โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจนำเสนอนโยบายโค้งสุดท้าย ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมศก.ไทย

“พล.อ.ประวิตร”นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจนำเสนอนโยบายโค้งสุดท้าย
ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมศก.ไทย

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร. ) ร่วมแถลงข่าว “สรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลประชารัฐ “ นำโดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ,นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรค ,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค ,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค ,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค ,นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายพรรค ,นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ,ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายคณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค พปชร.

โดยได้ชูนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านเศษฐกิจตลอด 45 วันของการหาเสียง ที่ผ่านมา และวันนี้ถือเป็นโค้งสุดท้าย ที่พรรคจะใช้ในการนำเสนอ ลงพื้นที่หาเสียง ที่จะเข้าถึงประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกช่วง ให้ได้รับโอกาสที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพที่มั่นคง และพรรคพร้อมนำนโยบายที่มีอยู่ทั้งหมด สู่การลงมือทำทันที เมื่อได้แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อที่จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ซึ่งจะผ่านนโยบาย ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการพลิกโฉมการบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

“ ทั้งนี้ เป้าหมายของการ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นเป้าหมายแรก ที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนมีความรักใคร่ สามัคคี เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบสุข เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น ซี่งประชาชนทราบดีว่า การที่ประเทศมีความสามัคคี จะเกิดผลดีต่อเศรษกิจ การค้า การลงทุน ไม่หยุดชะงัก การค้าขายราบรื่น หากประชาชนไม่มีการเดินลงบนถนนเพื่อเรียกร้อง ก็จะนำไปสู่การบริหารประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในทางการเมืองแล้วเป็นสิทธิของทุกคน ใครจะอยู่พรรคไหนก็ได้ เมื่อเราเลือกผู้แทน 400 เขตเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว ก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาฯ ดำเนินการทั้งในเรื่อง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการบริหารประเทศ รัฐบาลก็จะทำหน้าที่สร้างความรุ่งเรือง เมื่อทุกอย่างไม่ติดขัดก็จะทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเชื่อว่าประชาชนทุกคนจะชอบเมื่อเศรษฐกิจกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าดีขึ้น ดังนั้น เมื่อคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะความรักใคร่ของทุกคนจะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง

พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า ทีมเศรษฐกิจของ พปชร. จะทำนโยบายที่ประกาศแล้ทันที ถ้าเป็นรัฐบาล เราจะทำทันทีทุกนโยบาย สามารถทำได้ อีกนโยบายที่ตนถือว่ามีความสำคัญคือ นโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เราจะต้องเอามารวมกัน ต้องมีการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดฟื้นฟู จะหางบประมาณก้อนหนึ่งเพื่อดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ขอยืนยันว่า ทุกนโยบายของ พปชร. จะทำทันทีถ้าเราได้เป็นรัฐบาล ฝากกับประชาชนทุกคนด้วยว่าช่วยเลือก พปชร.เบอร์ 37 และเลือกผู้สมัครของ พปชร. เพื่อจะได้ดำเนินการในการตามนโยบายที่เสนอกับประชาชนไว้ หวังอย่างยิ่งว่าประชาชนคงจะให้โอกาสสนับสนุน พปชร. เราพร้อมที่จะรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน

ในส่วนของก้าวข้ามความยากจน จะเน้นในเรื่อง ที่ทำกิน และแหล่งน้ำ ซึ่งพรรคมีนโยบาย “มีเรามีน้ำไม่แล้ง” โดยดูแลเกษตรกรให้มีความาเข้มแข็ง ซึ่งตนได้ทำเรื่องน้ำมาตลอด 4 ปี จนไม่มีพื้นที่ภัยแล้ง เป็นหนี่งในผลงานความสำเร็จของการร่วมรัฐบาล ที่สามารถให้ประชาชน อยู่ดี กินดี เพิ่มมากขึ้น ฝนตกมาก ส่วนกรณีที่มีฝนตกมาก เกิดน้ำหลาก เราต้องมีการวางแผนทุกพื้นที่ที่จะรับมือ เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่เดือดร้อน ซึ่งเป็นปัญหาระยะสั้น ที่รัฐบาลได้มีมาตรการเข้าไป เยียวยา มาอย่างต่อเนื่อง

นายอุตตม กล่าวว่า พรรค มีความพร้อมที่จะนำพาให้พี่น้องประชาชนให้บรรลุผลสำเร็จ โดยเริ่มจากนโยบายสำคัญคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่อยู่เหนือทุกนโยบาย ของพรรคถ้าปราศจากความขัดแย้ง ทุกอย่างก็สามารถตอบโจทย์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมมอบอนาคตที่ดีให้กับประชาชน ดังนั้นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นส่วนสำคัญ นโยบายรัฐบาล ทำหน้าที่ส่งเสริมตามภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำทันที เมื่อได้เป็นรัฐบาล ประกอบด้วย 1. กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที 2. เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ 3. เร่งรัดสร้างฐานรากการพัฒนาพลิกโฉมประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง ให้มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง โดย “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทย”

“ 3 ภารกิจหลัก ที่ต้องทำทันที กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างแท้จริง ปัญหาปากท้อง เป็นเรื่องใหญ่ของพี่น้องประชาชนหลายปีที่ผ่านมาเราเร่งรัดการวางพื้นฐานการพัฒนาให้ยั่งยืนให้คนไทยสามารถแก้ปัญหาที่สะสมมา ซึ่ง พปชร. เรามุ่งการแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ พรรคพลังประชารัฐพร้อมจะแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อความเป็นธรรม แก้ไขเรื่องหนี้สินอย่างครบวงจร เติมทุนใหม่ เพิ่มโอกาสใหม่ เพิ่มทักษะให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสที่จะทำมาหากิน เร่งขยายธุรกิจให้ความสำคัญสูงสุดในการขยายตัวตั้งแต่ฐานรากตั้งแต่ชุมชนเข้มแข็ง หมู่บ้านเข้มแข็ง ภาคเกษตรเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้เราพร้อมเติมทุนให้พี่น้องเกษตรกร 30,000 บาทต่อครอบครัว เพื่อใช้ในการลงทุนค่าใช้จ่าย เอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้คนไทยมีความเข้มแข็ง มีความเท่าเทียมทั่วถึง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ

นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า พลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากสิ่งที่ทำในสิ่งแรกจะใช้ศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่ครอบคลุม 13,000,000 คนพลังประชารัฐจะดำเนินการอยู่แล้วและเพิ่มเติมอีก 200,000 บาทเพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานรากโดยจะไปต่อยอดให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่

ภาคเกษตรมีประชากรอยู่ 10,000,000 คนที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดโดยการลดค่าใช้จ่ายแก้ปุ๋ยแพงทันที ปุ๋ย 50% เพื่อลดค่าใช้จ่ายราคาผลผลิตทางการเกษตรหากต้นทุนแพงก็จะไปไม่ได้ กองทุนก็ต้องมาดูแลเพิ่มเสถียรภาพให้มีการตั้งตัวที่ดีระยะยาว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็งนั้น สิ่งแรกที่เราจะทำ คือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่ พปชร.เคยทำมาแล้วในอดีต จะผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือ แก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ นอกจากนี้ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมันจะเป็นเรื่องแรก ส่วนนโยบายด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามา มี รพ.สต.เป็นฐานหลัก

นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เริ่มจากน้ำมัน พปชร.จะลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อ พปชร.ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้า พปชร.ได้ขึ้นมาบริหารจัดการ ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 2.50 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย พปชร.จะทำให้ค่าครองชีพลดลง นอกจากนี้ จะผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท ทั้งนี้ เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์ 37 ด้วย

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับนโยบาย”อีสานประชารัฐ” อีสานเป็นภาคที่มีความสำคัญ เป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐคือ การพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี

นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของ พปชร.คือ ไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ สำหรับนโยบายระยะยาวนั้น เราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำวางแผนกันไว้แล้ว

นายธีระชัย กล่าวว่า นโยบายเหล่านี้ต้องมีการใช้เงิน หลายคนถามว่าเราจะหาแหล่งเงินมาใช้อย่างไร เรามีนโยบายที่สร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนนอกจากกลไกการลงทุน คือ วิธีไฟแนนซ์นโยบาย ได้แก่ 1.โยกมาจากงบประมาณประเภทอื่น 2.ปฏิรูปภาษี 3.มาจากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และ 4.ถ้างบประมาณไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ ในส่วนของหนี้สาธารณะยังสามารถบริหารจัดการได้ ถ้าเพิ่มไปบ้างสามารถบริหารจัดการได้ถ้าเรามีนโยบายที่เพิ่มรายได้อย่างเหมาะสม แต่เราจะต้องได้คะแนนเสียงพอเพื่อจับมือกันแก้กฎหมาย หรือยกระดับในเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะชั่วคราว

นายธีระชัย กล่าวว่า สำหรับไฟแนนซ์จากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ มีการคำนวณว่า ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน จะก่อให้เกิดการหมุนเวียน 735,336 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี นโยบาย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 3 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 2.5% ต่อปี นโยบาย 8 ล้านครอบครัว จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.4 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1.2% ต่อปี นโยบายโซลาร์รูฟทอป จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี นโยบาย 1 อบต. 1 โซลาร์ฟาร์ม จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6%ต่อปี นโยบายเปลี่ยนรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1% ต่อปี จัดตั้งองค์กรทรัพยากรพลังงานแห่งชาติ ให้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัมปทานแหล่งก๊าซและน้ำมันที่จะทยอยหมดอายุลง โดยภายใน 4 ปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปี 1 แสนล้านบาท เสริมเข้ามาเป็นงบประมาณแผ่นดิน

ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า สำหรับนโยบายเศรษฐกิจใน กทม. จากการลงพื้นที่ กทม. สิ่งที่พี่น้องกทม.ต้องการคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องไม่ใช่นโยบายหรือแผนนโยบายที่ทำระยะสั้น เปลี่ยนรัฐบาลและทิ้งเขาไป นโยบายกทม. จะต่อยอดสิ่งที่ พล.อ.ประวิตรทำเอาไว้คือ ที่อยู่อาศัย จะทำบ้านประชารัฐต่อไป โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐบาล แต่ใช้การร่วมทุนกับเอกชน ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ส่วนเรื่องการพัฒนาการยั่งยืนนั้น จะใช้กลไกกองทุนธุรกิจเพื่อสังคม สามารถทำได้ทันที จะใช้เม็ดเงินระดมทุนจากตลาดทุนส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเพื่อสังคม

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2566

" ,