โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

หมวดหมู่: ข่าวกิจกรรม

“สส.จำลอง”เผย ดีใจแทนเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มีโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต มั่นใจ“นายกฯ-รมว.ธรรมนัส”ดูแล ปชช.อย่างดี

,

“สส.จำลอง”เผย ดีใจแทนเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มีโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต มั่นใจ“นายกฯ-รมว.ธรรมนัส”ดูแล ปชช.อย่างดี

นายจำลอง ภูนวนทา สส.กาฬสินธุ์ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า พี่น้องประชาชนฝากความห่วงใยมายังรัฐบาลในเรื่องปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งตนต้องกราบขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร โดยตนได้นำปัญหาชาวบ้านไปปรึกษาท่าน ในฐานะที่อยู่พรรคเดียวกันนะครับท่านนายกรัฐมนตรี โครงการปุ๋ยคนละครึ่งเป็นกระบวนการในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิต ตนดีใจแทนพี่น้องประชาชน ส่วนขั้นตอนการลงทะเบียน ท่านรัฐมนตรีบอกว่าจะอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทุกกระบวนการจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และ สะดวกสบาย อย่างแน่นอน

“ส่วนมีสมาชิกผู้ทรงเกียรติเป็นห่วงเป็นใยเรื่องเงินเยียวยาที่เคยได้รับไร่ละ 1,000 หรือขอเป็นไร่ละ 500 บ้าง อันนี้ไม่ต้องห่วง รัฐบาลโดยการนำของท่านเศรษฐา ทวีสิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า มีความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องประชาชนอย่างดีอยู่แล้ว และมีมาตรการเยียวยาอย่างแน่นอน”

นายจำลอง กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มีความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องประชาชนมากที่สุดคือ เรื่องยาเสพติด โชคดีที่วานนี้(10 ก.ค.)กระบวนในการสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อลดละเลิกยาเสพติดของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เริ่มจัดทำที่จังหวัดอุดรธานี แต่สิ่งที่ตนอยากทราบคือ งบประมาณในการช่วยตำรวจในการปฏิบัติราชการ เพื่อป้องกัน ปราบปราม และป้องปราม พี่น้องผู้ติดยาเสพติด เพราะจะเห็นได้ว่าตอนนี้ประชาชนผู้ติดยาเสพติด ไม่ได้มีเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งปกติจะมีช่วงอายุ 18 – 24 ปี แต่ปัจจุบันอายุประมาณ 12 ก็เริ่มติดยาเสพติดแล้ว รวมถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่อายุตั้งแต่ 39 ปีขึ้นไป ก็มีการติดยาเสพติดมากขึ้นด้ว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 กรกฎาคม 2567

“สส.สะถิระ”แนะ สถาบัน วว.ต้องเน้นพัฒนาคน เห็นความสำคัญของวิทยาลัยอาชีวะ ส่งเสริมให้สร้างชื่อเสียงได้ มอง ควรลงทุนกับภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างฐาน ศก.จากระดับล่างก่อน

,

“สส.สะถิระ”แนะ สถาบัน วว.ต้องเน้นพัฒนาคน เห็นความสำคัญของวิทยาลัยอาชีวะ ส่งเสริมให้สร้างชื่อเสียงได้ มอง ควรลงทุนกับภูมิปัญญาชาวบ้าน สร้างฐาน ศก.จากระดับล่างก่อน

นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี เขต 10 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ.ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ในช่วง 10 ที่ผ่านมา ประเทศที่อยู่ฝั่งตะวันออกมีผู้คิดค้นนวัตกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศตะวันออก เพราะฉะนั้นประเทศไทยคือส่วนหนึ่งในการผลิตบุคลากรที่จะสร้างนวัตกรรมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และสถาบันวิจัยฯก็คือ สถานที่ผลิตบุคลากรเหล่านี้

นายสะถิระ กล่าวต่อว่า หากดูจากร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยฯ ในมาตรา 7 มีแต่การพูดถึงเชิงพาณิชย์เชิงอุตสาหกรรม แต่ไม่ได้พูดถึงการสร้างบุคลากรเลย ตนคิดว่า ประเทศเราควรวางแผนคน ก่อนวางแผนรบ บุคลากรนักวิจัยหลาย ๆ ท่าน จะเติบโตขึ้นมาได้อยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ แล้วการลงทุนในแต่ละองค์กร ไม่ว่าจะเป็น sme หรือห้างร้านสรรพสินค้าใหญ่ ๆ มันจำเป็นหรือไม่ อย่างไร

“ผมยกตัวอย่าง ถ้าท่านลงทุนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งผมเชื่อว่ามีนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่นกัน ที่สำคัญวิทยาลัยอาชีวะก็ไม่น้อยหน้าใครในโลก อย่างบ้านผมวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ สามารถไปประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับโลกมาแล้ว หรือแม้กระทั่งโรงเรียนมัธยมระดับมัธยมศึกษา บ้านผม โรงเรียนพลูตาหลวง โรงเรียนสัตหีบ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศ ท่านได้เข้าไปร่วมลงทุนกับพวกเขาแล้วหรือยัง“นายสะถิระ กล่าว

นายสะถิระ กล่าวต่อว่า ประเทศในแถบตะวันตก เขาสนับสนุนการวิจัยตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ตนฝากคณะ วว.ว่า การวางแผนคนสำคัญไม่แพ้กับงานวิจัย การเข้าถึงขององค์กรปกครองท้องถิ่น เข้าถึงของวิทยาลัยอาชีวะ การเข้าถึงของระดับมัธยมศึกษา เข้าถึงท่านได้แล้วหรือยัง ตนเห็นควรว่า ท่านต้องเข้าหาเขา ไม่ใช่เขาเข้าหาท่าน เมื่อท่านมีงบประมาณ

นายสะถิระ ยังกล่าวต่อว่า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือเศรษฐกิจ นั่นคือระดับบน แต่ระดับล่าง เป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเช่นกัน คำว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือนวัตกรรมอย่างหนึ่งของประเทศไทย เช่น กำนันในหมู่บ้านสอนให้เอาท่อแปบ 2 ท่อไปเสียบไว้ที่ต้นโคนกล้วย เมื่อลองทำปรากฏว่า กล้วยขึ้นทุกต้น หรือ กะลาที่นำมาช่วยกายภาพบำบัดได้ เราต้องให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาชาวบ้านเช่นกัน

“คำถามอยู่ว่าท่านจะให้เขาเป็นพาร์ทเนอร์กับท่านได้อย่างไร บุคคล หรือองค์กรเหล่านี้ ซึ่งเป็นองค์กรที่ท่านบอกว่า อยู่ในชุมชนจะเข้าถึงท่านได้อย่างไร ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ท่านควรเข้าหาเขา อันนี้สิ่งสำคัญที่ท่านจะสร้างเศรษฐกิจจากระดับล่าง แล้วพี่น้องในพื้นที่ทุกพื้นที่จะได้รับประโยชน์จากสถาบันของท่าน”นายสะถิระ กล่าวทิ้งท้าย

จากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการและตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณา จำนวน 33 คน กำหนดแปรญัตติ 15 วัน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 11 กรกฎาคม 2567

“สส.บุญชัย”ฝาก “กระทรวงคมนาคม-กรมเจ้าท่า”อนุมัติงบซ่อมแซมถนน พร้อมขุดลอกแม่น้ำป่าสัก บรรเทาน้ำท่วม น้ำแล้ง ให้ ปชช.

,

“สส.บุญชัย”ฝาก “กระทรวงคมนาคม-กรมเจ้าท่า”อนุมัติงบซ่อมแซมถนน พร้อมขุดลอกแม่น้ำป่าสัก บรรเทาน้ำท่วม น้ำแล้ง ให้ ปชช.

นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาฯถึงความเดือนร้อนของพี่น้องในเขตพื้นที่ โดยตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 บ้านแก่งเสี้ยว ต.นาซำ อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ที่ได้รับความเดือนร้อนจากการสร้างฝาย กันลำน้ำพุง ของกรมทรัพยากรน้ำที่ 2 ผ่านมา 4 -5 ปีแล้ว ประตูฝายได้ชำรุดเปิด-ปิดไม่ได้ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการกักเก็บน้ำ และการระบายน้ำ จึงขอให้กรมทรัพยากรน้ำที่ 2 จังหวัดสระบุรี ช่วยจัดสรรงบประมาณซ่อมแซม นอกจากนี้ ยังมีความเดือดร้อนในการใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 12 กม.ที่ 286 ถึง 289 ระยะทาง 3 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่แคบและมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

“ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้อนุมัติงบขยายผิวทาง4 เลน ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร ยังเหลืออีก 1.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่อันตรายและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงขอให้ทางกระทรวงกรมคมนาคมจัดสรรงบประมาณก่อสร้างให้แล้วเสร็จ” นายบุญชัย กล่าว

นายบุญชัย กล่าวต่อว่า พื้นที่ตำบลศิลาและตำบลตาดกลอย อำเภอหล่มเก่า ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปี จากแม่น้ำป่าสักที่ตื้นเขิน หลายสิบปีแล้ว แม่น้ำป่าสักสายนี้ไม่ได้ถูกการดูแล และการขุดลอกเลย น้ำมาปีไหนท่วมปีนั้น ถ้าแล้งก็แล้งหนัก พี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ทั้งนี้ นายบุญชัยยังกล่าวขอบคุณกรมเจ้าท่าที่มาขุดลอกแม่น้ำป่าสัก ในตำบลสักหลง อำเภอหล่มสัก ระยะทาง 15 กิโลเมตร ในปีนี้ ซึ่งขุดไปแล้ว 10 กิโลเมตร ยังเหลืออีก 5 กิโลเมตร ทางพี่น้อง ตำบลสักหลง อำเภอสักหล่ม และขอฝากกรมเจ้าท่าช่วยจัดหางบประมาณ มาขุดลอกแม่น้ำป่าสักในตำบลสักหลงให้แล้วเสร็จ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“สส.องอาจ”ขอหน่วยงานราชการลดขั้นตอนขอใช้พื้นที่แก้ปัญหา“ถนนพังเสียหาย-ไฟฟ้าส่องสว่าง ให้ ปชช. ชี้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาท้องถิ่น

,

“สส.องอาจ”ขอหน่วยงานราชการลดขั้นตอนขอใช้พื้นที่แก้ปัญหา“ถนนพังเสียหาย-ไฟฟ้าส่องสว่าง ให้ ปชช. ชี้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาท้องถิ่น

นายองอาจ วงษ์ประยูร สส.สระบุรี เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาฯว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องอำเภอพระพุทธบาท นายอำเภอ สจ.ในพื้นที่ นายกเทศบาลตำบลห้วยป่าหวาย และกำนันตำบลห้วยป่าหวาย รวมถึงผู้นำชุมชน ร่วมกันลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ถนนพังเสียหายชำรุดอย่างหนักตลอดสายก็คือ ถนนเลียบคลองชลประทานฝั่งซ้าย เชื่อมระหว่างถนนทางหลวง 3034 สายหน้าพระลาน บ้านควน เชื่อมกับสาย 3250 สันประดู่ โดยถนนสายนี้เป็นถนนสายหลัก มีรถเล็ก รถบรรทุกวิ่งตลอดทั้งวัน ถนนแยกเกิดอุบัติเหตุรายวัน

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แพทย์ประจำตำบล เกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำก็สลบคาที่บนถนนเส้นนี้ ปัญหาก็คือ ท้องถิ่น อบจ.ตั้งใจที่จะมาซ่อมแซม ปรับปรุง สร้างใหม่ให้ก็ต้องใช้เวลานาน ทั้งๆที่มีงบประมาณ แต่ติดขัดเรื่องพิธีกรรมและระเบียบต่างๆ ในการขออนุญาตเจ้าของพื้นที่ อย่างกรมชลประทาน ทางหลวงชนบท จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ช่วยเร่งรัด ซ่อมแซม ปรับปรุงถนนเส้นนี้โดยด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขระเบียบขั้นตอน เพื่อลดอุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้เกิดความล่าช้าในระบบราชการ อย่างเช่น เรื่องของขออนุญาตซึ่งเป็นอุปสรรคการพัฒนาท้องถิ่นมาเป็นเวลานาน

นายองอาจ ยังกล่าวต่อถึงปัญหาถนนขาดไฟฟ้าส่องสว่าง มืดมิดยามค่ำคืน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ใช้รถใช้ถนน ผู้สัญจรไปมา และเสี่ยงอันตรายในชีวิตและทรัพย์สินกับลูกหลานของเราเวลาเดินทางกลับบ้านช่วงกลางคืน อย่างเช่น ถนนบริเวณเลียบคลองตำบลห้วยป่าหวาย ถนนเส้นนี้ก็ขาดไฟฟ้าส่องสว่างตลอดสาย รวมถึงถนนสายหนองโดนน้อยหมู่ 9 ถึงประดู่หมู่ 5 ถนนสายนี้มีเสาไฟฟ้าโซล่าเซลล์ครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียว ขาดความสว่าง เพราะว่าไฟดับตลอดทั้งสายมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

นอกจากนี้ เสาไฟฟ้าบริเวณหลังวัดสร่างโศก อำเภอบ้านหมอ ถูกรถยนต์ชนหัก ทำให้ไฟฟ้าบริเวณนี้ดับมาเป็นเวลาหลายเดือน โดยติดขัดเรื่องระเบียบเช่นกันเพราะถ้าจะติดตั้งใหม่ต้องมีขั้นตอนต่างๆ เรื่องของการแจ้งความ หาผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายเพื่อจะชดใช้ ถ้ารอก็คงใช้เวลาอีกนาน ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“สส.อามินทร์” ขอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการปัญหาไฟไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง ทำลายพืชผลเกษตรของชาวบ้านให้ดีกว่านี้ พร้อมขอเพิ่มเที่ยวบิน นราธิวาส – กรุงเทพฯ ให้พอต่อความต้องการของ ปชช.

,

“สส.อามินทร์” ขอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการปัญหาไฟไหม้ป่าพรุโต๊ะแดง ทำลายพืชผลเกษตรของชาวบ้านให้ดีกว่านี้ พร้อมขอเพิ่มเที่ยวบิน นราธิวาส – กรุงเทพฯ ให้พอต่อความต้องการของ ปชช.

นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวหารือในที่ประชุมสภาฯถึงปัญหาเรื่องไฟป่า ปัจจุบันป่าพรุที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย คือศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร หรือ ป่าพรุโต๊ะแดง ที่อยู่ในจังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่กว่า 120,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ติดกับพื้นที่เพาะปลูก ฃของเกษตรกรชาวสวน ชาวไร่ ไม่ว่าจะเป็นสวนยาง สวนปาล์ม และนาข้าวนับ 10,000 ไร่

นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า ปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุก ๆ ปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นก็คือ ไฟไหม้ป่าพรุ ที่ไม่ว่าจะเกิดจากภัยธรรมชาติ หรือน้ำมือมนุษย์ ล้วนสร้างความเสียหาย ทั้งพื้นที่ป่าพรุและพื้นที่ทางการเกษตร ช่วงปิดสมัยประชุมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุไฟป่าบริเวณป่าพรุลุกลามเป็นบริเวณกว้าง ตนได้มีโอกาสลงพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้เห็นและทราบถึงปัญหาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแผนการรับมือ เครื่องไม้ เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่เพียงพอของหน่วยบรรเทาสาธารณภัย การขุดลอกคลองทำแนวกันไฟของกรมชลประทาน เพราะพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ ขนาดนี้การลากสายยาว 2 กิโลเมตร การใช้กำลังคนฝ่าดงใบไม้ทับถมกว่า 1 เมตร เสี่ยงต่อการภารกิจดับไฟ

“ผมขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบบริหารจัดการกรณีเกิดไฟไหม้ป่าพรุที่สร้างความเสียหาย และสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปไม่ใช่น้อย ในแต่ละปี ยังสร้างความเดือดร้อนด้านพืชผลทางการเกษตร ขอให้มีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ให้พี่น้องเกษตรกร และเพื่อรักษาไว้ซึ่งป่าพรุผืนสุดท้ายของแผ่นดินนี้”นายอามินทร์ กล่าว

นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่งคือ ขอให้มีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการโดยสารด้วยสายการบินของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ให้เร่งแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน นราธิวาส – กรุงเทพฯ ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ปัจจุบัน วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ เหลือเพียงวันละเที่ยว สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนอย่างมาก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“พล.อ.ประวิตร“ นำรมว.-สส.พปชร.ประชุมคึกคัก กำชับลูกพรรคทำหน้าที่ในสภา-กมธ.ให้เต็มที่ ด้าน ร.อ.ธรรมนัส แจงนโยบาย พปชร. “ปุ๋ยคนละครึ่ง” เตรียมส่งถึงมือเกษตรกร ไม่ล็อคสเปก ย้ำ คนละส่วนกับชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ส่วนปมประเด็น“ทับลาน” ยึดหลักกฎหมาย สร้างความเป็นธรรมทุกฝ่าย

,

“พล.อ.ประวิตร“ นำรมว.-สส.พปชร.ประชุมคึกคัก กำชับลูกพรรคทำหน้าที่ในสภา-กมธ.ให้เต็มที่ ด้าน ร.อ.ธรรมนัส แจงนโยบาย พปชร. “ปุ๋ยคนละครึ่ง” เตรียมส่งถึงมือเกษตรกร ไม่ล็อคสเปก ย้ำ คนละส่วนกับชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ส่วนปมประเด็น“ทับลาน” ยึดหลักกฎหมาย สร้างความเป็นธรรมทุกฝ่าย

เวลา 15.30 (9 กรกฎาคม 2567 )พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) โดยมีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรองหัวหน้าพรรค , ,นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรฯ และนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ,พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เหรัญญิกพรรค และนายทะเบียนพรรค นายอุตตม สาวนายน ประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ นายวราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญ และนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานยุทธศาสตร์ด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โดยกำชับให้ สส.ของพรรค ทำหน้าที่ในสภาฯ ใน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1. ใช้สิทธิในการอภิปรายหารือ ตั้งกระทู้ถามเสนอหรืออภิปราย ในญัตติต่างๆตามความเหมาะสมเพื่อที่จะได้ นำปัญหา ของประชาชนมาแจ้งต่อฝ่ายบริหารให้แก้ไข หรือร่วมแสดงความเห็นต่อเรื่องที่สำคัญ ในญัตติต่างๆ 2. ในส่วนของ คณะกรรมาธิการ ชุดต่างๆควรจะ เร่งประชุมหารือกันในเรื่องที่ กำลังพิจารณากันอยู่ เพื่อสรุปผลการดำเนินการ ให้แล้วเสร็จและส่งให้หน่วยงานรัฐ ที่รับผิดชอบรับไปพิจารณา ดำเนินการ ต่อไป 3. รวบรวม เรื่องความต้องการ และปัญหาต่างๆของพี่น้องประชาชน ในเขตพื้นที่มาหารือกันในคณะกรรมการภาค เพื่อสรุปปัญหาที่สำคัญๆเพื่อส่งให้รัฐมนตรีรวมทั้ง ฝ่ายวิชาการ และฝ่าย นโยบาย ของพรรคนำไปพิจารณา หาทางดำเนินการแก้ไขหรือกำหนดเป็น นโยบายของพรรคในโอกาส ต่อไป

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพปชร. ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานถึงความคืบหน้าโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของพรรค ในการช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างแท้จริง ในการลดภาระต้นทุน และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้แข่งขันได้ ซึ่งเกษตรกรให้ความสนใจในโครงการนี้ โดยเรื่องนี้ได้มีการหยิบยกหารือในการประชุมครม.ที่ผ่านมา เพื่อการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกพรรค ซึ่งมั่นใจว่าระบบการบริหารจัดการ จะสามารถส่งถึงมือได้อย่างโปร่งใส ไม่สามารถเปิดโอกาสให้เกิดการคอรัปชั่นได้ เพราะเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ โดยเปิดให้เอกชนทุกรายสามารถเข้ามาร่วมโครงการได้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ ผ่านกลไกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธกส.)

โครงการดังกล่าว สามารถช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ถึง 16 ล้านราย เกษตรกรสามารถเลือกใช้ ปุ๋ย 15 สูตร ทั้งปุ๋ยเคมี ชีวภาพ และอินทรีย์ ซึ่งในแต่ละพื้นที่การเพาะปลูกข้าว ในฤดูกาลผลิต 67/68 จะเร่ิมระยะเวลาเพาะปลูกไม่เหมือนกันในแต่ละภาค และแต่ละจังหวัด ซึ่งการเพาะปลูกจะเร่ิมตั้งแต่เดือนนี้ จนถึงธันวาคมปี 2567 ดังนั้น หากเกษตรกรรายใดที่ได้ผ่านการลงทะเบียน ผ่านกรมส่งเสริมการเกษตร สามารถขอรับการสนับสนุนในโครงการได้ทันที โดยที่เกษตรกร ต้องมีการไถ หว่าน หรือดำนา ไปแล้ว 15 วัน

“โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เป็นหนึ่งใน 2 เรื่องที่พรรคหาเสียงไว้ โดยเรื่องแรก เรื่องเปลี่ยน “ส.ป.ก.4-01” เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนโยบายปุ๋ย เป็นอีกนโยบาย ที่พรรคได้ดำเนินการเพื่อเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรในการลดต้นทุน และเพิ่มมูลค่าผลผลิต ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือน สามารถลดต้นทุนการผลิตข้าวได้ 10 `%ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 %และที่สำคัญ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสามารถเข้าถึงปุ๋ยคุณภาพในราคาถูก สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว และยกระดับคุณภาพข้าวเพื่อตอนบสนองความต้องการของตลาด

ร.อ. ธรรมนัส กล่าวในที่ประชุมว่า โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง กับ โครงการชดเชยเยียวยาไร่ละ 1,000 บาท เป็นคนละโครงการกัน ซึ่งโครงการชดเชยเยียวยา 1,000 บาท มีมาสมัยรัฐบาลที่แล้ว ที่เติมให้ไร่ละ 1,000 บาทไม่เกิน 20 ไร่ เป็นโครงการช่วยเหลือในเหตุการณ์วิกฤติ ปีที่ผ่านมาที่ราคาข้าวอยู่ประมาณ 7,000-8,000 บาทต่อตัน แต่ปัจจุบันราคาข้าวดีขึ้นแล้ว จึงทำให้เกิดโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เพื่อลดต้นทุนของเกษตรกรชาวนา และเพิ่มจำนวนผลผลิตต่อไร่ของข้าว ซึ่งเป็นโครงการที่มีความยั่งยืน และใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เป็นสิ่งที่พูดคุยกับหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง

นายนภดล พลเสน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมได้รายงานต่อที่ประชุมถึงกรณี ที่ประชาชน ออกมาเรียกร้องถึงกรณีการแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนใน อ.ทับลาน จ.นครราชสีมา ว่า โดยพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ได้ให้นโยบายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการเร่งด่วน คือ
1.ให้พิจารณาสิทธิชาวบ้านในการถือครองที่ดิน ส.ป.ก.ที่ทำกิน ต้องไม่มีนายทุนนักการเมืองถือครองเด็ดขาด พิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน2.ให้ความเป็นธรรมชาวบ้าน ที่อยู่มาดั้งเดิมกว่า 20 ปี เพื่อให้ได้รับสิทธิที่ดินอย่างถูกต้องเป็นธรรม ไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน คาดว่ามีประมาณ 5 หมื่นไร่3.การจัดสรรพื้นที่ให้ชาวบ้านทำกิน ต้องไม่ตัดผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ห้ามตัดพื้นที่ต้นน้ำ หรือที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ ไม่อนุญาตให้แบ่งแยกออกไปเพราะต้องรักษาผืนป่าไว้อาจพิจารณาตัดแบ่งเฉพาะที่ประชาชนอาศัยและทำกินอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

พัชรวาท สั่งการด่วน! วางกฎเหล็ก 3 ข้อ แก้ปมพิพาทเฉือนป่าทับลาน

,

พัชรวาท สั่งการด่วน! วางกฎเหล็ก 3 ข้อ แก้ปมพิพาทเฉือนป่าทับลาน… คือ

1. ให้พิจารณาสิทธิชาวบ้านในการถือครองที่ดินซับซ้อน ส.ป.ก.ที่ทำกิน ต้องไม่มีนายทุนนักการเมือง ถือครองเด็ดขาด พิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน
2. ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน ที่อยู่อาศัยมาดั้งเดิมกว่า 40 ปี เพื่อรับสิทธิที่ดินอย่างถูกต้องเป็นธรรม เพื่อจะกันพื้นที่ให้ชัดเจนลดความคัดแย้งที่มีมายาวนาน
3. พื้นที่ป่าอนุรักษ์ จะไม่อนุญาตให้แบ่งแยกออกไป เพราะต้องรักษาผืนป่าไว้ และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ

บทสรุปคือ… พื้นที่ป่าอนุรักษ์ไม่เกี่ยวข้อง ยกเว้นที่เป็นชุมชนดั้งเดิม พื้นที่จะไม่ถึงกว่า 2.6 แสนไร่…. !!

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 กรกฎาคม 2567

“สส. อนันต์”นำชาวคลองลานร่วมถก ‘ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์’ จัดงาน“วิถีถิ่นชาติพันธุ์คลองลาน”สร้างจิตสำนึกคนในท้องถิ่นชูอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน

,

“สส. อนันต์”นำชาวคลองลานร่วมถก ‘ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์’ จัดงาน“วิถีถิ่นชาติพันธุ์คลองลาน”สร้างจิตสำนึกคนในท้องถิ่นชูอัตลักษณ์ ภูมิปัญญา สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน

นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวว่า ตนในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ได้ร่วมกับนางยุวดี คงอินทร์ ประธานสภา อบจ.กำแพงเพชร,ดร. วิทยา ทัศนไพบูลย์ นายกเทศมนตรีตำบลคลองลานพัฒนา , นายสุทธิพงษ์ หนูเนตร ปลัดอำเภอคลองลาน คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร และคณะกรรมการชาติพันธุ์ตำบลคลองลานพัฒนา ศึกษาแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตการต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ……ในด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม ทรัพยากร และผลิตภัณฑ์ต่างๆ สู่การจัดการทุนทางวัฒนธรรม 6 ชนเผ่า เพื่อนำไปสู่การพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ตำบลคลองลานพัฒนา ถือเป็นตำบลที่มีชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่มากที่สุดในจังหวัดถึง 6 ชาติพันธุ์ไม่ว่าจะเป็น ปกาเกอะญอ ม้ง ลาหู่ อิ้วเมี่ยน ลัวะ และลีซู ซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง มีความหลากหลายและความแตกต่างในด้านภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม ที่จะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมฟื้นฟูอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน

นายอนันต์ ยังกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 5-7 ก.ค.ที่ผ่านมา ชาวตำบลคลองลานพัฒนา ยังได้จัดกิจกรรมถนนสายวัฒนธรรม วิถีถิ่นชาติพันธุ์คลองลาน ประจำปี พ.ศ. 2567 เพื่อเน้นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างจิตสำนึกของคนในท้องถิ่น ให้เห็นในคุณค่าความสำคัญของอัตลักษณ์ วิถีถิ่น ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างรายได้ให้กับชุมชนในท้องถิ่นอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กรกฎาคม 2567

“สส.คอซีย์”จับมือเครือข่ายในท้องถิ่นจัดแข่งขันฟุตซอล ปี67 หนุนกลไกกีฬาเชื่อมความสามัคคีสู่การพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน

,

“สส.คอซีย์”จับมือเครือข่ายในท้องถิ่นจัดแข่งขันฟุตซอล ปี67
หนุนกลไกกีฬาเชื่อมความสามัคคีสู่การพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน

นายคอซีย์ มามุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ปัตตานี เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายอับดุลการิม ยีดำ นายอำเภอโคกโพธิ์ นายจอน สุกป่าน ปลัดอาวุโสอำเภอหนองจิก นายอุดมเกียรติ พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโคกโพธิ์ และเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมกันแถลงข่าวจัดการการแข่งขันฟุตซอล “กลุ่มเพื่อน สส.KORSEE CUP 1”ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมความสามัคคี และสุขภาพของคนในชุมชน ในนาม”กลุ่มเพื่อน สส.คอซีย์ มามุ” ซึ่งการแข่งกีฬา จะนำไปสู่การมีความรัก สอนให้คนมีน้ำใจ อาศัยกลไกกีฬาในการสร้างพลังในท้องถิ่นให้เกิดขึ้น และก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมการพัฒนาบ้านเมือง

ทั้งนี้การแข่งขันกีฬาจะเป็นเครื่องมือในการประสานพลังให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยการแข่งขันจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2567 – 18 สิงหาคม 2567 ทุกๆ วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตลอด 5 สัปดาห์ โดยมีทีมที่เข้าร่วมกันแข่งขันจำนวน 64 ทีม จาก 9 หน่วยราชการ จากอำเภอหนองจิกและอำเภอโคกโพธิ์

การแข่งขันฟุตซอล “กลุ่มเพื่อน สส.KORSEE CUP 1 ประจำปี 2567” ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมต.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท ผู้ชนะเลิศอันดับ 2 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท ผู้ชนะเลิศอันดับ 3 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2 พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท ผู้ชนะเลิศอันดับ 4 จะได้รับถ้วยเกียรติยศจาก นายอับดุลการิม ยีดำ นายอำเภอโคกโพธิ์ พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท รางวัลชมเชยอันดับที่ 5-8 รางวัลละ 2,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ

“การแข่งฟุตซอลในครั้งนี้จะผลักดันให้บุคลากรในหน่วยงานทั้งสองอำเภอได้สานสัมพันธ์ทางมิตรภาพผ่านกลไกการแข่งขันกีฬา และจะเป็นพลังร่วมกันในการมีส่วนร่วมพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ต่อไป “สส.คอซีย์ กล่าว”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กรกฎาคม 2567

“สส.จีรเดช”เผยข่าวดี โครงการก่อสร้างสนามบินพะเยาถูกบรรจุในงบปี 68 แล้ว ขอบคุณ“นายกฯรมต.คมนาคม-เกษตรฯ”ช่วยสานฝันให้ชาวพะเยา หนุนเศรษฐกิจจังหวัดเติบโต

,

“สส.จีรเดช”เผยข่าวดี โครงการก่อสร้างสนามบินพะเยาถูกบรรจุในงบปี 68 แล้ว ขอบคุณ“นายกฯรมต.คมนาคม-เกษตรฯ”ช่วยสานฝันให้ชาวพะเยา หนุนเศรษฐกิจจังหวัดเติบโต

นายจีรเดช ศรีวิราช สส.พะเยา เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการงบประมาณนั้น ได้มีงบในส่วนของโครงการสนามบินพะเยา ที่ตนเฝ้าติดตามและสอบถา ความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงคมนาคมได้ตั้งงบประมาณเป็นค่าจ้างออกแบบ รวมทั้งค่าจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ด้วยกรอบวงเงินงบประมาณกว่า 42 ล้านบาท นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่พี่น้องชาวพะเยา ต่างรอคอยกันมาอย่างยาวนาน หลังจากที่โครงการรถไฟได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านี้

“ผมต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ,ท่านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ติดตามและประสานงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพลังมวลชนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมด้วยช่วยกันผลักดันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา”นายจีรเดช กล่าว

นายจีรเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนหวังว่าหากโครงการนี้สำเร็จก็จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับจังหวัดพะเยาให้เท่าเทียมกับจังหวัดอื่น ๆ เพราะสนามบินถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการพัฒนาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น การสัญจร การขนส่งสินค้า ตลอดจนการท่องเที่ยว ซึ่งสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศอย่างมากมายมหาศาล รวมถึงจะสามารถเชื่อมโยงไปยังต่างจังหวัดต่างๆ และประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 9 กรกฎาคม 2567

“สส. กระแสร์” เผย น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมหนัก หลัง จ.หนองคายฝนตกต่อเนื่อง ต้องเร่งระบายน้ำลงแม่น้ำโขง บรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

,

“สส. กระแสร์” เผย น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมหนัก หลัง จ.หนองคายฝนตกต่อเนื่อง ต้องเร่งระบายน้ำลงแม่น้ำโขง บรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย เขต1 พรรคพลังประารัฐ(พปชร.)ลงพื้นที่ต.หินโงม ต.ศรีกาย ต.บ้านเดื่อ จังหวัดหนองคาย เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหนัก ต่อเนื่องติดต่อกันทำให้เกิดน้ำท่วมเข้าบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ชาวบ้านได้และเกษตรกรรับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี เนื่องจากพื้นที่ ต.สีกาย และ ต.หินโงม จะมีลำน้ำสวย ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่สำคัญไหลจากจังหวัดอุดรธานี มายังจังหวัดหนองคาย โดยผ่านพื้นที่ของ 2 ตำบลนี้ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ดังนั้นในแต่ละปีเมื่อฤดูฝน น้ำหลาก ปริมาณน้ำจะมีมากจนถึงขั้นไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตร แต่พอฤดูแล้ง ระดับน้ำลดต่ำลงจนเกิดปัญหาปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร

นายกระแสร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง อย่างเช่น เทศบาลตำบลบ้านเดื่อ อ.เมือง ได้เกิดน้ำท่วมขังพื้นที่เกษตรกรกว่า 2,000 ไร่แล้ว โดยสถานการณ์ในตอนนี้ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและเครื่องยนต์ขัดข้อง

“ผมได้ประสานกับท่านยุทธนา ศรีตะบุตร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมทั้งหาทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงต่อไป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกรและประชาชน รวมถึงมีการตรวจเช็คความเรียบร้อยขอวเครื่องสูบน้ำประจำจุดสูบน้ำภายในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ให้พร้อมใช้งานทันที” นายกระแสร์ กล่าว

ทั้งนี้ ทาง อบจ.หนองคายได้เตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน แก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งประชาชนสามารถขอรับการช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 088-686 9259,083-147 6329 และ 042-422 798

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 7 กรกฎาคม 2567

“สส.สุธรรม” เผย กมธ.เกษตร สภาฯ ดูงานเวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมสร้างโอกาสส่งเสริมสินค้าทางการเกษตรของทั้ง 2 ประเทศ

,

“สส.สุธรรม” เผย กมธ.เกษตร สภาฯ ดูงานเวียดนาม แลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมสร้างโอกาสส่งเสริมสินค้าทางการเกษตรของทั้ง 2 ประเทศ

นายสุธรรม จริตงาม สส.นครศรีธรรมราช เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรฯ สภาผู้แทนราษฏร เปิดเผยว่า คณะ กมธ.เกษตรฯ ได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม โดยได้ไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวที่เมืองเกิ่นเทอชื่อว่า “CUU LONG DELTA RICE RESEARCH INSTITUTE” ที่ก่อตั้งปี ค.ศ. 1977 มีพื้นที่ทั้งหมด 360 เฮกต้า หรือ 2,250 ไร่ ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 134 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล 50% ส่วนที่เหลือศูนย์วิจัยหารายได้เอง

นายสุธรรม กล่าวต่อว่า ประเทศเวียดนามให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามาก ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวของเวียดนามมีแนวทางการวิจัยที่ชัดเจนตามเป้าหมายของรัฐบาลเช่น พัฒนาพันธุ์ที่ต้านทานโรคได้ดี ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยถึง 3 เท่า พัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น พัฒนาสายพันธุ์ให้เหมาะกับพื้นที่น้ำท่วมหรือน้ำเค็ม ใช้งานวิจัยเป็นการแก้ปัญหา เช่น ทำอย่างไรจะปลูกข้าวได้ปีละ 3 ครั้ง ก็พัฒนาสายพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวได้ภายใน 85 วันขึ้นมา การพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีวิตามิน A สูง เป็นต้น และตอนนี้เวียดนามกำลังคิดว่า การปลูกข้าวมีรายได้ต่ำกว่าผลไม้ จะเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาปลูกผลไม้แทน ซึ่งในอนาคตเวียดนามก็อาจชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากไทยเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ คณะ กมธ.เกษตรฯยังเข้าเยี่ยมชม GO! Mall สาขา An Lac เพื่อศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับช่องทางการนำเข้า, หลักเกณฑ์และมาตรฐานในการพิจารณาคัดเลือกสินค้าประเภทสินค้าการเกษตรที่ต้องการจะนำเข้าเพื่อจัดจำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกของเวียดนาม ตลอดจนถึงได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างโอกาสในการนำเสนอและส่งเสริมสินค้าทางการเกษตรให้แก่ลูกค้าของทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน

“การดูงานที่ประเทศเวียดนามในครั้งนี้ กมธ.มีโอกาสประชุมกับส่วนราชการที่รับผิดชอบด้านการเกษตรของประเทศเวียดนามถึง 2 ครั้ง และได้ไปดูงานของภาคเอกชนเวียดนาม 4 ครั้ง ถือว่าคุ้มค่า และได้ประสบการณ์ ความรู้ กลับมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทภาคเกษตรของประเทศไทย” นายสุธรรม กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 6 กรกฎาคม 2567