะเข้าไปสนับสนุนโรงเรียน สอนศาสนา ได้โดยไม่ขัด กม.ให้โรงเรียนมีมาตรฐานที่ดีขึ้น

“สส.คอซีย์”ขอ ก.หมาดไทย ย้ายโรงเรียนตาดีกาไปสังกัดองค์กรท้องถิ่น เพื่อจะเข้าไปสนับสนุนโรงเรียน สอนศาสนา ได้โดยไม่ขัด กม.ให้โรงเรียนมีมาตรฐานที่ดีขึ้น

นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงการพัฒนาเพิ่มศักยภาพโรงเรียน โรงเรียนตาดีกาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากกรณีที่ตนได้จัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ได้มีผู้แทนชมรมโรงเรียนตาดีกา จังหวัดปัตตานี ชี้แจงข้อจำกัดการพัฒนาครูผู้ฝึกสอน และ นักเรียนโรงเรียนตาดีกา ที่มีงบประมาณไม่เพียงพอ ปัจจุบันโรงเรียนตาดีกาอยู่ภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยส่วนใหญ่ใช้พื้นที่การเรียนที่มัสยิส และจะเปิดการสอนในวันหยุด ปัจจุบันโรงเรียนขาดความพร้อมด้านงบประมาณ เพราะโรงเรียนก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เด็กมีความรู้พื้นฐานด้านศาสนา ไม่ได้ก่อตั้งเพื่อก่อให้เกิดผลกำไร

นายคอซีย์ กล่าวต่อว่า องค์กรท้องถิ่นทุกระดับ ไม่ว่าเป็น อบจ. อบต. เทศบาล เมื่อรับรูัปัญหาก็ต้องการเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนงบประมาณให้กับโรงเรียน แต่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ภายใต้อำนาจหน้าที่กำหนดให้องค์กรท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาประชาชนได้ แต่ปัจจุบันองค์กรท้องถิ่น เกิดปัญหาโรงเรียนตาดีกา มีสถานะเป็นโรงเรียนเอกชน เป็นเหตุให้องค์กรท้องถิ่น ไม่สามารถเข้าไปอุดหนุนงบประมาณ เพื่อเพิ่มจำนวนครู เพิ่มค่าสื่อการเรียนการสอน รวมถึงการนำนักเรียนไปเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้

”ผมในฐานะ สส.ในพื้นที่ขอให้กระทรวงมหาดไทย ในส่วนกำกับดูแลองค์กรท้องถิ่น พิจารณาวางแนวทางให้องค์กรท้องถิ่นได้ใช้อำนาจในหน้าที่เข้าไปสนับสนุนโรงเรียน สอนศาสนา ประจำมัสยิส ได้โดยไม่ขัดต่อระเบียบและกฎหมาย และให้หาเรือร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ วางแนวทางให้โรงเรียนตาดีกามาอยู่ภายใต้สังกัดองค์กรท้องถิ่น เพื่อให้การจัดระบบข้อมูลทางการศึกษามีมาตรฐานเดียวกัน และสามารถกำหนดครูผู้สอนได้พอเพียง และมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อให้โรงเรียนตาดีกามีมาตรฐานที่ดีขึ้น“นายคอซีย์ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ตุลาคม 2567

พล.อ.ประวิตร มองเหตุน้ำท่วมหนัก เพราะรัฐบาลไม่เป็นมืออาชีพ ยกสมัยเป็นรองนายกฯน้ำมากกว่านี้ยังจัดการได้ เผยหากอยากได้คำแนะนำพร้อมช่วยเหลือ

พล.อ.ประวิตร มองเหตุน้ำท่วมหนัก เพราะรัฐบาลไม่เป็นมืออาชีพ ยกสมัยเป็นรองนายกฯน้ำมากกว่านี้ยังจัดการได้ เผยหากอยากได้คำแนะนำพร้อมช่วยเหลือ

วันที่ 8 ตุลาคม 2567.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวในที่ประชุมกรรมการบริหารและ  สส.พรรคถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ว่า การบริหารจัดการน้ำถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในอดีต ตนเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ได้มีการวางแนวทางการบริหารจัดการไว้เป็นอย่างดีแล้ว โดยในปี 2565 ปริมาณน้ำมีมากกว่า ปี 2554 ที่มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพมหานคร แต่ก็สามารถจัดการได้ตามแผน จนไม่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ในปัจจุบันการเผชิญปัญหาของรัฐบาลยังไม่เป็นมืออาชีพ ถ้ารัฐบาลอยากรู้ว่าเขาทำอย่างไร ก็ควรไปศึกษาผลงานที่รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้เคยวางรากฐานเอาไว้ และจะเห็นข้อแตกต่างของการบริหารจัดการน้ำที่เป็นระบบ ทั้งนี้ ตนพร้อมเสนอแนะและทำงานในฐานะฝ่ายค้านให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐได้มีการนำเสนอปัญหาในแต่ละพื้นที่ถึงการจัดหาแหล่งน้ำดิบคุณภาพ  เพื่อนำไปผลิตประปาหมู่บ้านที่ยังขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่ รวมถึงงบประมาณการซ่อมบำรุงที่ยังไม่เพียงพอในการผลิตประปาเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค รวมไปถึงการแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง ควรมีการวางระบบการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเรื่องนี้ พรรคพลังประชารัฐในฐานะเป็นประธานกรรมาธิการบริหารทรัพยากรน้ำจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อวางแนวทางการนำเสนอข้อมูลและการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ตุลาคม 2567

 “พล.ต.ท.ปิยะ”แถลงหลังประชุม พปชร.ตั้งศูนย์ประสานข้อมูลเขตเลือกตั้ง 77 จังหวัด พร้อมตั้งโรงครัวช่วยชาวเชียงใหม่ประสบภัยน้ำท่วม มอบว่าที่ สส.เชียงใหม่ ดูแลชาวบ้าน

,

 “พล.ต.ท.ปิยะ”แถลงหลังประชุม พปชร.ตั้งศูนย์ประสานข้อมูลเขตเลือกตั้ง 77 จังหวัด พร้อมตั้งโรงครัวช่วยชาวเชียงใหม่ประสบภัยน้ำท่วม มอบว่าที่ สส.เชียงใหม่ ดูแลชาวบ้าน

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 8 ต.ค.ที่พรรคพลังประขารัฐ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรค ที่มีกรรมการบริหารและแกนนำ ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม ว่า พล.อ.ประวิตร มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ 18 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม และท่านไม่เคยทอดทิ้งพี่น้องประชาชนยามเดือดร้อน จึงได้มอบหมายให้ ว่าที่ผู้สมัคร สส.จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย นายพจนารถ ศรียารัณย์ ผู้เขต 1 อ.เมืองเชียงใหม่,นางศรีพรรณ เขียวทอง เขต 2 อ.สารกี 3.นายพรชัย อรรถปรียางกูร เขต 3 อ.ดอยสะเก็ด 4.นายนรพล ตันติมนตรี เขต 10 ทำหน้าที่ประสานงานในพื้นที่และออกให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง

“พรรคพลังประชารัฐจะไม่ทอดทิ้งพี่น้องประชาชนในยามลำบาก และได้ก่อตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานราชการเพื่อขอรับการชดเชยและช่วยเหลือตามกฎหมาย และยังได้ตั้งโรงครัว เพื่อดูแลเรื่องอาหารน้ำดื่มของประชาชนเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น”

ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคได้เห็นชอบ เสนอให้จัดตั้งศูนย์ประสานข้อมูลเขตเลือกตั้ง 77 จังหวัด โดยมีนายภัครธรณ์ เทียนไชย รองเลขาธิการพรรค พปชร.เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ โดยมีจุดประสงค์ของการตั้งศูนย์ฯ เพื่อสนับสนุนการทำงานของ ส.ส. และกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค โดยจะหาวิธีการทำให้พรรคมีผู้สนับสนุนมากขึ้น และจะทำการจัดเก็บข้อมูลเขตเลือกตั้ง ทั้ง 77 จังหวัด เพื่อนำมาวิเคราะห์และเสนอกรรมการบริหารพรรค นำไปพัฒนาข้อมูล ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและสนับสนุนการทำงานของพรรคต่อไป
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ปิยะฯ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวถึงการติดตามตัว พล.อ. พิศาลฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลซึ่งเป็น สส. แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 27 นายกรัฐมนตรีเป็น1. หัวหน้าทุกภาคส่วนของรัฐบาล  2. หัวหน้าพรรคเพื่อไทย 3. หัวหน้าส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการต่างประเทศ  กรณีที่ สส. พรรคเพื่อไทยถูกหมายจับและหลบหนีออกนอกประเทศ นายกรัฐมนตรีจะต้องมีมาตรการเพื่อให้ได้ถึงตัว สส. ที่ถูกจับนั้นมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพิสูจน์ความผิด  หากปล่อยให้คดีขาดอายุความ  ผู้กระทำผิดก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่กระทำผิดกฏหมาย แต่คดีขาดอายุความ ไม่สามารถนำมาฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 39 (6) เท่านั้น  แต่การกระทำผิดตามกฏหมายยังคงอยู่  นายกรัฐมนตรีต้องใช้มาตรการผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ได้มาถึงตัวผู้ที่ถูก หมายจับ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก่อนคดีจะขาดอายุความ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ตุลาคม 2567

ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’ดร. ม.ล.กรกสิวัฒน์-ดร.บุณณดา“  วิพากษ์รัฐบาล เรื่อง  การป้องกันอุบัติเหตุรถทัวร์ติดก๊าซ

,

ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’ดร. ม.ล.กรกสิวัฒน์-ดร.บุณณดา“  วิพากษ์รัฐบาล เรื่อง  การป้องกันอุบัติเหตุรถทัวร์ติดก๊าซ

วันที่  8 ตุลาคม 2567  ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย  ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคฯ ,ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ อดีตโฆษกกระทรวงทรัพยากรฯ , นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานร่วมศูนย์นโบบายและวิชาการและอดีต รมว.กระทรวงการคลัง และ พล.ต.ท.ปิยะ  ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร  วิจารณ์ปัญหารถทัวร์ติดก๊าซ

ดร.มล.กรกสิวัฒน์ ตั้งคำถามว่า  ทำไมยานยนต์ติดก๊าซ NGV ไทยจึงเกิดโศกนาฏกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ถ้าเป็นตามมาตรฐานยุโรปจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้

“การใช้ก๊าซ NGV ทำให้ประหยัด  จึงต้องยอมรับว่า  รถทัวร์และรถบรรทุกนิยมใช้  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า  ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ  จะพุ่งเป้าไปที่คนขับรถ  ทั้งที่ดูแล้วน่าจะเป็นปลายเหตุเสียมากกว่า  และเนื่องจากครั้งนี้ทำให้สูญเสียเด็กเล็กไปจำนวนมาก  รวมทั้งคุณครูผู้กล้าหาญ  พรรคพลังประชารัฐจึงต้องการเจาะลึกเรื่องนี้”  ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว

ดร.มล.กรกสิวัฒน์ แจ้งว่า  ปัญหาเกิดจากภาครัฐ  ตั้งแต่ปี 2547  ที่ภาครัฐต้องการโปรโมตการขาย NGV  จึงออกกฎเกณฑ์ที่หย่อนยานและบิดเบือนเรื่องอันตราย  ดังนี้
1) มีการรณรงค์โดยหน่วยงานของรัฐด้านพลังงานว่า  ก๊าซ NGV ไม่ติดไฟง่ายปลอดภัยมากกว่าน้ำมัน  ทั้งที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุมีประกายไฟ  ก๊าซที่รั่วไหลมีแรงดันสูงจะเกิดไฟไหม้รุนแรง
2) มีการรณรงค์ว่าก๊าซ NGV เมื่อรั่วไหลจะกระจายตัวลอยขึ้นสู่อากาศไม่เป็นอันตราย เพราะไม่สะสมจนเกิดเพลิงไหม้ และปล่อยปละละเลยให้ติดตั้งถังก๊าซภายในห้องผู้โดยสาร ห้องเก็บสัมภาระโดยปราศจากเรือนกักก๊าซ (gas tight housing) เมื่อเกิดเหตุก๊าซรั่วทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตกับผู้โดยสาร
3) รัฐเน้นส่งเสริม NGV โดยอนุญาตให้ผู้ติดตั้งเลือกมาตรฐานความปลอดภัยต่ำ หรือ สูงก็ได้ เช่น เรื่องการไม่บังคับให้ต้องใช้วาร์วไฟฟ้าติดหัวถังเพื่อตัดก๊าซรั่ว  ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่จำเป็นที่จะรักษาชีวิตคนได้จำนวนมาก

“รัฐไม่ควรโยนความผิดให้เอกชนเพียงฝ่ายเดียว  เพราะต้นเหตุเกิดจากรัฐบาลตั้งแต่ปี 2547 ที่เน้นผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซ NGV  จนย่อหย่อนมาตรฐานความปลอดภัยลง” ดร.มล.กร กล่าว

ดร.มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า ถึงเวลาต้องปฏิรูปมาตรฐานความปลอดภัยให้ครบวงจร  ทั้งตำแหน่งติดตั้งถังที่ควรติดบนหลังคา หรือ ท้ายรถนอกห้องโดยสาร  ต้องติดตั้งอุปกรณ์วาร์วไฟฟ้าเพื่อตัดการจ่ายก๊าซหากก๊าซรั่ว  และกระบวนการตรวจสอบประจำปีจะต้องแก้ไขเป็นการเร่งด่วนที่สุด

ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ อดีตโฆษกกระทรวงทรัพยากรฯ กล่าวไม่เห็นด้วยที่ผู้มีอำนาจจะประกาศยกเลิกทัศนศึกษา  เพราะจะเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้โลกนอกห้องเรียน  และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ  จึงขอเสนอแนะให้ปรับปรุงระเบียบ  ดังนี้
1. กำหนดระดับชั้นและระยะทางให้เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย
2. กำหนดสัดส่วนจำนวนครูผู้ดูแลที่เหมาะสม
3. ก่อนการเดินทาง  ต้องซักซ้อมแผนฉุกเฉิน  ทดสอบประตูฉุกเฉิน
4. กำหนดมาตรฐานยานพาหนะให้สูง  และมีหลักฐานการตรวจสอบจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
“เด็กเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศ  เราทุกคนมีหน้าที่ต้องหวงแหนและช่วยป้องกัน”  ดร.บุณณดา กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ตุลาคม 2567