โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

ปี: 2024

 “เลขาฯไพบูลย์” ยืนยัน 10 ต.ค. 7 โมงเช้าเป็นต้นไป มีเหตุที่จะนำไปสู่จุดจบพรรคแกนนำรัฐบาลล่มสลาย ชี้ เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

,

 “เลขาฯไพบูลย์” ยืนยัน 10 ต.ค. 7 โมงเช้าเป็นต้นไป มีเหตุที่จะนำไปสู่จุดจบพรรคแกนนำรัฐบาลล่มสลาย ชี้ เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 ต.ค. ที่พรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวว่า จากที่ตนได้ให้ข้อมูลในวันที่ 10 ต.ค. 2567 นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่มากของพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งอาจจะถึงบทจบของพรรคนี้

“วันนี้ได้รับการยืนยันล่าสุดแล้วว่าจะเป็นวันที่ 10 ต.ค.แน่นอน ซึ่งวันนี้ 8 ต.ค.เหลือเวลาไม่ถึง 48 ชม.แล้ว ที่พรรคแกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่งอาจจะล่มสลายได้ โดยในวันที่ 10 ต.ค.สื่อมวลชนจะได้ทราบเวลา 07.00 น.เป็นต้นไป ให้ทราบ ว่าเรื่องอะไร ที่ไหน เวลาเท่าไหร่ผมยืนยันว่า เป็นเรื่องใหญ่และอาจจะพัฒนาไปสู่บทจบของพรรคแกนนำรัฐบาล“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 8 ตุลาคม 2567

แถลงข่าวพรรคพลังประชารัฐ ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’มล.กรกสิวัฒน์-ธีระชัย“ วิพากษ์ผลงานของรัฐบาล กระทุ้งให้เงินบาทแข็งลดราคานํ้ามัน และระวังการเขมือบบริหารกองทุนวายุภักษ์

,

แถลงข่าวพรรคพลังประชารัฐ
ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’มล.กรกสิวัฒน์-ธีระชัย“ วิพากษ์ผลงานของรัฐบาล กระทุ้งให้เงินบาทแข็งลดราคานํ้ามัน และระวังการเขมือบบริหารกองทุนวายุภักษ์

วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคฯ นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร โดยมุ่งตรงไปยัง เรื่องเงินบาทกระทบราคานํ้ามัน และกองทุนวายุภักษ์

ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค กล่าวว่า เรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจต่อผู้ส่งออก เพราะแม้ว่าขายสินค้าเป็นเงินดอลล่าร์เท่าเดิมก็จริง แต่เมื่อแปลงเป็นบาทก็จะได้จำนวนน้อยลงกว่าเดิมถึง 10%

แต่เงินบาทอยู่ในตลาดเสรี การจะกำหนดให้ค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนคงที่ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากเงินบาทก็มันเหมือนสินค้าทั่วไปเมื่อมีคนต้องการมาก ราคาก็แพง หรือ เรียกว่า “บาทแข็ง” ตอนนี้ใช้เงินเพียง 33 บาท แลกเงินดอลล่าร์ได้ 1 เหรียญ ขณะที่ 3 เดือนก่อนต้องใช้เงินถึง 36 บาท จึงแลกเงินดอลล่าร์ได้ 1 เหรียญ

เงินบาทแข็งมีข้อเสีย ที่รู้กันดี คือ ส่งออกแล้วได้เงินบาทน้อยลง แต่การนำเข้าก็จ่ายเงินบาทน้อยลงเช่นกัน ข้อดีของบาทแข็ง คือ การนำเข้าสินค้าจำเป็นทั้ง นํ้ามันดิบ เพื่อกลั่นเป็นนํ้ามันเบนซินและดีเซล การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี เพื่อผลิตไฟฟ้าก็ต้องถูกลง ดังนั้น เมื่อบาทแข็งค่าครองชีพควรถูกลง เพราะต้นทุนการผลิตสินค้าและการขนส่งถูกลง

แต่ภายใต้การบริหารงานของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ราคานํ้ามันกลับมีราคาแพงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งยังคงสูง เงินเฟ้อจึงปรับตัวลงได้ยาก

เปรียบเทียบราคานํ้ามันในวันที่ 17 ธ.ค. 2564 ในช่วงที่เงินบาทและราคานํ้ามันดิบอยู่ในระดับเดียวกันกับปัจจุบัน (24 ก.ย. 2567) พบว่า ภายใต้การจัดการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช) ราคานํ้ามันกลับแพงขึ้น 4.5-5.5 บาท (ดูตารางแนบ) ทั้งนํ้ามันเบนซิน แก๊ซโซฮอลและนํ้ามันดีเซล เพราะมีการเรียกเก็บเงินกองทุนสูงขึ้น เก็บค่าการตลาดสูงขึ้น เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น ท่านนายกฯ ต้องตระหนักว่า ท่านต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช) ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดนโยบายยิ่งกว่ารัฐมนตรีพลังงาน จึงต้องจัดการปัญหาราคาพลังงานอย่างจริงจังและเร่งด่วน ก่อนที่ประชาชนจะตำหนิท่านว่า บริหารประเทศแบบ ปากว่าตาขยิบ

เพราะท่านเคยหาเสียงไว้ว่า ถ้าท่านเป็นรัฐบาลจะลดราคาพลังงานทันที แต่วันนี้ท่านเป็นนายกฯ แล้วกลับปล่อยปละละเลยให้ราคานํ้ามันสูงไม่สะท้อนค่าเงินบาทแข็ง ส่วนค่าไฟฟ้าก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง ทั้งที่การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีมีราคาตํ่าลง และข่าวร้ายก็คือ ค่าไฟฟ้าอาจจะปรับขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย

ดังนั้น หากท่านแพทองธารเป็นนายกฯ ที่ดี ต้องไม่นิ่งเฉย เพราะการไม่แก้ไขปัญหาจะเหมือนการทำร้ายประเทศชาติ ประชาชน และผู้ประกอบการ

**********

นายธีระชัยเปิดเผย มีข่าวว่าอาจมี “กลุ่มทุนยักษ์ไทยดูไบ” สนใจเรื่องคาสิโน และเรื่องกองทุนวายุภักษ์

กรณีคาสิโน:- นายธีระชัยนำข่าวจากสื่อมวลชนมาถ่ายทอด เกี่ยวกับบริษัท VGI ซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นหวือหวา โดยนสพ.’ข่าวหุ้น’ ระบุสาเหตุเนื่องจาก มีข่าวว่าเป็นรายหนึ่งที่จะยื่นขอใบอนุญาตคาสิโน

สื่อรายงานว่า บริษัท VGI เดิมมีนายคีรี กาญจนพาสน์ถือหุ้นอยู่ 60% บัดนี้ยอมลดลงเหลือ 30% เพราะขายหุ้น 45% ให้แก่นักลงทุนใหม่ 4 ราย รายหนึ่งชื่อกองทุน Opus Chartered Issuance ซึ่งนสพ.’ข่าวหุ้น’ เรียกเป็น “กลุ่มทุนยักษ์ไทยดูไบ”

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกูเกิ้ลพบว่า Opus Chartered Issuance เป็นบริษัทโบรกเกอร์จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศลักเซมเบิร์กในยุโรป ให้บริการเป็นหน้าฉากเพื่อปิดบังชื่อของผู้ถือหุ้นแท้จริง มีที่อยู่ติดต่อได้ในเมือง Umm Al Quwain ซึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ใกล้กับดูไบ ประชาชนจึงควรติดตามว่า โครงสร้างการถือหุ้นแบบนี้ ตั้งสมญานามเป็นไอ้โม่งดูไบ ได้หรือไม่? และเข้ามาลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ใด?

สื่อรายงานอีกว่า ส่วนนักลงทุนใหม่ในบริษัท VGI อีก 2 รายคือ CAI Optimum Fund VCC และ ASEAN Bounty นั้น นสพ. ‘ข่าวหุ้น’ พบว่ามีความเชื่อมโยงไปที่ บล.ฟินันซ่า ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้แก่กองทุนวายุภักษ์ด้วย
กรณีกองทุนวายุภักษ์:- นายธีระชัยนำข่าวจากสื่อมวลชนมาถ่ายทอด เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2567 กองทุน Opus เข้ามาซื้อหุ้นใน บลจ. MFC 24.96% ซึ่งทำให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด (ธนาคารออมสิน 24.94% และกระทรวงการคลัง 15.92%) ทั้งนี้ เนื่องจาก บลจ. MFC เป็นหนึ่งในสองผู้บริหารกองทุนวายุภักษ์ ประชาชนจึงควรติดตามว่า อาจมีไอ้โม่งเบื้องหลัง ที่ต้องการควบคุมการบริหารกองทุน ใช่หรือไม่?

นายธีระชัยอธิบายว่ากองทุนวายุภักษ์เป็นเป้าหมายที่ล่อใจ เพราะเงินที่เพิ่งระดมจากเอกชน 1.5 แสนล้านบาทนั้น กระทรวงการคลังได้ขยายขอบเขตให้ลงทุนได้แบบซูเปอร์เสี่ยง ได้ทั้งในและนอกประเทศไทย ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์

“ผมตั้งคำถาม ทำไมรัฐมนตรีคลังอนุมัติให้เสนอขายกองทุนวายุภักษ์อย่างไม่โปร่งใส ผิดวิสัยกองทุนขายประชาชนทั่วไป เพราะไม่ระบุเป้าหมายประเภทธุรกิจที่จะลงทุน แบบนี้ผู้จองซื้อจะไม่สามารถวิเคราะห์อนาคตได้เลย เพียงแค่จูงใจด้วยการประกันผลตอบแทนขั้นตํ่า และคุ้มครองเงินต้น ..

ผมจึงขอเตือนรัฐมนตรีคลัง ท่านมีหน้าที่ต้องป้องกันมิให้โครงการซึ่งเป็นของรัฐบาลไทย ตกไปเป็นเครื่องมือในการสมคบกันหาประโยชน์ส่วนตนให้แก่กลุ่มพรรคพวก” นายธีระชัยยํ้า

พร้อมทั้งเปิดเผยด้วยว่า ตนเองได้ร้องเรียนขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า อาจมีการปฏิบัติไม่สอดคล้องกฎหมายอาญา มาตรา 147, มาตรา 152, มาตรา 157 และมาตรา 358 หรือไม่ เพราะการเอาเงินแผ่นดิน 3.5 แสนล้านบาทไปประกันผลตอบแทนและคุ้มครองเงินต้นให้แก่ผู้ลงทุนเอกชนนั้น อาจเป็นการมิชอบ

นายธีระชัยเชิญชวน ผู้ใดที่สนใจจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และต้องการเจาะลึกในประเด็นเทคนิค ก็ติดต่อมาขอคำอธิบายได้

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

“พล.ต.ท.ปิยะ “เผย ที่ประชุม พปชร.เห็นควรต้องยกเลิก MOU 2544 ไทย-กัมพูชา เพื่อป้องอธิปไตยทางทะเล เกาะกูด พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ภาคอีสานเสริมทัพอีก 7 คน

,

“พล.ต.ท.ปิยะ “เผย ที่ประชุม พปชร.เห็นควรต้องยกเลิก MOU 2544 ไทย-กัมพูชา เพื่อป้องอธิปไตยทางทะเล เกาะกูด พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ภาคอีสานเสริมทัพอีก 7 คน

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ และ น.ส.กาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม คณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พปชร. ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานเปิดเผยว่า ก่อนอื่นในนามของพรรคพลังประชารัฐ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวของผู้สูญเสียในเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐได้มีการหารือถึงสถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดย พล.อ.ประวิตร เป็นห่วงสถานการณ์ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างมาก จึงกำชับให้ สส.ของพรรค โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ลงพื้นที่ดูแลประชาชนในเขตอุทกภัย โดยพื้นที่ใดที่ความช่วยเหลือจากภาครัฐยังเข้าไปไม่ถึง พรรคพลังประชารัฐจะลงไปให้การช่วยเหลือในทุกพื้นที่

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบการดำเนินจัดทำข้อมูลจังหวัดในเขตเลือกตั้ง และมอบหมายให้รองหัวหน้าพรรคแต่ละคนลงพื้นที่ไปติดตามเพื่อเข้าถึงปัญหาต่าง ๆ ของชาวบ้าน และนำมาแก้ปัญหาต่อไป

พล.ต.ท.ปิยะ ยังเปิดเผยด้วยว่า พรรคพปชร.มีการหารือถึงประเด็นบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ “MOU 2544” ที่ทำขึ้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และนำมาใช้เป็นเครื่องมือมาดำเนินการแบ่งเขตอธิปไตยของไทยทางทะเลอ่าวไทย และแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานธรรมชาติในทะเลของไทยให้แก่กัมพูชา ทั้งนี้ พปชร.ต้องการปกป้องเขตอธิปไตยทางทะเลบริเวณเกาะกูดอ่าวไทยเนื้อที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร และผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ มูลค่า 20 ล้านล้านบาทของไทยในทะเลอ่าวไทย โดยจะมีการยื่นกระทู้หรือเสนอเป็นญัตติในที่ประชุมสภาฯเพื่อสอบถามรัฐบาลถึงแนวทางของเรื่องนี้ต่อไป

ด้าน น.ส.กาญจนา กล่าวว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐ มีบุคคลที่เข้ามาร่วมงานกับพรรคด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่ตรงกัน โดยจะมาเป็นว่าที่ผู้สมัครในจังหวัดภาคอีสาน 7 คน ได้แก่ นางสาวปภาสิริ ศรีตะบุตร จังหวัดหนองคาย,นายสุชาติ ศรีสังข์ จังหวัดมหาสารคาม,นายโกศล คาดพันโน จังหวัดมหาสารคาม,นางสาววารุณี งอยผาลา จังหวัดสกลนคร,นายประพันธ์ คนหาญ จังหวัดมุกดาหาร,ดร.สมชอบ นิติพจน์ จังหวัดนครพนม และนางสาวจารุวรรณ จังหวะ จังหวัดชัยภูมิ

“ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีความสามารถ และมีประสบการณ์ในพื้นที่มายาวนาน โดยเราจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มรูปแบบ ควบคู่ไปกับการดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน พวกเราทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้มีอุดมการณ์ตรงกัน พร้อมที่จะทำเพื่อชาติ และยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์“น.ส.กาญจนา กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

“พล.อ.ประวิตร”แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุไฟไหม้รถบัสของครู นักเรียน จ.อุทัย ชี้ เยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ต้องดูแลคุณภาพชีวิตให้ดี

,

“พล.อ.ประวิตร”แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุไฟไหม้รถบัสของครู นักเรียน จ.อุทัย ชี้ เยาวชนถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ ต้องดูแลคุณภาพชีวิตให้ดี

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลา 16.00  น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ในนามของพรรคพลังประชารัฐ ตนและสมาชิกพรรคทุกคน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี

“เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรที่จะเกิดขึ้น เพราะทำให้เยาวชนและบุคลากรครูสูญเสียจำนวนมาก และยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในโรงพยาบาลอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยพรรคพลังประชารัฐขอเป็นกำลังใจกับผู้ประสบเหตุทุกคน และเราจะผลักดันให้เกิดมาตรการการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้อีก เพราะเยาวชนถือเป็นหัวใจสำคัญและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ จึงต้องดูแลเรื่องคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

‘เลขาฯไพบูลย์’ เผย ’พล.อ.ประวิตร‘ ทำหนังสือขอคืนเงินเดือน สส.ตั้งแต่รับตำแหน่งถึง 30 ก.ย.67 หวังเป็นตัวอย่างให้ สส.ติดภารกิจจำเป็นต้องลา ปฎิบัติตาม ยืนยัน ไม่กลัวการตรวจสอบ เตือนผู้ร้องใช้ความระมัดระวังด้วย

,

‘เลขาฯไพบูลย์’ เผย ’พล.อ.ประวิตร‘ ทำหนังสือขอคืนเงินเดือน สส.ตั้งแต่รับตำแหน่งถึง 30 ก.ย.67 หวังเป็นตัวอย่างให้ สส.ติดภารกิจจำเป็นต้องลา ปฎิบัติตาม ยืนยัน ไม่กลัวการตรวจสอบ เตือนผู้ร้องใช้ความระมัดระวังด้วย

วันนี้ (1 ต.ค. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยนายภัครธรณ์ เทียนไชย และนางสาวกาญจนา จังหวะ รองเลขาธิการพรรค แถลงข่าวถึงกรณี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ  มีความประสงค์  ขอไม่รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ไปจนถึงวันสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)

นอกจากนี้ยังส่งได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ ขอคืนเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ สส.ทั้งหมดที่ได้รับ ตั้งแต่เป็นสมาชิกภาพจนถึงวันที่ 30 ก.ย.67 โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งจำนวนเงินทั้งหมดให้ทราบโดยเร็วเพื่อนำส่งคืนให้ครบถ้วน

นายไพบูลย์ กล่าวว่า พลเอกประวิตรให้เหตุผลว่า การทำเช่นนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ สส.ที่มีภารกิจมาก และอาจต้องลากิจกับสภาฯ บ่อย จึงอาจใช้วิธีเช่นเดียวกันนี้เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดินก็จะเป็นการดี นอกจากนี้พลเอกประวิตร ยังระบุว่าภูมิใจมากในฐานะที่ได้ดำรงตำแหน่ง สส.และได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง จำนวน 537,625 เสียง และยืนยันว่าจะเดินทางไปสภาฯ ให้มากขึ้น และขอแจ้งให้ทราบว่าในวันที่ 3 ต.ค.นี้ พลเอกประวิตรได้ยื่นหนังสือลาล่วงหน้าไว้แล้ว เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมาก

ส่วนกรณีที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต สส.เพื่อไทย ยื่นร้องจริยธรรมนั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนตัวตนสงสัยว่า นายพร้อมพงศ์ จบการศึกษาจากไหน มีความรู้เรื่องกฎหมายอ่อนมาก นายพร้อมพงศ์ ควรจะตระหนักว่าไม่รู้กฎหมาย อย่าไปชวนคนอื่นทำผิดกฎหมายด้วย ตนให้ทนายไปแจ้งความและได้ดำเนินคดีแล้วว่าอาจจะกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย นี่คือกรรมที่หนึ่ง และยังเหลืออีกสองกรรม “นายพร้อมพงศ์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองถึงปี 69 ระวังดีๆ ด้วยความเป็นห่วงทางกฎหมายอาจจะถูกตัดสิทธิ์ต่อก็ได้”

“กระบวนการตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร ท่านไม่มีปัญหาอะไร สบายใจอยู่แล้ว ฝ่ายตรวจสอบก็ตรวจสอบไป พรรคได้ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อบังคับ หรือจริยธรรม เราไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นเพียงแค่ผู้ร้องให้ตรวจสอบก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง”นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ ยังเปิดเผยถึงการดำเนินคดี นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ รักษาการผู้อำนวยการบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยเมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) ทนายความได้ส่งคำฟ้องที่ศาลอาญาแล้ว  เป็นคดีดำอ.2871/2567  และศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน เวลา 9.00 น. ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกฟ้องคดีทั้งสามคน ตนได้ดำเนินการฟ้องที่ศาลแพ่ง ข้อหาความผิดละเมิดให้เสียหายต่อชื่อเสียงจำนวน 50 ล้านบาท ยื่นฟ้องไปที่ศาลแพ่ง ย้ำ ตนเป็นคนที่พูดอะไรต้องทำตามนั้น ทุกๆคำพูดของตน

นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองที่นายพร้อมพงศ์เป็นสมาชิกอยู่ ว่า ไม่รู้ได้รับคำสั่งจากแกนนำพรรค  ให้มาร้องเรียนหรือไม่  

“อย่าหยุด ทำอะไรก็ทำ เพราะแหล่งข่าวบอกว่าให้จับตาดูวันที่ 10 ตุลาคม จะเกิดจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ พรรคที่นายพร้อมพงศ์ สังกัดอยู่ อาจจะต้องกระทบรุนแรง แหล่งข่าวที่บอกมาน่าเชื่อถือ น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ อยากให้แกนนำพรรค เตรียมรับแรงกระแทก รับมือไม่ดีอาจถึงขั้นล่มสลาย ส่วนปัญหารุนแรงคือไร ตนไม่ทราบ เขาบอกเพียงเท่านั้น ยืนยัน ไม่ใช่คำร้องเดิมๆ  ขอให้ติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้น“

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 1 ตุลาคม 2567

พรรคพลังประชารัฐ เปิดเวทีประชารัฐร่วมใจเพื่อสร้างชีวิตที่สดใสให้คนไทยทั้งประเทศ

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2567 ที่โรงแรม SD อเวนิว บางพลัด กรุงเทพฯ

พรรคพลังประชารัฐ เปิดเวทีประชารัฐร่วมใจเพื่อสร้างชีวิตที่สดใสให้คนไทยทั้งประเทศ โดยการเปิดรับฟังข้อเสนอแนะของประชาชน นำโดย ดร.ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวัน อยู่บำรุง ประธานภาค กทม.พรรคพลังประชารัฐ พร้อมผู้สมัคร ส.ส.กทม. อาทิ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา นายกานต์ กิตติอำพน และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. และ ส.ส. อีกหลายคนเข้าร่วมงาน ซึ่งภายในงานมีการจัดกิจกรรมการเปิดรับฟังเสียงสะท้อนปัญหาของประชาชน เพื่อติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล พร้อมทั้งนำไปจัดทำเป็นนโยบายของพรรคต่อไปในอนาคต ทั้งนี้มีตัวแทนประชาชนจากทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานครเดินทางเข้าร่วมงาน

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 28 กันยายน 2567

“พล.ต.ท.ปิยะ “เผย ที่ประชุม พปชร.มีมติค้าน นิรโทษกรรม และแก้ไข ม.112  ตลอดจนค้านการแก้ รธน. และชี้ มอง เป็นการลดมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง พร้อมกำหนดแนวทางจัดทำข้อมูลผ่านศูนย์นโยบายและวิชาการ เปิดรับข้อมูลจากพี่น้องประชาชนเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

“พล.ต.ท.ปิยะ “เผย ที่ประชุม พปชร.มีมติค้าน นิรโทษกรรม และแก้ไข ม.112  ตลอดจนค้านการแก้ รธน. และชี้ มอง เป็นการลดมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง พร้อมกำหนดแนวทางจัดทำข้อมูลผ่านศูนย์นโยบายและวิชาการ เปิดรับข้อมูลจากพี่น้องประชาชนเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุม คณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พปชร. โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้มีการหารือ และมีมติคัดค้านการนิรโทษกรรมและการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดย พล.อ.ประวิตรฯ หน.พรรคฯ, กรรมการบริหารพรรค และ สส.พปชร.ที่แท้จริง ทุกท่าน ยืนยันชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ไม่ว่าจะเกิดประโยชน์กับบุคคลหนึ่ง หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด พรรคพลังประชารัฐจะคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมตามความผิดมาตรา 112 หรือ แก้ไข มาตรา 112 เพื่อประโยชน์ของคนบางคน และในทุกมิติ

สำหรับความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องจริยธรรมนักการเมือง หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคทุกคนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นรายมาตราหรือทั้งฉบับ โดยเฉพาะเรื่องการลดมาตรฐานจริยธรรม  

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า มาตรฐานทางจริยธรรมของพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นมาตรฐานที่ทำที่นักการเมืองพึงมี  ตามลำดับชั้นไม่ว่าจะเป็น สส. หรือรัฐมนตรีจะมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่เข้มข้นแตกต่างกัน  ถ้าบุคคลหนึ่งบุคคลใดมีความบกพร่องทางจริยธรรมก็ไม่ควรจะมาเป็นรัฐมนตรี  ไม่ใช่อยากเอาคนที่มีความบกพร่องทางจริยธรรม มาเป็นตัวตั้งแล้วลดมาตรฐานลง  ทำอย่างนี้ประเทศก็อยู่ไม่ได้

พล.ต.ท.ปิยะ ฯ กล่าวว่า ที่ประชุมยังพูดคุยถึง
ถึงวางแนวทางในทำงานร่วมกันของศูนย์วิชาการและนโยบายพรรคพลังประชารัฐ เพื่อ รับข้อมูลจากพี่น้องประชาชน นำไปสู่การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยจะทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเงา รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ กฎหมายที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร การหาข้อมูลให้  สส. ที่จะนำไปสู่การอภิปราย โดยเฉพาะเรื่องความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ที่เป็นเรื่องเร่งด่วน และยังไม่ได้รับการดูแลรัฐบาลเท่าที่ควร อย่างเช่น  การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบ อุทกภัย เคยได้รับความเดือดร้อน 57 จังหวัด แต่ยังขาดการดูแล และเยียวยาจากรัฐบาล แม้ว่าจะมีการจัดสรรงบประมาณ​แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ยังไม่มีเม็ดเงินลงไปถึงมือประชาชน และความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันอย่างเร่งด่วนไม่ใช่รอไว้ก่อนหรือรอไปวันวัน

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ต้องการให้การทำงานของศูนย์ดังกล่าง สามารถนำไปกำหนดแนวทางการทำงานของพรรค และยุทธศาสตร์ รวมทั้ง สส.ของพรรค จะได้นำข้อมูลต่าง ๆ ไปปรับใช้การทำงานให้มีประสิทธิภาพ และเป็นเสียงสะท้อนให้พี่น้องประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในพรรค มีแนวทางการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง โดยศูนย์ฯดังกล่าว ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่สำคัญเช่น นายอุตตม สาวนายน,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และบุคคลอื่นๆที่สำคัญ ของพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงนอกจากนี้ที่ประชุมยังมีการพูดคุยถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีของพรรค เพื่อรองรับการรับสมัครสมาชิกพรรคแบบออนไลน์ ที่กำลังพัฒนาผ่านกฎและกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง อีกด้วย

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567

จัดหนักเพิ่ม! ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘’ชาญกฤช-ธีระชัย“ วิพากษ์ นโยบาย ศก. รัฐบาลใหม่  แนะให้เน้นทำงานเรื่องสถาบันการเงินแทน  กระทุ้งให้พูดความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต  เตือนเรื่องกองทุนวายุภักษ์  และอันดับเครดิต

จัดหนักเพิ่ม! ทีม ศก. พรรคพลังประชารัฐ ‘ชาญกฤช-ธีระชัย’ วิพากษ์ นโยบาย ศก. รัฐบาลใหม่  แนะให้เน้นทำงานเรื่องสถาบันการเงินแทน  กระทุ้งให้พูดความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต  เตือนเรื่องกองทุนวายุภักษ์  และอันดับเครดิต

วันที่  24 กันยายน 2567  ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย  นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง  นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ  พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบนโยบายรัฐบาลนายกฯ แพทองธารที่แถลงต่อรัฐสภา  โดยมุ่งตรงไปยังนโยบาย ศก.  เรื่องความสัมพันธ์กับแบงค์ชาติ   ดิจิทัลวอลเล็ต   กองทุนวายุภักษ์  และอันดับเครดิต

นายธีระชัย อดีตรัฐมนตรีคลัง  กล่าวว่ารัฐบาลควรเลิกทะเลาะกับแบงค์ชาติเรื่องนโยบายการเงิน  เพราะจะทำให้ทั่วโลกขาดความเชื่อมั่นในระบบการเงินของไทย

“การวิจารณ์ในลักษณะด้อยค่า  จะกระทบความน่าเชื่อถือของแบงค์ชาติ  แต่กลับทำให้ทั่วโลกรู้ว่า  รัฐมนตรีคลังขาดทักษะในการประสานงาน  ทั้งนี้  กลยุทธที่รัฐบาลจะบีบผู้ว่าแบงค์ชาติ  ด้วยการตั้งนักการเมืองฝ่ายตนเข้าไปเป็นประธาน ธปท.  เป็นครั้งแรก   รวมทั้งที่รัฐมนตรีคลังกำลังคิดจะบีบให้ลดดอกเบี้ย  ด้วยยกเป้าหมายเงินเฟ้อให้สูงขึ้นนั้น  นักวิเคราะห์ทั่วโลกก็มองออกว่าเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระ  ซึ่งตราบใดที่รัฐบาลไม่รักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด  ยังเน้นกู้หนี้มาอุดหนุนการบริโภค   ธปท. ก็ย่อมต้องตั้งการ์ดสูงเรื่องดอกเบี้ยเป็นธรรมดา” นายธีระชัยกล่าว

นายธีระชัยเสริมว่า  การที่รัฐบาลเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยหวังจะให้สินเชื่อขยายตัว นั้น  จะไม่ได้ผลจริงถ้าหากไม่กระตุ้นการแข่งขันในระบบแบงค์พาณิชย์เสียก่อน  จึงขอแนะนำให้มุ่งไปที่นโยบายด้านสถาบันการเงินก่อน  โดยหารือแบงค์ชาติ   3  เรื่อง

(1)   เร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้ด้อยคุณภาพแบบจริงจัง  ไม่ใช่แค่เลื่อนกำหนดชำระ  แต่ให้ตัดลดหนี้ (haircut)  โดยรัฐกับแบงค์พาณิชย์รับภาระร่วมกัน (burden sharing) ผ่านกลไกกองทุนฟื้นฟูฯ  เหมือนดังที่ทีมของพรรคพลังประชารัฐเคยเสนอไว้  และท่านอดีตนายกทักษิณได้นำไปพูดในการแสดงวิสัยทัศน์   รัฐมนตรีคลังรับตำแหน่งมาตั้งแต่  27  เม.ย.  ผ่านมา  5  เดือนแล้ว   ไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อช่วยคนจนเลย  กลับไปเร่งทำเรื่องกองทุนวายุภักษ์  ที่อุดหนุนคนรวย   และบูมราคาหุ้น

(2)   พิจารณาความเหมาะสมการอนุญาตตั้งธนาคารท้องถิ่น  (regional bank)  ใน 10 ภาค  เพราะจะเข้าใจประวัติเบื้องหลังของลูกหนี้ภูธรในพื้นที่ได้ดีกว่า  และควรเชิญธนาคารใหญ่  3  อันดับแรกจาก  อาเซียน+จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และออสเตรเลียมาเปิดสาขา  เพื่อเร่งการแข่งขันทุกระดับลูกหนี้

(3)   พิจารณาความเหมาะสมการเพิ่มอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย  สำหรับดอกเบี้ยแบงค์พาณิชย์  ซึ่งปัจจุบัน 15% ให้สูงขึ้น  เช่นเป็น 20%  เพื่อกระตุ้นให้ผู้ออมนำเงินไปลงทุนหรือสนับสนุนธุรกิจแทนการฝากแบงค์

ด้านนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวถึงประชาชนที่มาลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 36 ล้านคน  ขณะนี้สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนชัดเจนแล้ว   แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนที่เหลืออีกประมาณ 22 ล้านคน  ที่ยังไม่รู้อนาคต  จึงเรียกร้องให้รัฐบาลทำให้เกิดความชัดเจนเร็วที่สุด

นายชาญกฤช กล่าวอีกว่า  ไม่เชื่อว่าการตั้งคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหม่จะดำเนินการสำเร็จ  เพราะเคยมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ยาวนานกว่าหนึ่งปีแล้ว  แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด  จึงขอเสนอแนะวิธีการที่จะทำให้การดำเนินการชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้นคือ  รัฐมนตรีคลังเร่งหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย  2  เรื่อง  คือ  (1)  การอนุญาตเงินดิจิทัลตามกฎหมายเงินตรา  ทำได้หรือไม่  สมควรหรือไม่  และ  (2)  เทคนิคที่จะเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เงินดิจิทัล  เข้ากับระบบบัญชีในธนาคารพาณิชย์นั้น  ทำได้ปลอดภัยจริงหรือไม่  ต้องใช้เวลานานเท่าใด  โดยเห็นว่าถ้าหากรัฐบาลมีความคืบหน้าใน  2  ประเด็นนี้  ประชาชน 22 ล้านคนก็จะอุ่นใจได้ว่าจะได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทอย่างแน่นอน

“ผมเอาใจช่วยประชาชน  22  ล้านคนที่รัฐบาลไปเชิญชวนให้มาลงทะเบียน  และเตือนว่ารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ  ต้องไม่ปล่อยให้มีความหวังแบบเลื่อนลอย  เพราะเงิน 10,000 บาทถือเป็นเงินจำนวนมาก  สำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ  ที่ต้องการนำไปใช้จ่ายในครอบครัว  รัฐบาลต้องไม่ทำให้ประชาชน  22  ล้านคนต้องรู้สึกผิดหวังมากไปกว่านี้ที่ต้องได้รับเงินล่าช้า” นายชาญกฤชกล่าว

นายธีระชัยกล่าวถึง  เงินกำไรสะสมของกระทรวงการคลังในกองทุนวายุภักษ์ว่า  ตามแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งผูกพันทุกองค์กร  เงินนี้ถือเป็น   “เงินแผ่นดิน”   ซึ่งจะจ่ายได้เฉพาะตามกฎหมายงบประมาณหรือกฎหมายวินัยการเงินฯ  ดังนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังจึงควรปฏิบัติเป็นตัวอย่างด้านมาตรฐานจริยธรรมโดยเคารพคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมตั้งสมญานามว่า  เป็น   ‘กองทุนเฉือนเนื้อคนจน  ไปแปะให้คนรวย’   เพราะในวงเงินจองซื้อหน่วย 1.5 แสนล้านบาทนั้น  จัดสรรให้ผู้ลงทุนสถาบันถึง  1.2  แสนล้านบาท  ซึ่งผู้ลงทุนสถาบันประกอบด้วยแบงค์พาณิชย์  บริษัทประกันชีวิต  บริษัทประกันภัย  กองทุนรวม  เป็นต้น   ทั้งที่เป็นกลุ่มคนรวยอยู่แล้ว  รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเอาเงินแผ่นดินของคนไทยทั้งชาติ  ไปอุดหนุนเพื่อประกันผลตอบแทนหรือคุ้มครองเงินต้นให้แก่กลุ่มนี้  

มาถึงวันนี้  ผมจึงหายสงสัยแล้ว  ทำไมไม่มีคนในตลาดเงินตลาดทุนร่วมคัดค้านโครงการนี้  น่าจะเป็นเพราะมีการแจกจ่ายผลประโยชน์กันอย่างทั่วถึงนี้เอง”  นายธีระชัยกล่าว

นายธีระชัยยกตัวอย่างผู้ที่ได้ประโยชน์ซึ่งรวยอยู่แล้ว  เช่น  แบงค์พาณิชย์ที่มีกำไรปีที่ผ่านมาสูงถึง 2.5 แสนล้านบาท  จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวให้ชัดเจน  โครงการอุดหนุนคนรวย  ที่รัฐมนตรีคลังเสนอครม.ไว้ในช่วงรัฐบาลของนายเศรษฐา  “ขอถามว่า  รัฐบาลของนางสาวแพรทองธาร  ยังเห็นด้วยกับการเอาเงินหลวงไปอุดหนุนคนรวยหรือไม่?”

นอกจากนี้  นายธีระชัยได้วิจารณ์ที่รัฐมนตรีคลังแถลงข่าว  ตั้งความหวังว่าสถาบันจัดอันดับเครดิตจะเลื่อนอันดับเครดิตของไทยให้สูงขึ้น  โดยอ้างว่าสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลเทียบกับรายได้ยังอยู่ในระดับต่ำ

นายธีระชัยกล่าวว่า  “ผมไม่แน่ใจว่าท่าน  ลับ-ลวง-พราง  สถาบันจัดอันดับเครดิตหรือไม่  แต่คงไม่ได้ผล  เพราะเขาย่อมเห็นได้เองว่า  รัฐบาลนี้กำลังจะแจกเงิน  1.4  แสนล้านบาท  โดยไม่ได้ตัดลดงบประมาณอื่น  ซึ่งต่อไปจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่ม   และรัฐบาลก็ยังผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปอีก  เพื่อจะแจกเงินแก่  22  ล้านคนที่เหลือจนครบ  ซึ่งจะเพิ่มหนี้สาธารณะขึ้นไปอีก  ดังนั้น  ในอนาคต  สัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ก็ยังจะเพิ่มขึ้นอีกมาก  ปัญหานี้  ท่านปิดไม่มิด”

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567

“วรโชติ” เผย ลงพื้นที่ ต.ดงขุย แจกกระสอบทรายเตรียมรับมือน้ำเริ่มท่วมแล้ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง หวั่น ชาวบ้านกว่า 1,200 ครัวเรือนจะเดือดร้อนหนัก

,

“วรโชติ” เผย ลงพื้นที่ ต.ดงขุย แจกกระสอบทรายเตรียมรับมือน้ำเริ่มท่วมแล้ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่อง หวั่น ชาวบ้านกว่า 1,200 ครัวเรือนจะเดือดร้อนหนัก

นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณจากน้ำฝนและน้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ตำบล ดงขุย ทั้งในเขตเทศบาลและเขต.อบต ดงขุย เป็นบริเวณกว้าง กระทบต่อชาวบ้านใน ม2. ม3. ม5. ม 4. ม14 ม 15. จำนวน 1200 ครัวเรือน ในขณะนี้เดือดร้อนอย่างหนัก บ้านเรือน ทรัพย์สิน รวมถึงพื้นที่ทางการเกษตร เสียหายจากเหตุอุทกภัย เพราะน้ำมาค่อนข้างเร็วและมีปริมาณมากจนทำให้ระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผมได้ลงพื้นที่ร่วมกับนายกเทศมนตรี ต.ดงขุย กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตำบลดงขุย เพื่อแจกกระสอบทรายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และได้เตรียมการจัดตั้งโรงครัว เพื่อทำอาหารมอบให้กับประชาชนทั้งเขตเทศบาล และเขต อบต.ดงขุย ซึ่งยังเป็นที่น่ากังวลว่า ปริมาณน้ำที่เพิ่มอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้การสัญจรถูกตัดขาด และจะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 1,200 ครัวเรือน โดยชจะไม่สามารถเข้าออกมาซื้ออาหาร เครื่องอุปโภค-บริโภคได้“นายวรโชติ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 25 กันยายน 2567

“สส.ฉกาจ”วอน กระทรวงเกษตรฯ หามาตรการเยียวยา”เกษตรกร“ในพื้นที่น้ำท่วม หลังไร่นา พืชผลเสียหาย สร้างความทุกข์แสนสาหัส

,

“สส.ฉกาจ”วอน กระทรวงเกษตรฯ หามาตรการเยียวยา”เกษตรกร“ในพื้นที่น้ำท่วม หลังไร่นา พืชผลเสียหาย สร้างความทุกข์แสนสาหัส

นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ พังงา เขต 2 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวว่า จากการที่มีฝนตกหนักในพื้นที่ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ทำให้น้ำในแม่น้ำตะกั่วป่าเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่ม มีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 5-6 หลังเรือน และพื้นที่การเกษตร สวนปาล์มน้ำมันและสวนผลไม้ ได้รับความเสียหาย ตนได้ลงพื้นที่ส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชน ต.โคกเคียน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

นายฉกาจ กล่าวต่อว่า ทาง อบต.โคกเคียน ได้ขอติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เร่งระบายน้ำเพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 28,000 ลิตร เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ราบลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเพื่อระบายน้ำออกสู่แม่น้ำตะกั่วป่า

“ในพื้นที่ยังคงมีฝนตก ประกอบกับน้ำที่ไหลมาจากอำเภอกะปง ลงสู่แม่น้ำตะกั่วป่าเพื่อระบายลงสู่ทะเลได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูงบางช่วง ทำให้น้ำได้เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรสวนปาล์มน้ำมัน สวนผลไม้ กระทบกับเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก ผมขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลและให้การเยียวยากับเกษตรกรไทยด้วย เพราะน้ำมาครั้งนี้แทบจะหมดตัว และไม่ใช่เฉพาะใน จ.พังงานเท่านั้น ผมเชื่อว่า เกษตรกรในพื้นที่อุทกภัยต่างกำลังเผชิญกับความทุกข์แสนสาหัส”นายฉกาจ กล่าว

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 กันยายน 2567

“สส.จักรัตน์”นำ กมธ.บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาฯ ศึกษาการบริหารจัดการน้ำบาดาล ณ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล พร้อมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือนภัย ถกหาแนวทางแก้ปัญหา

,

“สส.จักรัตน์”นำ กมธ.บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาฯ ศึกษาการบริหารจัดการน้ำบาดาล ณ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล พร้อมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือนภัย ถกหาแนวทางแก้ปัญหา

นายจักรัตน์ พั้วช่วย สส.เพชรบูรณ์ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตนและคณะกรรมาธิการฯ ได้ไปศึกษาดูงาน บทบาทของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร และการสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และการสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล รวมทั้งได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงปัญหาและอุปสรรค พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำของประเทศต่อไป

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ยังได้ไปศึกษาดูงานจังหวัดนครปฐม เพื่อหารือถึงการบำรุงรักษาแม่น้ำท่าจีน และการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดนครปฐม และความพร้อมในการเตรียมรับมืออุทกภัย และลงพื้นที่ดูศักยภาพของแม่น้ำท่าจีน ช่วงที่ไหลผ่าน อ.บางเลน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลเพื่อพัฒนา

นายจักรัตน์ กล่าวต่อว่า คณะกมธ.บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวเนื่องกับการแจ้งเตือน และการพยากรณ์อากาศ อาทิ สทนช. กรมชลประทาน,กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,กรมอุตุนิยมวิทยา, สสน.และ Gistda เข้าให้ข้อมูลกับกรรมาธิการ เพื่อทบทวนข้อพกพร่องก่อนที่จะต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนภัยต่างๆ

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 23 กันยายน 2567

“สส.อัคร”ถาม รัฐบาลมีแผนบริหารจัดการน้ำ แก้วิกฤตน้ำท่วม-ภัยแล้ง จ.เพชรบูรณ์ อย่างไร ชี้ ที่ผ่านมาระบบยังไม่ดีพอ แถมน้ำประปายังไม่พอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

,

“สส.อัคร”ถาม รัฐบาลมีแผนบริหารจัดการน้ำ แก้วิกฤตน้ำท่วม-ภัยแล้ง จ.เพชรบูรณ์ อย่างไร ชี้ ที่ผ่านมาระบบยังไม่ดีพอ แถมน้ำประปายังไม่พอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภา ฯ นายนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ได้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี โดยได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ตอบกระทู้ถึงแนวทางการแก้ปัญหาน้ำในจังหวัดเพชรบูรณ์อย่างเป็นระบบว่า ตนได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนและได้พบว่า ปัญหาหลักของเพชรบูรณ์คือ ระบบการจัดการน้ำ ซึ่งประสิทธิภาพยังไม่ดีพอที่จะรองรับต่อการใช้งานได้อย่างทั่วถึงในอีกหลาย ๆ พื้นที่ของจังหวัด ปัญหาการขาดแคลนน้ำนับเป็นสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก

นายอัคร กล่าวต่อว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ได้รับผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและปัญหาโลกร้อน ซึ่งทำให้ปริมาณของน้ำฝนที่ตกนั้นไม่แน่นอน และยากต่อการคาดเดา บางปีฝนตกน้อยก็เกิดภัยแล้ง บางปีฝนตกหนักก็น้ำท่วม ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเกษตรกร แม้ว่าเพชรบูรณ์จะมีอ่างเก็บน้ำทั้งหมด 11 แห่ง แต่กลับไม่เพียงพอ แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องของปริมาณน้ำในอ่างต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น อำเภอวิเชียรบุรีและศรีเทพ มีประชากรเกือบๆ 200,000 คนซึ่งคิดเป็นประมาณเกือบ 20% จากประชากรทั้งจังหวัด แต่กลับมีเพียง อ่างเก็บน้ำขนาดกลางห้วยเล็งเพียงที่เดียว ทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีน้ำไม่เพียงพอที่จะไปเพาะปลูกพืชผล และในปี 2566 อำเภอวิเชียรบุรีมีพืชผลเสียหายกว่า 1,000 ไร่ ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลง ชาวบ้านเดือดร้อนมาก

นายอัคร กล่าวต่ออีกว่า ตนยังได้รับการร้องเรียนจากประชาชน หมู่ 13 ต.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ ว่า น้ำประปาไม่ไหลและไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แถมน้ำที่ใช้ได้กลับเป็นน้ำสกปรก มีกลิ่นเหม็น และมีสีแดงขุ่น ตนคิดว่า ควรหาทางแก้สำหรับเรื่องนี้ และนี่เป็นเพียงแค่ปัญหาภัยแล้งในเพชรบูรณ์ ยังไม่รวมถึงปัญหา อุทกภัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ ช่วงทางน้ำผ่าน หรือขนาดของลำน้ำป่าสักที่แคบและตื้น ทำให้รองรับน้ำได้อย่างจำกัด ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม

โดยในปี 2565 เกิดฝนตกหนักในจังหวัด พื้นที่อำเภอวิเชียรบุรีและศรีเทพ มีน้ำท่วมขัง สูงถึง 150 เซนติเมตร ประชาชนในหลายตำบลได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ทรัพย์สิน หรือพืชผล
ทางการเกษตร เราได้เรียนรู้มากมายจากภัยธรรมชาติที่เกิดในอดีต ปัจจุบัน เราควรนำมาถอดบทเรียน เพื่อวางแผนการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและเป็นระบบสำหรับอนาคตของเพชรบูรณ์

”ผมจึงอยากทราบว่ารัฐบาลมีแผนบริหารจัดการน้ำรวมถึงแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคน้ำเพื่อการเกษตร รวมถึงการบรรเทาอุทกภัยและบรรเทาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร รวมถึงความก้าวหน้าโครงการฝายยางบ้านท่า ในอำเภอศรีเทพ อยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว สุดท้าย ผมขอให้จังหวัดเพชรบูรณ์ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน“

ต่อมา รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ตอบคำถามของนายอัคร โดยชี้แจงถึงความคืบหน้าโครงการฝายทั้ง 2 แห่งว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการจะแล้วเสร็จช่วงปี 2568-2570 ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีน้ำอุปโภค บริโภค และเกษตรกรจะมีน้ำใช้ในการเพาะปลูก

ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 19 กันยายน 2567