โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: สื่อออนไลน์

บิ๊กป้อม เสียใจเหตุแผ่นดินไหว ย้ำ พปชร.เตือนแล้ว ให้ รบ. ปรับปรุงระบบเตือนภัย

บิ๊กป้อม เสียใจเหตุแผ่นดินไหว ย้ำ พปชร.เตือน รบ. ปรับปรุงระบบเตือนภัยแล้ว ซัด นายกฯ มีหน้าที่รับผิดชอบ อย่าโทษคนอื่น

เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 1 เมษายน ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ส.ส.และคณะทำงานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุทำให้อาคาร สตง.ที่กำลังก่อสร้างถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดย พล.อ.ประวิตรแสดงความเสียใจและขอไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตและครอบครัว

ทั้งนี้ได้เตือนรัฐบาลมาตั้งแต่เดือน ก.ย.2567 ที่เกิดเหตุอุทกภัยในภาคเหนือ ให้ปรับปรุงระบบการเตือนภัยไปยังประชาชนว่า จะมีพื้นที่ใดได้รับผลกระทบ รวมไปถึงแนวทางการดำเนินการอพยพประชาชน และสถานที่พักพิงชั่วคราว แต่ผ่านมากว่า 7 เดือน รัฐบาลก็ยังไม่มีความคืบหน้า ไม่ได้มีการพัฒนาหรือการปรับปรุงระบบการเตือนภัย และในประเทศที่พัฒนาแล้ว ระบบการเตือนภัยไม่ว่าจะเป็น เพลิงไหม้ขนาดใหญ่ แผ่นดินไหว อุทกภัย วาตภัย หรือภัยพิบัติอื่น จะแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนได้รับก็อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และควรจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ โดยเร็วที่สุดหรือ ก่อน 24 ชั่วโมง เพื่อที่จะให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจว่าจากข้อมูลที่รัฐบาลแจ้งเตือนจะต้องมีการดำเนินการอย่างไร ตลอดจนการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ เพื่อสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

“นายกฯไม่จำเป็นต้องโยนความผิดให้ใคร เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการกำกับดูแลและควบคุมการปฎิบัติงานของทุกภาคส่วน ในฐานะเป็นผู้นำคณะรัฐบาลให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้กำหนดเอาไว้ ถ้ารัฐบาลมีความใส่ใจในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น และหากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ ประชาชนได้รับการแจ้งเตือนอย่างรวดเร็ว ความเสียหายคงจะไม่หนักเท่านี้อย่างแน่นอน” พล.ต.ท.ปิยะกล่าว

ที่มา:https://www.matichon.co.th/politics/news_5120569
วันที่: 1 เมษายน 2568

พปชร. เปิด 7 ว่าที่ผู้สมัคร สส.ภาคใต้ มั่นใจ ครั้งหน้าพลังประชารัฐโตกว่านี้แน่

พปชร.เปิด 7 ว่าที่ผู้สมัคร สส.ภาคใต้ น้องสาวดร.สุรินทร์ โผล่ด้วย “ฉกาจ” ยัน ไม่ส่งชิงเลือกตั้งซ่อมเมืองคอน เขต 8 บอกให้เกียรติเจ้าพื้นที่เดิม มั่นใจ ครั้งหน้าพลังประชารัฐโตกว่านี้แน่

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ สส.พังงา ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พปชร.แถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ภาคใต้ จำนวน 7 ราย ดังนี้ นางฮูวัยดิย๊ะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช นายประจวบเหมาะ ภักดีชน ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 4 จ.นครศรีธรรมราช นายแสงไทย จริตงาม ว่าที่ผู้สมัคร สส. เขต 7 จ.นครศรีธรรมราช นายกอเซ็ง แซมะซู ว่าที่ผู้สมัคร สส. เขต 5 นราธิวาส นายกามิน มุชิ ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 3 ยะลา นายสมมิตร ทองเหลือ ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 2 ชุมพร และนายสมพงศ์ ทั่งศรี ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 3 ประจวบคีรีขันธ์

นายฉกาจ กล่าวถึงกรณีพรรค พปชร.จะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 จ. นครศรีธรรมราชหรือไม่ว่า พรรค พปชร.จะไม่ส่งผู้สมัครในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เพราะให้เกียรติพรรคเดิม เราในฐานะที่เป็นฝ่ายค้านก็เตรียมการเลือกตั้งในปี 70 และเราเห็นใจพรรคเจ้าของพื้นที่เดิม ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองเหมือนกัน เคยทำงานร่วมกันมา นอกจากนี้ เสียงของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลก็ต่างกันมาก ถ้าเราได้เพิ่มมาอีกหนึ่งเสียงก็อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ไม่มากนัก ดังนั้น เราเตรียมความพร้อมในการลงสมัคร สส. ครั้งต่อไปน่าจะเหมาะสมกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ใช่ว่าประเมินแล้วจะสู้คู่แข่งไม่ได้จึงไม่ส่งใช่หรือไม่ นายฉกาจ กล่าวว่า ไม่ใช่ พรรคเรามีผู้มาเสนอตัวเยอะ และเราตัดสินใจนานแล้วที่จะไม่ส่งลงกับครั้งนี้ ผู้ที่ประสงค์จะมาลงกับเราก็ได้ตัดสินใจย้ายจากพรรค พปชร.ไปสังกัดพรรคอื่น เพื่อมีเวลาตามที่กฎหมายกำหนดที่จะสมัคร สส. ในพรรคนั้น เราจึงไม่ประสงค์ที่จะส่งแต่ต้น ทั้งนี้ ในอนาคตข้างหน้า เราเชื่อแน่ว่า เราจะโตขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นเราเตรียมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

เมื่อถามว่า ครั้งนี้เราไม่ตัดสินใจส่ง แต่ได้บอกให้ฐานเสียงไปช่วยพรรคอื่นที่เป็นพันธมิตรกับเราหรือไม่ นายฉกาจ กล่าวว่า จริงๆ ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เขตนี้ผู้สมัคร สส. พรรค พปชร.ได้ที่สอง คะแนนห่างจากคนที่ได้ที่หนึ่ง 2,000 – 3,000 คะแนน ไม่ใช่ว่าเราสู้ไม่ได้ แต่เราให้เกียรติพื้นที่เดิม เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคภูมิใจไทยใช่ นายฉกาจ กล่าวว่า ส่วนหนึ่ง คิดว่าก็ยังทำงานร่วมกันได้ เราให้เกียรติเขา

ที่มา: https://www.naewna.com/politic/874226
วันที่: 1 เมษายน 2568

4 ลูกเรือกลับถึงไทย เผยภาพวิดีโอคอลขอบคุณ “บิ๊กป้อม” เคลมช่วยเจรจาสำเร็จ

4 ลูกเรือไทย กลับถึง จ.พังงา หลังเมียนมาปล่อยตัว เผยภาพวิดีโอคอลขอบคุณ “พล.อ.ประวิตร” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคลมช่วยเจรจาสำเร็จลุล่วง

วันที่ 30 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเจ้าของเรือและลูกเรือประมงไทยชาวพังงา ถูกทางการเมียนมาจับตัวไปพร้อมเรือ ส.เจริญ รวมระยะเวลา 120 วัน และล่าสุดถูกปล่อยตัวและได้เดินทางกลับไทยแล้วนั้น วันนี้เมื่อเวลา 10.00 น. นายไพรัช เพชรยวน ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา พร้อมด้วย นายบัญชา ธนูอินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นายจักรกฤษณ์ ฝั่งชลจิตร์ ปลัดจังหวัดพังงา นายพิชญพัทธ์ เรืองชาตรี นายอำเภอตะกั่วทุ่ง น.ส.สมพรทิพย์ สุขวโรดม พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพังงา พ.ต.อ.จิระวัฒน์ สาระรัมย์ ผกก.สภ.ตะกั่วป่า นายทวี แพใหญ่ นายกสมาคมประมงจังหวัดพังงา นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ สส.พังงา เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันต้อนรับ นายวิโรจน์ สะพานทอง ณ นคร อายุ 68 ปี หรือ โกสา เจ้าของเรือ ส.เจริญชัย 8 และนายสมปอง วิวัฒน์ อายุ 61 ปี ช่างเครื่องเรือ ส.เจริญชัย 8 กลับบ้าน

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา พร้อมคณะ เดินทางไปเยี่ยมและให้กำลังใจ พร้อมมอบกระเช้าของขวัญให้ลูกเรือประมงไทย 4 คน ที่เดินทางกลับจากประเทศเมียนมา ณ บ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอตะกั่วป่า และโรงพยาบาลตะกั่วป่า เข้าสอบถามด้านสุขภาพ รวมถึงมีการนิมนต์พระสงฆ์ประพรมน้ำมนต์เป็นการรับขวัญและเป็นสิริมงคลแก่ผู้ถูกปล่อยตัวด้วย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา กล่าวตอนหนึ่งว่า ได้สอบถามด้านสุขภาพของเจ้าของเรือและลูกเรือ พร้อมให้ทางสาธารณสุขเข้าดูแลสุขภาพ จากนี้ครอบครัวของชาวประมงหมดทุกข์หมดโศก พร้อมได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข

ทางด้าน นายวิโรจน์ หรือ โกสา เจ้าของเรือ ส.เจริญชัย 8 เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่ได้ออกมาครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือ ยอมรับว่าขณะถูกจับกุมและถูกกักขังในพม่าลำบากและเครียดมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ลูกเรือไทย 4 คนที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัว กลับถึงบ้านน้ำเค็ม จ.พังงา ได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีครองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านวิดีโอคอล หลังมีรายงานว่า สส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ประสานขอความช่วยเหลือโดยตรง ทำให้การเจรจาสำเร็จอย่างรวดเร็ว ส่วนเรือคาดว่าจะได้คืนในไม่ช้า

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/politic/2850197
วันที่: 1 เมษายน 2568

“ชัยมงคล” มัดรวมปัญหา mou44-กาสิโน-ที่ดินอัลไพล์-ปัญหาราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำ-ยาเสพติด ไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร” ขอ นายกฯกลับตัวกลับใจเร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

“ชัยมงคล” มัดรวมปัญหา mou44-กาสิโน-ที่ดินอัลไพล์-ปัญหาราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำ-ยาเสพติด ไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร” ขอ นายกฯกลับตัวกลับใจเร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

เมื่อเวลา 20.20น. วันที่ 25 มี.ค. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวอภิปรายว่า จากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์เรื่อง MOU 2544 ที่ระบุว่า”เส้นเขตแดนที่คุยกันไม่รู้จบ เมื่อไม่รู้จบแบ่งไม่ได้ก็ขุดมาแบ่งกัน“ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นของคนไทยไม่ว่าจะเป็นใต้น้ำหรือบนดินอย่างชอบธรรม แต่นายกฯกำลังจะเอาทรัพยากรที่อยู่ใต้น้ำซึ่งมีมูลค่ามากกว่า10ล้านล้านบาท ไปประเคนให้กับประเทศกัมพูชาแบบนี้ถือเป็นข้อตกลงระหว่างคนในครอบครัวนายกฯกับประเทศกัมพูชาหรือไม่เพราะได้ข่าวว่ามีความสนิทสนมกันมาก ตนขอเตือนให้นายกฯถอยออกมาอย่าเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตน นี้เป็นประเด็นแรกที่ตนไม่ไว้วางใจ

นายชัยมงคล กล่าวต่อว่า ในเรื่องของเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ สถานบันเทิงครบวงจร ที่กำลังศึกษาก่อนนำเข้าที่ประชุมครม.อีกครั้งนั้น เรื่องนี้นายกฯไม่ได้บอกกับประชาชนตอนหาเสียงแต่จะเอามาทำ ซึ่งเราทุกสอนกันมาตลอดว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่นายกฯกลับจะเอามาทำให้ถูกฎหมาย เอามามอมเมาประชาชนโดยบังหน้าด้วยคำว่าสถานบันเทิงครบวงจร มีกาสิโนเพียง10 เปอร์เซนต์เท่านั้น แต่ทราบหรือไม่ว่าพื้นที่แค่นี้คือพื้นที่ทำลายประเทศ ทำลายความเป็นมนุษย์ของคนไทย กาสิโนคือผ้าคลุมปีศาจที่กำลังให้ประเทศชาติหายนะ นอกจากนั้นยังมีการทำพนันออนไลน์ซึ่งเป็นอสูรตัวจริงมาทำให้ถูกต้องตามกฎหมายตนจึงอยากถามว่าท่านใช้สมองส่วนไหนคิด การพนันไม่สามารถทำให้ประเทศเจริญได้ เพื่อนบ้านมีกาสิโนมากมายแต่ยังมีคนต่างด้าวยังเข้ามาทำงานประเทศไทย ขอนายกฯหยุดทำลายชาติ ทำลายคนไทย พรรคพลังประรัฐไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว

นายชัยมงคล กล่าวอีกว่า เรื่องของที่ดินอัลไพล์ ได้ข้อเท็จจริงชัดเจนว่าเป็นที่วัด แต่ครอบครัวของนายกฯยังไม่ยุติด้วยความโลภ ทำให้เห็นว่านายกฯขาดจริยธรรม ขาดความซื่อสัตย์สุจริต มีอีกหลายเรื่องที่นายกฯพูดแล้วไม่ทำ วันที่นายกฯหาเสียงบอกว่าคนไทยจะมีกินมีใช้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี นั้นถือเป็นสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนแต่ก็ไม่ได้ทำตามที่พูดไว้ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเกษตรกรยากจน เรียกร้องให้นายกฯเร่งแก้ปัญหาแต่กลายเป็นลมที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ทั้งปัญหายาเสพติดและความมั่นคงที่จะยังได้รับการแก้ไขอย่างมาก ตนขอร้องให้นายกฯกลับตัวกลับใจเร่งแก้ไขปัญหาประชาชนจะชื่นชม ความเป็นนักการเมืองไม่ควรอยู่ใต้อาณัติใคร ยิ่งเป็นอาณัติที่ไม่มีประโยชน์ต่อชาติแล้ว เรายืนหยัดในหลักการที่จะไม่สนับสนุนให้คนไม่ดีได้ปกครองบ้านเมือง

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2568

”สส.วรโชติ“ จี้ ”นายกฯ“ เร่งแก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตร หลังราคาร่วงดิ่งลงเหว วอน ดูแลเกษตรกรอย่างเร่งด่วนและจริงจัง

”สส.วรโชติ“ จี้ ”นายกฯ“ เร่งแก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตร หลังราคาร่วงดิ่งลงเหว วอน ดูแลเกษตรกรอย่างเร่งด่วนและจริงจัง

 เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ  อภิปรายถึงราคาผลผลิตทางการเกษตรภายในประเทศที่ย่ำแย่ในขณะนี้ ว่า วันนี้เกษตรกรทุกภาคส่วนมีปัญหาชีวิตต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ชาวไร่ เดือดร้อนกันหมดเพราะรัฐบาลไม่มีมาตราการรองรับ ราคาข้าวในวันนี้เกวียนละห้าพันกว่าบาท ราคาเท่ากับเมื่อ20ปีที่แล้วทั้งที่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตอยู่ที่ไร่ละหกพันบาท ตนอยากถามว่าชาวนาจะอยู่กันอย่างไร อีกทั้งประเทศอินเดียได้ประกาศผ่อนปรนในการส่งออกข้าวแต่นายกฯไม่คิดจะมีมาตราการรองรับเพื่อช่วยชาวนาเลย สายพันธุ์ข้าวของไทยให้ผลผลิตเป็นรองทุกประเทศ ชนะเพียงประเทศเมียนมาแค่ประเทศเดียว งานวิจัยที่ระบุว่าจะพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่มีการของบประมาณไปแล้วก็ไม่มีพันธุ์ข้าวใหม่ออกมา ตนมองว่าปัญหาทั้งหมดนี้เป็นปัญหาใหญ่แต่ยังไม่มีมาตราการดีๆออกมาเพื่อช่วยเหลือชาวนา จึงอยากฝากนายกช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ด้วย

นายวรโชติ กล่าวต่อว่า เรื่องราคาข้าวโพดก็ดิ่งลงมาอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยสามารถผลิตข้าวโพดได้ปีละ5ล้านตัน แต่ความต้องการใช้ภายในประเทศมีถึง8ล้านตัน ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมผลิตได้น้อยแต่ความต้องการมากทำไมราคาถึงถูก เพราะประเทศไทยมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตแทนอาหารสัตว์แทนข้าวโพดภายในประเทศ ตนเคยเรียกร้องในรัฐบาลมีมาตรางดการนำเข้าวัตถุดิบถึงช่วงเดือนส.ค. เพราะเป็นช่วงที่เป็นช่วงเกี่ยวเก็บข้าวโพดภายในประเทศ แต่ก็ยังไม่มีมาตราการรองรับเช่นเดียวกัน

นายวรโชติ กล่าวว่า ราคามันสำปะหลังยิ่งแล้วใหญ่ต่ำสุดในรอบ20ปี สาเหตุหลักมาจากการนำเข้ามันจากประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีปัญหาการลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังตามแนวชายแดนซ้ำอีก ราคาตอนนี้ต่ำสุดในทุกรัฐบาลนายกฯควรลงพื้นที่ดูปัญหาได้เสียทีตอนนี้เกษตรกรเทุกข์ร้อนเป็นอย่างมาก ไม่หนำซ้ำราคาอ้อยที่ถูกเรียกร้องให้งดการเผาเพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม2.5 แต่ขณะนี้ยังไร้ค่าชดเชยตามที่ประกาศไว้

นายวรโชติ กล่าวว่า ปาล์มน้ำมันก็ลง ยางพาราก็มีราคาแน้วโน้มจะลงหากขาดความการเอาใจใส่จากรัฐบาลเกษตรกรจะเดือดร้อนอย่างมากที่สุด ปัญหาทุกอย่างที่ตนระบุมานั้นลามมาสู่ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ หวังว่านายกฯจะกลับมาดูแลเกษตรกรอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ตนมีความหวังเช่นเดียวกับประชาชนว่าต่อไปนี้เราจะมีชีวิตที่ดี มีกินมีใช้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ดั่งที่ท่านายกฯกล่าวไว้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2568

”เลขาไพบูลย์“ย้ำคำอภิปราย พล.อ.ประวิตร ชี้ชัดนายกฯยังอ่อนหัด ยกประโยค  “ชาติไม่ใช่เวทีที่มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ”  สะท้อนการทำงานรัฐบาล ไม่ได้สร้างความหวังใดๆให้ประชาชนเลย

”เลขาไพบูลย์“ย้ำคำอภิปราย พล.อ.ประวิตร ชี้ชัดนายกฯยังอ่อนหัด ยกประโยค  “ชาติไม่ใช่เวทีที่มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ”  สะท้อนการทำงานรัฐบาล ไม่ได้สร้างความหวังใดๆให้ประชาชนเลย

 นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  เปิดเผยว่า   ในการขึ้นอภิปราย ไม่ไว้วางใจ  นางสาวแพรทองธาร  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี   ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นับเป็นประเด็นสะท้อนปัญหาของการบริหารราชการแผ่นดิน ได้อย่างชัดเจน ในทุกประเด็น ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องและความไม่พร้อม ของความเป็นผู้นำรัฐบาล ในการบริหารประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน รวมถึงความมั่นคงของประเทศที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายและสร้างผลกระทบในระยะยาวของประเทศต่อไป  โดยเฉพาะคำอภิปรายของท่านหัวหน้าที่ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนด้อยประสบการณ์ของนายกได้อย่างชัดเจนตลอดทั้ง 10 นาที เช่นที่ระบุว่า

“ ผมเห็นใจท่านนายกรัฐมนตรี ที่ท่านต้องมาเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องความมั่นคงของชาติสำคัญอย่างย่ิง ประเทศชาติไม่ใช่เวทีที่มือสมัครเล่นมาซ้อมมือได้นะครับ”

 ทั้งนี้จากทิศทางของการอภิปรายของหัวหน้า เชื่อว่าตรงใจกับประชาชนที่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาอย่างหนักและมองไม่เห็นถึงโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากได้ หากยังปล่อยให้นายกฯคนนี้ บริหารงานราชการต่อไป  จะกระทบความเป็นอยู่ของที่น้องประชาชน   ซึ่งพรรคได้ติดตามเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน ที่แสดงความคิดเห็นในช่องทางสื่อต่างๆ ล้วนประเมินผลงานของรัฐบาลภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีชุดนี้ ยังสอบไม่ผ่าน เหมือนที่ประกาศนโยบายของตนเองออกไป 

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 26 มีนาคม 2568

“ไพบูลย์”เตือน“แพทองธาร-เพื่อไทย”อย่าประมาท เตรียมตัวรอรับการขยายผลหลังศึกอภิปรายให้ดี มอง อาจมีคนยื่นศาลฯ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

“ไพบูลย์”เตือน“แพทองธาร-เพื่อไทย”อย่าประมาท เตรียมตัวรอรับการขยายผลหลังศึกอภิปรายให้ดี มอง อาจมีคนยื่นศาลฯ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 มีนาคมว่า หลายเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านรวมถึงพรรคพลังประชารัฐจะนำมาอภิปราย หากข้อมูลที่นำมามีความชัดเจน เช่น ชี้ให้เห็นว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมของความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เช่น การครอบครองที่ธรณีสงฆ์ ก็จะถือว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งตนเชื่อว่า จะมีส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีการพิจารณาถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา ศาล รธน.มีบรรทัดฐานในการวินิจฉัยไว้อยู่แล้ว และยังมีบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาด้วย ดังนั้น น.ส.แพทองธาร และพรรคเพื่อไทยอย่าเพิ่งไปประมาท คิดว่า จะผ่านไปง่าย ๆ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจจะเกิดเรื่องสำคัญมากขึ้นมาก็ได้

“หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องที่ถูกนำมาอภิปรายจะถูกนำไปขยายผลได้ เช่นเรื่องผลประโยชน์ชาติ หรืออาจจะแปลงเป็นคำร้องต่างๆ เช่นคำร้องยื่นกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือมีการส่งคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญที่มันก็อาจมีผล เช่นหากมีคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากทั้งข้อกฎหมาย ความถูกต้องต่างๆ มันพร้อมทั้งองค์ประกอบ มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นมา“นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนการอภิปรายของพรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ กล่าวย้ำว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ท่านเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว และจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า พปชร.พร้อมทำหน้าที่ในทุกบทบาท และทันทีที่มีการเลือกตั้ง เราก็พร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

พปชร.อึ้ง งบ soft power 5 พันกว่าล้าน ได้แค่กางเกงช้าง 77 จังหวัด

,

พปชร.อึ้ง งบ soft power 5 พันกว่าล้าน ได้แค่กางเกงช้าง 77 จังหวัด

        วันที่ 23 มี.ค. 2568 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “ตามที่ น.ส. แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ได้ทำการโปรโมทกางเกงลายแต่ละจังหวัด 77 จังหวัด โดยคิดว่าเป็นซอฟพาวเวอร์ของประเทศไทยในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 ที่ผ่านมานั้น  โดยนายกรัฐนตรี ภาคภูมิใจผลงานกางเกง77 ลาย 77 จังหวัด และถิอว่าเป็น soft power ที่สำคัญของประเทศไทย
       เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นความสามารถในการเข้าใจทฤษฎี soft powerยังไม่ดีพอ  รัฐบาลต้องศึกษาให้เข้าใจ  คิดให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเช่นที่ผ่านมา กางเกงช้าง ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของไทยอย่างหนึ่ง  แต่ปรากฎว่า มีการก๊อปปี้ เลียนแบบจากต่างประเทศ แถมราคาถูกกว่าทำให้พ่อค้าแม่ค้าไทย ไม่ได้ประโยชน์ อะไรเลย  ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลมีแนวทางในการป้องกันการก๊อปปี้หรือลอกเลียนแบบ   ตลอดจนไม่มีแนวทางที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าคนไทยได้ประโยชน์  แต่กลับขยายเป็นกางเกงแต่ละจังหวัด 77 จังหวัด แทน    ถ้ามีเวลาจะหาหนังสือที่โปรเฟสเซอร์ โจเซฟ ไนย์ (Joseph S. Nye) เขียนไว้  เช่น “Soft Power: The Means to Success in World Politics“ หรือ”The Future of Power”ส่งไปให้ท่านนายก ฯได้ลองอ่านดู เผื่อรัฐบาลจะได้เข้าใจเรื่อง soft power มากขึ้น  
           ซึ่งในขณะนี้ประเทศต่างๆได้พัฒนาซอฟพาวเวอร์ของตัวเองไปไกลแล้ว  จะสังเกต เห็นได้ว่า  ซอฟพาวเวอร์ทางด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) มี ซีรี่ส์ จีน และเกาหลี ตลอดจนซีรี่ส์อินเดียกำลังมาแรงในตลาดภาพยนตร์ในประเทศไทย  ส่วน ซอฟพาวเวอร์จากต่างชาติทางด้าน อาหาร และเครื่องดื่ม (Food and Beverage) ที่บุกมาตลาดไทย  ไม่ว่าจะเป็น MIXUE,CHAGEE,HeyTea,WeDrink หรือBing Chun ยึดตลาดอาหารและเครื่องดื่มไทยเรียบร้อยแล้ว  ส่วน รัฐบาลไม่ได้มีแนวทางหรือมาตรการใดๆ ที่จะปกป้องหรือช่วยเหลือหรือส่งเสริมผู้ประกอบการ ทั้งเก่าและรายใหม่ของประเทศไทยแต่อย่างใด
          ตอบข้อซักถามกรณีที่ฝ่ายรัฐบาลคุยว่า จะมีเสียงฝ่ายค้านยกมือสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล  พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “ถ้า สส.ซื้อได้ด้วยเงิน ยอมขายเสียง ขายตัว ขายศักดิ์ศรี แล้วประชาชนจะหวังพึ่งใคร ประชาชนต้องจดจำใครเป็น สส.ขายคัว  ขายศักดิ์ศรี จะได้ไม่เลือกมาในคราวหน้า  ประชาชนตัดสินได้ครับ  ว่า สส.ที่เขาเลือกมาเป็นอย่างไร”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พล.อ.ประวิตร“ แสดงภาวะผู้นำสอนมวย ”แพทองธาร“ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ  ชี้ ทำให้ปชช.หนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหว ความเชื่อมั่นของประเทศถดถอย

,

“พล.อ.ประวิตร“ แสดงภาวะผู้นำสอนมวย ”แพทองธาร“ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ  ชี้ ทำให้ปชช.หนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหว ความเชื่อมั่นของประเทศถดถอย

 เมื่อเวลา 09.10 น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจ      ให้บริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป คือการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่ผิดพลาดล้มเหลว วันนี้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข อย่างที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญา พนักงานถูกเลิกจ้าง บริษัทปิดกิจการจำนวนมาก      ประชาชนหนี้ท่วมหัว ทั้งในระบบและนอกระบบ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 104 % ราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดิ่งเหวในรอบ 3 ปีรัฐบาลไม่มีแนวทางอะไร ที่แก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

  “ผมพยายามเอาใจช่วยนายกรัฐมนตรีให้แก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องคนไทยให้สำเร็จ เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรี เคยบริหารธุรกิจมาก่อน คงมีประสบการณ์ที่จะมาช่วยประเทศชาติได้ แต่ปรากฎว่า นายกรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ซ้ำยังถอยหลังไปอีก จนจีดีพีของไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน และที่สำคัญ คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความรู้ ความเข้าใจ เรื่องเศรษฐกิจ ด้วยการตัดงบประมาณนับแสนล้านบาท ที่ควรอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ไปใช้ แจกเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลกและ กองทุนIMF ได้ออกมาเตือนแล้วว่า การแจกเงินหมื่นไม่ได้ผล แต่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ แทน ถ้านายกรัฐมนตรีได้ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบคอบในทุกด้าน วันนี้คนไทยจะไม่ลำบาก ทุกข์ใจ ในเรื่องปากท้องอย่างแสนสาหัส”พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
 พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ตนเป็นห่วงประเทศชาติอย่างมาก และไม่สบายใจต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง คือเรื่องของ MOU 44 ที่วันนี้ท่านพาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยง เรื่องการสูญเสียดินแดน  และทรัพยากรทางทะเลมูลค่ามหาศาล และที่น่าเศร้าใจ คือ ลูกเรือประมงไทยที่นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะพากลับประเทศแต่ผ่านมา 4 เดือนแล้ว         ก็ยังไม่ได้กลับ

 ในฐานะที่ตนทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารบก รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตนทราบดีว่า การดำเนินงานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในหลายมิติมาก ตนเห็นใจนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ วันนี้ประเทศชาติไม่ใช่เวที ให้มือสมัครเล่น มาซ้อมมือ
 
 พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวต่อว่า การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกกันว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลพยายามจะผลักดัน มันมีช่องให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องได้อย่างมาก ตนขอย้ำว่า โครงการนี้อันตรายอย่างที่สุด เพราะจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้ การปล่อยปละละเลยในเรื่องต่างๆก็ส่งผลให้ไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา และปัญหาอาชญากรรมมากมายอยู่แล้ว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขาดคุณสมบัติตาม รธน.มาตรา 160 ( 4 )(5)ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะเรื่องการถือหุ้น บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ตลอดจนการปล่อยปละละเลย ให้บุคคลในครอบครัวกระทำการให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน
ซึ่งเรื่องนี้ตนขอให้เป็นหน้าที่ตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลเป็นเช่นไร ตนเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินท่านเอง
 
 ”ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา ไม่ใช่การกล่าวด้วยอคติ แต่ข้อมูลหลักฐานต่างๆ สส. พรรคพลังประชารัฐอีก 4 คนจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป ผมขอขอบคุณ สส.ทุกท่านในที่นี้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และประชาชนทุกคน ที่รับฟังในสิ่งที่ผมพูด ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้ ใจบันดาลแรงในการบริหารประเทศให้สำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็นคนหนุ่มสาวที่ยังมีแรง ผมเชื่อว่าถ้าท่านบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัวพวกพ้อง ผมเชื่อว่าประชาชน จะชื่นชมและยอมรับท่านเอง ขอให้โชคดีครับ“พล.อ.ประวิตร กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“พิมพ์พร”จี้ “แพทองธาร”แจงบัญชีทรัพย์สินให้ชัด ถาม มีเจตนาผ่องถ่ายทรัพย์สินให้ญาติหรือไม่ บอกหาภงด.94 ไม่เจอ เข้าข่ายไม่เสียภาษี ?

,

“พิมพ์พร”จี้ “แพทองธาร”แจงบัญชีทรัพย์สินให้ชัด ถาม มีเจตนาผ่องถ่ายทรัพย์สินให้ญาติหรือไม่ บอกหาภงด.94 ไม่เจอ เข้าข่ายไม่เสียภาษี ?

 เมื่อเวลา 09.30 น.น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนิติกรรมที่เป็นข้อสงสัยต่อสาธารณะ การยื่นแสดงในทรัพย์สินและหนี้สินของนายกฯ ซึ่งบัญชีแสดงรายการหนี้สินอื่นจำนวนกว่า 4,434 ล้านบาท หนี้สินนี้ประกอบไปด้วยหนี้ตามต่อสัญญาใช้เงินเพื่อชำระค่าหุ้นให้กับพี่น้องเครือญาตและบุคคลในครอบครัวของนายกฯ    ซึ่งจากการตรวจสอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ทั้ง 9 ฉบับเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ล้วนเป็นตัวสัญญาใช้เงินที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ชำระหนี้คืนและไม่มีการคิดดอกเบี้ย

 “กรณีนี้ดิฉันไม่เข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีมีเจตนาที่จะผ่องถ่ายทรัพย์สินโอนหุ้น กันระหว่างเครือญาติหรือไม่ เพราะโดยปกติในการกู้ยืมเงินกัน หรือการซื้อขายกันหากมีการกู้ยืมเงินกันจริงก็ต้องมีการกำหนดระยะเวลาใช้คืน และมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ซึ่งตั๋วเงินสัญญาในลักษณะนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ระบุว่าหากเป็นการกู้ยืมการระหว่างบุคคลและไม่ได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ สามารถเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายได้ร้อยละ 3 บาทต่อปี ซึ่งในลักษณะตัวสัญญาใช้เงินจำนวนดังกล่าว หากคิดดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะคิดดอกเบี้ยได้เป็นจำนวนเงินถึง 132 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งรัฐสามารถเก็บภาษีต่อเนื่องได้อีกเป็นจำนวนเงินหนึ่ง”น.ส.พิมพ์พร กล่าว

 น.ส.พิมพ์พร กล่าวว่า เงินจำนวนนี้อาจจะไม่ได้มากนัก แต่หากเงินจำนวนนี้ตกไปในพื้นที่ถิ่นทุรกันดารแบบที่ประชาชนรอคอยความช่วยเหลือ เงินจำนวนนี้ก็จะสามารถสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับพี่น้องในพื้นที่ได้ และจากการตรวจสอบเอกสารภาษีในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและใช้หนี้สิน กลับไม่พบการตั้งหนี้ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเอาไว้และไม่พบรายจ่ายสำหรับภาษีเงินได้ที่แจ้งเอาไว้เช่นกัน ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การกู้เงินตามตั๋วสัญญา      ดังกล่าวนี้เป็นการทำนิติกรรมที่อาจทำให้รัฐเสียหายจากรายได้ภาษีหรือไม่ และบทบัญญัติประมวลรัษฎากรมาตรา 39 คือเงินได้พึงประเมิน ย่อมหมายถึงตัวเงินที่เป็นตัวเงิน รวมถึงทรัพย์สินและประโยชน์อย่างอื่นที่อาจประเมินมูลค่าเป็นตัวเงินได้ ฉะนั้น ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวที่เกิดจากการได้รับหุ้นก็ต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินเช่นเดียวกัน ส่วนประเด็นความผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากตัวสัญญาใช้เงินกว่า 4,434 ล้านบาท ซึ่งหากมองในแง่ของการทำธุรกรรมกรณีดังกล่าวอาจจะไม่ชี้ชัดว่าขัดต่อเรื่องข้อกฎหมายในข้อใดอย่างชัดเจน แต่หากมองในเรื่องของจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหากนายกฯจะสามารถชี้แจงได้ก็คงเป็นประโยชน์กับสาธารณะ

 น.ส.พิมพ์พร กล่าวต่อด้วยว่า เรื่องการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายกฯ ซึ่งเอกสารได้แสดงถึงรายได้และรายจ่ายต่อปีโดยประมาณ และรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สิน ซึ่งรายการดังกล่าว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามกฎหมายตามประมวลรัษฎากรมาตราที่ 40 (5) ซึ่งผู้มีเงินได้ตามรายการดังกล่าวนั้นจะต้องยื่นแบบแสดงรายการการเสียภาษีด้วยแบบ ภงด.94 นั่นหมายความว่าการที่นายกฯ ได้แสดงรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินแต่กลับไม่พบแบบแสดงรายการภาษี ภงด.94 ปรากฏอยู่ในเอกสารประกอบรายการทรัพย์สินที่นายกฯ ยื่นไว้ ที่พบเพียงภงด.90 และ 91 ซึ่งหากนายกฯไม่ได้ยื่นภงด.94  อาจจะเข้าข่ายความผิดต่อหน้าที่ของบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 50 (9) นั่นคือหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติ และในกรณีดังกล่าวอาจจะไม่ได้มีความผิดร้ายแรงหากนายกฯ ได้ยื่นเพิ่มเติมหลังจากตรวจสอบเสียภาษี เสียเงินเพิ่ม และเสียเบี้ยปรับไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดีการที่ท่านเป็นนายกฯ นั่นหมายความว่าท่านต้องมีความละเอียดรอบคอบให้มากที่สุด เนื่องจากการบริหารราชการแผ่นดินการตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความละเอียดรอบคอบนั้น อาจจะนำพาให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายได้เช่นกัน

 “การเปลี่ยนแปลงการโอนหุ้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อมีการโอนหุ้นเกิดขึ้นแล้วการโอนหุ้นนี้กลับไม่ปรากฏรายได้ค่าหุ้นค้างรับหรือรายได้จากการขายหุ้นใดๆที่แสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่นายกฯ ได้ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และรายได้ที่นายกฯแสดงก็ไม่ปรากฏถึงรายได้จากการโอนหุ้น ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่านายกฯ อาจยื่นแสดงรายการขายทรัพย์สินไม่ครบถ้วนหรือไม่ เพราะหากนายกฯบอกว่าเป็นการโอนหรือการให้โดยเสน่หาท่านก็ยังคงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกอยู่ดี ดิฉันจึงอยากให้นายกไปชี้แจงประเด็นทางบัญชีต่างๆ ด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“สนธิรัตน์”ชี้ ปมปัญหาข้าวไทยที่รัฐแก้ไม่ตก เหตุแพงกว่าประเทศอื่น ไม่ใช่เพราะอินเดียกลับมาส่งออก แนะคนผลิต-คนขาย ต้องทำหน้าที่สอดรับในทิศทางเดียวกัน

“สนธิรัตน์”ชี้ ปมปัญหาข้าวไทยที่รัฐแก้ไม่ตก เหตุแพงกว่าประเทศอื่น ไม่ใช่เพราะอินเดียกลับมาส่งออก แนะคนผลิต-คนขาย ต้องทำหน้าที่สอดรับในทิศทางเดียวกัน

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นประธานกรรมการด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ โพสต์เฟสบุ๊คระบุถึงปัญหาราคาข้าวไทยในขณะนี้ว่า วังวนเรื่องข้าว คือโจทย์ใหญ่ที่รัฐยังแก้ไม่ตก ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ราคาแพงกว่า จะสู้อย่างไร? ผมเห็นราคาข้าวในช่วงที่ผ่านมาหลังอินเดียประกาศจะส่งออกเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดข้าวกลับคืน ราคาหล่นฮวบในพริบตา อินเดียกลับมาทวงคืนความเป็นเจ้าตลาดข้าวอีกครั้ง ซึ่งข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ (Basmati) แต่ 77% เป็นข้าวขาว เหมือนกับไทยที่ข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิเหมือนกันแต่เป็นข้าวขาว ถึงเวลาอินเดียประกาศมาส่งออกทีไร ราคาข้าวไทยชะงักทุกที

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่า คำตอบของภาครัฐที่บอกว่า ราคาข้าวตก เพราะอินเดียกลับมาส่งออกนั้น มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ไม่เพียงพอ เพราะการหาตลาดแบบที่กระทรวงพาณิชย์พยายามทำอยู่นั้น คือการแก้ที่ปลายเหตุแล้ว ประเด็นหลักของตนคือ ราคาข้าวขาวของเราที่แพงกว่าพ่อค้าเจ้าอื่น เช่น ข้าวขาว 5% ไทยราคา 424 เหรียญต่อตัน เวียดนาม ราคา 392-396 เหรียญ/ตัน อินเดีย 403 -407 เหรียญต่อตัน ขณะที่ข้าวขาว 25% ไทยเราราคา 411 เหรียญต่อตัน ขณะที่เวียดนาม 370 เหรียญต่อตัน อินเดีย 390 เหรียญต่อตัน

“ตลาดข้าวขาวเราแข่งกันด้วยราคาล้วน ๆ อย่าง ตลาดดั้งเดิมเราอย่างฟิลิปปินส์เราเสียแชมป์ให้กับเวียดนามไปด้วยเหตุทางด้านราคา หากราคาดี ต่อให้เจอประกาศส่งออกก็พอที่จะรักษาลูกค้าตลาดข้าวได้อยู่บ้าง ซึ่งปัญหาด้านราคาของเราคือ ต้นทุนที่ยังไม่ลด ผลผลิตต่อไร่ก็ยังไม่สูง โดยผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 400 -600 กก. ต่อไร่ ขณะที่คู่แข่งเวียดนาม อินเดีย ผลผลิตต่อไร่ เขาเฉลี่ยอยู่ที่ 600-900 กก.ต่อไร่ หรือบางสายพันธุ์พัฒนาไปแล้วให้ผลผลิตเกินกว่า 1,000 กก. ต่อไร่ก็มี
อันนี้พูดถึงเฉพาะข้าวขาวก็หืดขึ้นคอแล้ว ยังไม่รวมพันธุ์ข้าวพื้นนุ่มที่เป็นที่ต้องการของตลาดเอเชีย ซึ่งเรามีเพียง 17 สายพันธุ์ที่รองรับโดยกรมการข้าว ขณะที่ข้าวพื้นแข็งมี 57 สายพันธุ์ ส่วนตลาดข้าวหอมมะลิที่เป็นตลาดเฉพาะถูกท้าทายพอสมควรหลังเวียดนามพัฒนาพันธุ์ข้าวเจาะตลาดเฉพาะอย่างสายพันธุ์ ST ให้ผลผลิตสูงกว่า 1,000 กก.ต่อไร่”นายสนธิรัตน์ ระบุ

นายสนธิรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ลำพังหาตลาดไม่พอ ต้องฮึดสู้กว่านี้ ถ้าอยากจะแข่งขันได้ คนผลิตกับคนขายต้องทำหน้าที่สอดรับในทิศทางเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเหนื่อยแน่ ยิ่ง สศก. ปล่อยตัวเลขประมาณการปีนี้ 34.87 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 22 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 4 % หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตั้งรับมือกันดี ๆ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามวนมาอีกรอบ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568

“สส.สุธรรม”ข้องใจคนในครอบครัวนายกฯ โอนหุ้นอัลไพน์ไปมา-หวงแหนที่ดินธรณีสงฆ์ แนะ หากจะยุบสภาควรคืนที่ธรณีสงฆ์ให้วัด ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคเพื่อล้างบาป

,

“สส.สุธรรม”ข้องใจคนในครอบครัวนายกฯ โอนหุ้นอัลไพน์ไปมา-หวงแหนที่ดินธรณีสงฆ์ แนะ หากจะยุบสภาควรคืนที่ธรณีสงฆ์ให้วัด ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคเพื่อล้างบาป

เมื่อเวลา 13.00 น.นายสุธรรม จริตงาม สส.พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน และสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ จึงเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุที่ตั้งข้อกล่าวหารุนแรงมาจากพฤติการณ์ของนายกรัฐมนตรี ที่ได้หากินในที่ดินธรณีสงฆ์ซึ่งเป็นสมบัติของวัดธรรมิการาม ด้วยการถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์กอล์ฟ แอนด์สปอร์ตคลับจำกัด ซึ่งศาลตัดสินแล้ว ควรถึงเวลาที่จะคืนที่ดินให้วัดตามเจตนารมณ์ของผู้ยกที่ดินให้กับทางวัด

นายสุธรรม กล่าวว่า ในฐานะชาวพุทธไม่สบายใจที่มีผู้มาหากินกับทรัพย์สินของทางวัด และถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีเป็นการขัดกันของผลประโยชน์ เพราะหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วต้องถือหมวก 2 ใบ คืนในฐานะ นายกรัฐมนตรี และลูกที่เพิ่งโอนหุ้นให้กับมารดาของตนเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทนี้มีการโอนหุ้นกันไปมาภายในครอบครัว โดยไม่ทราบว่าพฤติกรรมของครอบครัวนี้ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ทั้งที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินเป็นหมื่นล้านบาท เพราะเหตุใดจึงหวงแหนที่แปลงนี้ จึงถือเป็นเรื่องส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ต้องชี้แจงด้วยตนเอง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องศีลธรรมและความซื่อสัตย์ แต่ไม่อยากต่อว่ามากเพราะตอนที่นายกรัฐมนตรีถือหุ้นบริษัทอัลไพน์ยังเด็ก และไม่ทราบเรื่องราวภายในครอบครัวนี้ แต่ก็ย่อมปฏิเสธพฤติกรรมในอดีตไม่ได้ จึงถือว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม
คนที่เป็นนายกฯ ของประเทศไทยไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเสื่อมเสียเกียรติ

“หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาหรือลาออก ควรจะพูดคุยกับคนในครอบครัว คืนที่ดินแปลงนี้ให้กับวัดเพื่อลบล้างบาปผลกรรมที่ทำไว้กับทางวัดมายาวนาน”นายสุธรรม กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 24 มีนาคม 2568