โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ ทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง สานพลังประชาราษฎร์ ร่วมสร้างชาติให้ยั่งยืน

‘พล.อ.ประวิตร’สั่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนจัดการน้ำลดผลกระทบปชช. เฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อน คาดหลัง 11 ต.ค.ฝนตอนบนเริ่มลด

‘พล.อ.ประวิตร’สั่งเพิ่มประสิทธิภาพแผนจัดการน้ำลดผลกระทบปชช.
เฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อน คาดหลัง 11 ต.ค.ฝนตอนบนเริ่มลด

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 3/2565 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำในขณะนี้ เนื่องจากปริมาณฝนในปีนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ มีปริมาณฝนใกล้เคียงปี 54 ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะส่งผลให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน้อยกว่าในปี 54 จะมีเพียงพื้นที่เฉพาะจุดเท่านั้นที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากสภาพการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อผลกระทบและความเสียหายที่เกิดแก่ประชาชน โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ที่ยังประสบปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ชีและมูล

ทั้งนี้ยังได้เน้นย้ำให้เร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำเรื่องการบริหารจัดการน้ำทุกแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำในอ่างฯ มากกว่า 80% ของความจุ หรือมากกว่าระดับควบคุม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงแข็งแรงและอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้านท้ายน้ำของอ่างฯ โดยสั่งการให้บริหารจัดการให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงให้ตรวจสอบคัน ทำนบ และพนังกั้นน้ำบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างฯ ให้มีความมั่นคงปลอดภัย สามารถใช้บริหารจัดการน้ำได้เต็มศักยภาพ รวมถึงกำชับให้มีการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝน ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่ตอนบนปริมาณฝนเริ่มมีแนวโน้มลดลงแล้ว จึงให้ลดการระบายน้ำเพื่อไม่ให้ปริมาณน้ำกระทบในพื้นที่ด้านท้าย ขณะเดียวกันก็เป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่จะถึงด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในจุดต่าง ๆ ที่มีน้ำท่วมขังออกโดยสู่ลำน้ำสายหลักเพื่อระบายออกสู่ทะเลโดยเร็ว

สำหรับการบริหารจัดการน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งยังคงมีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนอยู่จำนวนมากในขณะนี้ ทำให้
กรมชลประทานจำเป็นต้องจะปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได ให้อยู่ในอัตรามากกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยให้กรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำและควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและพื้นที่การเกษตร พร้อมดำเนินการแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

ด้านดร.สุรสีห์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดการณ์ว่าในช่วงหลังวันที่ 11 ตุลาคม แนวโน้มปริมาณฝนจะเริ่มลดลง โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ เริ่มทรงตัว รวมถึงปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ ลดลง โดยปัจจุบันอ่างฯ ส่วนใหญ่เริ่มลดและงดระบายน้ำที่อาจจะส่งผลกระทบด้านท้ายน้ำ รวมถึงเพื่อเป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในในฤดูแล้ง ทำให้ภาพรวมของฤดูแล้งในปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก โดยเฉพาะปริมาณน้ำใช้การใน 4 เขื่อนหลักเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่บริเวณนอกเขตชลประทานและพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำ โดยวันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 65/66 จำนวน 10 มาตรการ ตามที่ สทนช. เสนอ และให้เสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบโดยเร็วก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งในต้นเดือนหน้า พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานนำมาตรการไปจัดทำแผนปฏิบัติการในส่วนที่เกี่ยวข้องและจัดส่งให้ สทนช. เพื่อติดตามประเมินผลต่อไป


ที่มา: ทีมประชาสัมพันธ์ พรรคพลังประชารัฐ
วันที่: 10 ตุลาคม 2565

" ,